เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 092 เข้าสู่หุบเขา

ตอนที่ 092 เข้าสู่หุบเขา

 

 

บริเวณใจกลางพื้นที่ไร้ความวุ่นวายที่มีพื้นที่ที่เป็นสีเขียวขจีแห่งนี้ ตอนนี้ บรรยากาศที่ปกคลุมไว้อยู่ก็ได้เงียบเชียบอย่างที่ถึงสุด เห็นได้ชัดว่ามีผู้คนไม่น้อยในตอนนี้ที่กำลังจ้องมองไปทางด้านของเยี่ยจง ราวกับว่าได้ประทับตราตัวอักษรของคำว่าอันตรายไว้บนใบหน้าของเขา

 

ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาเหล่านี้ เยี่ยจงก็กวาดสายตาจ้องมองไปทั่วทั้งสี่ด้านรอบหนึ่ง ดวงตาทอประกายหนักแน่น

 

ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวแห่งนี้ เขายังคงสามารถที่จะรับรู้ได้ถึงไอพลังความแข็งแกร่งยอดฝีมือไม่น้อย และท่ามกลางไอพลังเหล่านี้ สมควรที่จะมีผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นก่อเกิดระดับที่หกรวมอยู่ด้วย ?

 

ควรทราบว่า ยอดฝีมือที่มีพลังอยู่ในขั้นก่อเกิดระดับที่หกนี้ ได้ฝึกปรือร่างเนื้อไปจนถึงจุดขอบเขตของกระดูกแล้ว โดยส่วนมากกล่าวกันว่ายอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งถึงขอบเขตนี้แล้ว หากว่ามีความสอดคล้องกัน ต่อให้เป็นเยี่ยจงก็ใช่ว่าจะมีความสำเร็จถึงขั้นนี้

 

“ แน่นอนว่ายังมีบุคคลที่ยุ่งยากอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ว่าข้ายังมีอยู่บางจุดที่ยังไม่เข้าใจ กับแผนการที่แล้วมาของเสวี่ยซิน เพราะเหตุใดถึงได้นำพาผู้คนให้มาปรากฏยังพื้นที่แห่งนี้ “ หลิงเยวี่ยกระพริบตาแล้วหันทางอีกทาง นัยน์ตาได้สาดทอประกายความหนักแน่นขึ้นมา และต่อมาในช่วงเวลาที่นางจ้องมองไปยังพื้นที่รอบบริเวณทั้งสี่ด้าน บริเวณหางตาก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกคราหนึ่ง

 

“ เห็นกลุ่มทางด้านฝั่งซ้ายด้านหน้าของพวกเราไหม ? “

 

เยี่ยจงจ้องมองไปเข้าไปทางด้านนั้น ในตอนนั้นก็พบกับของบางอย่างที่อยู่บนยอดเขามีสีแดงเพลิงออกมา มีคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่บนหลังม้า คนที่อยู่นั่งอยู่บนหลังม้าที่อยู่ด้านหน้าสุดนั้น เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่สวมชุดรัดรูปสีม่วง ชายหนุ่มมีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าทอแววกล้าหาญ

 

“ เจ้าเด็กน้อยเหล่านั้นเป็นคนที่มาจากสำนักจ้าวหวังแห่งรัฐเหรี่ยเทียนหวังเฉา เด็กน้อยที่นำขบวนผู้นั้น เป็นหนึ่งในศิษย์เอกมากความสามารถของจ้าวหวังนั้นเอง คนผู้นั้นมีนามว่าคุณชายเหลียนคายหยู่ ความแข็งแกร่งของเขาสมควรที่จะอยู่ในขั้นก่อเกิดระดับที่หก อีกทั้ง สำนักจ้าวหวังของเด็กน้อยผู้นี้ ยังขึ้นชื่อในเรื่องของกำลังภายใน วิชาลมปราณจ้าวหวังของสำนักจ้าวหวังของพวกเขา นับได้ว่ามีความแข็งแกร่งเทียบเคียงได้กับพลังลมปราณดาราคล้อยของพวกเราไม่แพ้กัน “ หลิงเยวี่ยส่งสายตาอย่างมีเสน่ห์ออกมาแล้วกล่าว

 

“ หนึ่งในสี่คุณชายใหญ่คุณชายควั่นจ้าวงั้นหรือ ? “

 

เยี่ยจงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ สี่คุณชายใหญ่แห่งรัฐเหรี่ยเทียนหวังเฉาอันคุ้นหูนี้ ก่อนหน้านี้เขาก็ได้เผชิญหน้ากับคุณชายคงฮู่เหรี่ยโหยวฮู่มาแล้ว อีกทั้งยังทราบได้เองถึงชื่อเสียงเรียงนามของสี่คุณชายใหญ่แห่งรัฐเหรี่ยโจวหวังเฉา ว่ามีฝีมือที่ยุ่งยากอยู่ในระดับใด อีกทั้ง กล่าวกันว่าคุณชายคงฮู่เหรี่ยโหยวฮู่ที่เป็นหนึ่งในสี่คุณชายใหญ่ยังนับได้ว่ามีชื่อเสียงอยู่ในอันดับรั้งท้ายอีกด้วย เหลียนคายหยู่ผู้นี้ ไม่ว่าจะมองเช่นไรก็ดูยากที่จะต่อกรมากกว่านัก

 

“ ยังมี ทางด้านหลังของพวกเรา เด็กน้อยเหล่านั้นก็มีฝีมือที่แสบอย่างที่สุดเช่นกัน….… “ หลิงเยวี่ยจ้องมองไปอีกทางด้านหนึ่ง เอ่ยปากกล่าวอย่างแผ่วเบา

 

ชายหนุ่มชุดฝึกยุทธ์สีดำที่ยืนอยู่ทางด้านนั้น สีหน้าของเขาดูจริงจัง สีบนใบหน้าของเขามีลักษณะออกสีเหลืองคล้ำ เพียงแต่ว่าตอนนี้ข้างกายของเขาในตอนนี้กลับไม่มีผู้ใด เขายืนอยู่ตรงเพียงลำพังในที่แห่งนี้ รอบด้านไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้

 

ในตอนที่ผู้คนกวาดสายตามองไปยังร่างของผู้คนนั้น เยี่ยจงก็ได้ยิ้มออกมาอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง “ คนผู้นี้ข้านับได้ว่ารู้จักอยู่บ้าง รัฐเหรี่ยเทียนหวังเฉา ผางเจี่ยแห่งลัทธิมนต์ดำ เมื่อครั้งที่แล้วตอนที่อยู่ที่อารามก่อฟ้ายังมีปัญหาที่ค้างคาอยู่กับเขาที่ยังมิได้สะสาง คิดไม่ถึงว่ากลับสามารถพบกับเขาได้ในสถานที่แห่งนี้ “

 

หลังจากที่เงียบงัน นัยน์ตาของหลิงเยวี่ยก็ได้ทอเป็นประกายแปลกใจขึ้นมาสายหนึ่ง พลังฝีมือของผางเจี่ยผู้นี้ไม่ถือได้ว่าอ่อนแอเลย ถึงแม้ในด้านชื่อเสียงจะเทียบไม่ได้กับสี่คุณชายแห่งรัฐเหรี่ยเทียนหวังเฉา แต่ว่าก็ถือได้ว่ายากที่จะต่อกรได้ คิดไม่ถึงว่าเยี่ยจงถึงกับเคยปะมือกับเขามาก่อน

 

ผางเจี่ยในตอนนี้ได้มองเห็นสายตาที่จ้องมองมาของเยี่ยจงก็ไม่ปาน เขาได้หันหน้าไปมองเยี่ยจงอย่างช้าๆ หลังจากนั้น เขาก็ได้ยื่นมือขวาออกไปอย่างกะทันหันชี้ไปทางด้านของเยี่ยจงคราหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าจริงจัง

 

เมื่อเยี่ยจงพบเห็น ก็ได้ยื่นฝ่ามือขวาออกมา สะบัดออกเบาๆ

 

เมื่อเห็นท่าทีที่ราวกับรับคำท้าของเยี่ยจงเช่นนี้ ทันใดนั้นดวงตาของผางเจี่ยก็ทอประกายเจ็บปวดไร้ที่เปรียบ ทว่าทันใดนั้น นัยน์ตาของเขาก็ได้ลดทอนให้อ่อนเบาลงอย่างช้าๆ หลังจากที่เขาจดจ้องไปทางด้านเยี่ยจงแล้ว ก็ค่อยได้เก็บทอดสายตากลับมา

 

เมื่อหลิงเยวี่ยและพวกเห็นการแสดงท่าทีโดยไร้สุ่มเสียงของทั้งสองฝ่าย แต่ละคนก็ราวกับกำลังเป็นใบ้ ผางเจี่ยผู้นี้มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการลงมือที่อำมหิต อีกทั้งยังเรียกได้ว่ามีความแค้นยังไงก็ต้องสะสาง แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่บุคคลเช่นนี้ก็แสดงออกต่อเยี่ยจงอย่างชัดเจนถึงเช่นนี้ ดูเหมือนความสามารถของศิษย์เองเล็กเยี่ยจงผู้นี้ คงมากเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้

 

“ ยังมีอีก เด็กน้อยเหล่านั้นที่อยู่ทางด้านนั้นถือได้ว่ายากที่จะต่อกรมากนัก คนเหล่านั้นมาจากรัฐต้าโจวหวังเฉาของพวกเรา คนของกองกำลังจ้านหวัง จ้านหวังเป็นกองกำลังส่วนพระองค์ที่แข็งแกร่งที่สุดของรัฐต้าโจวหวังเฉา ต่อให้เป็นห้าตระกูลใหญ่ก็ใช่ว่าจะสามารถเทียบเคียงได้กับกองกำลังจ้านหวังของเขาได้ และทั้งสี่คนนี้ สมควรที่จะเป็นสี่แนวหน้าโลหิตของกองกำลังจ้านหวัง กล่าวกันว่าเมื่อทั้งสี่คนร่วมมือกันผนึกกำลังสร้างค่ายกล พลังความแข็งแกร่งร้ายกาจเหลือคณา “ หลิงเยวี่ยจ้องมองไปอีกทางฟากนึ่ง กล่าวออกมาด้วยความกลัวอยู่หลายส่วน

 

“ กองกำลังจ้านหวัง “

 

เยี่ยจงมองไปโดยรอบอีกครา ก็ได้มองไปเห็นกลุ่มคนบนหลังม้าในระยะที่ไม่ห่างไกลมากนัก คนเหล่านี้ต่างก็สวมใส่ไว้ด้วยชุดเกราะหนัก ที่ดูราวกับเหมือนนักรบออกศึก และที่ยืนอยู่ใกล้ด้านหน้าสุดของทหารม้าทั้งสี่คนนี้ เกราะบนร่างที่เต็มไปด้วยคราบโลหิต กลิ่นคาวของโลหิตแผ่กระจายออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้ลงมือสังหารผู้คนจนนองเลือดไปแล้วไม่น้อยเลย

 

หลังจากที่เยี่ยจงหยุดมองไปทางด้านของกลุ่มคนของกองกำลังหวังจ้านนี้ ก็ค่อยๆได้สติกลับมา ดูเหมือนว่า การเดินทางมายังถ้ำหงส์หยาแห่งนี้ คงจะต้องวุ่นวายอย่างไร้ที่เปรียบแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงความอันตรายที่เป็นทุนเดิมของถ้ำหงส์หยา เพียงแค่บุคคลแต่ละคนที่อยู่บนหลังม้า แน่นอนว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

 

“ ตามข่าวลือของลัทธิแห่งดวงดาวของพวกเราที่ได้รับในหลายปีมานี้ ถ้ำหงส์หยาสมควรที่จะนับได้ว่าเป็นดั่งดินแดนขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าทางเข้าของมันนั้นได้ตั้งอยู่บริเวณของยอดเขา แต่ว่า หากคิดที่จะเข้าสู่ภายในยอดเขานั้นก็อาจเรียกได้ว่ามิใช่ง่ายดาย ……. ตอนนี้ผู้คนมากมายในที่แห่งนี้ต่างก็ยังไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างไร เหตุผลหลักที่ใหญ่ที่สุดนั้นก็คือบริเวณยอดเขานั้นได้มีไอพลังฟ้าดินครอบคลุมอยู่อย่างหนาแน่น กับพลังฝีมือของพวกเรา แน่นอนว่าไม่อาจที่จะทานรับไว้ได้ ดังนั้น มีเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งฤดูการณ์ของทุกสามปีที่ไอพลังวิญญาณจะจางลง พวกเราจึงจะสามารถที่จะขึ้นสู่ยอดเขาได้ เพื่อที่จะตามหาทางเข้าถ้ำหงส์หยา ตามการคาดการณ์ ช่วงเวลาที่เจือจางลงก็ใกล้ที่จะมาถึงแล้ว “ ซูหยี่ที่ยืนอยู่ทางด้านข้างเยี่ยจง กรอกสายตาอันงดงามมองไปทางยอดเขาที่อยู่ด้านหน้า เอ่ยปากด้วยสีหน้าจริงจังอยู่หลายส่วน

 

หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงก็ได้ค่อยๆพยักหน้า ไม่แปลกใจเลยที่ยอดฝีมือมากมายในตอนนี้ต่างก็เงียบสงบลงทันที ความจริงที่ในตอนแรกยังคงส่งเสียงพูดคุยกันอยู่

 

ต่อจากนั้นเยี่ยจงก็มิได้กล่าวอันใดขึ้นมาอีก อีกทั้งผู้คนอีกมากมายเหล่านี้ เลือกที่จะส่งสายตาอันเย็นเยียบพร้อมกับหลับตาลง แต่ทว่าก็ยังคงต้องหยุดมองไปทางด้านบนของยอดเขา

 

ท่ามกลางการรอคอยอย่างเงียบสงบของผู้คนมากมายนี้ เวลาได้ผ่านไปวินาทีแล้วนาทีเล่า ในช่วงสามวันมานี้ ผู้คนทั้งหมดต่างก็ตั้งตารอคอยที่จะถึงเวลาจวบจนถึงช่วงเวลานี้อย่างถึงที่สุด มองไปยังยอดเขาที่เต็มไปด้วยไอพลังฟ้าดินอย่างแน่นหนากำลังค่อยๆเจือจางลงอย่างช้าๆ ราวกับหยาดน้ำที่กำลังเหือดแห้งลงก็มิปาน ทันใดนั้นก็ได้หายไปอย่างรวดเร็ว

 

ยอดฝีมือเหล่านั้นที่ความจริงกำลังอยู่ในอาการเตรียมความพร้อมในการหาพื้นที่อยู่ต่างก็ต้องใบหน้าเปลี่ยนสีทันที ภายในดวงตาก็ได้ทอประกายความเร้าร้อนขึ้นมา

 

“ ซูม “

 

ในช่วงสุดท้ายของพลังฟ้าดินหยาดสุดท้ายหายไปนั้นเอง ตรงยอดเขาที่ก่อนหน้านี้ได้เต็มไปด้วยเมฆหมอกอยู่เต็มไปหมดก็ได้สูญหายไปเกือบครึ่ง ทำให้สามารถเผยทัศนียภาพปรากฏขึ้นมาสู่สายตาผู้คน

 

“ ถ้ำหงส์หยาเปิดแล้ว ลุยเลย “

 

ในช่วงเวลาอันสำคัญเช่นนี้ พื้นที่สีเขียวอันเงียบสงบ ทันใดนั้นก็ได้มีความเคลื่อนไหวอย่างวุ่นวายขึ้น จากนั้นก็มีเสียงเรียกระดมพลมากมายที่ถูกพัดพามาตามสายลม เหล่ายอดฝีมือเหล่านี้ไม่ทราบว่าได้รอเนินนานถึงเพียงใด ในตอนที่แต่ละคนย่างก้าว ร่างกายก็ราวกับถูกดีดออกไป ราวกับฝูงแมลงที่กำลังหลั่งไหลเขาสู่ท่ามกลางยอดเขา

 

ในขณะนี้ถ้ำหงส์หยา ก็ได้เวลาเปิดออกมาแล้ว

 

ทว่า ในตอนที่ได้มองดูไปยังภูมิประเทศโดยรอบ เยี่ยจงและพวกยังคงไม่เคลื่อนไหว เยี่ยจงเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมอมองไปทางด้านยอดเขาทางด้านหน้าอย่างจริงจัง เขารู้สึกได้ว่า การกรูกันเข้าสู่ยอดเขาเช่นนี้ เกรงว่าคงมิได้ง่ายดายเช่นนี้

 

“ เพราะว่าบริเวณที่มีไอพลังฟ้าดินอยู่อย่างเข้มข้นนั้น จึงทำให้บริเวณในที่เหล่านี้ได้ก่อเกิดสิ่งมีชีวิตต่างๆ ปีศาจต่างก็แตกต่างจากดินแดนด้านนอกโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยก็คงไม่อ่อนแอไปกว่าปีศาจทางด้านนอกอย่างแน่นอน กับพลังความสามารถอันน่าหวาดเกรงเช่นนี้ ดังนั้น พวกเราต้องระวังเอาไว้ให้มากไว้ ถึงแม้ข้าจะไม่มีแน่ใจในความสามารถของสัตว์ปีศาจที่มีระดับในขอบเขตขั้นก่อฟ้า แต่ว่า หากเป็นสัตว์ปีศาจที่มีพลังในขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดแล้ว นับได้ว่าสมควรมีอยู่ไม่น้อยเลย “ หลิงเยวี่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังอยู่หลายส่วน

 

ในขณะเดียวกันกับตอนที่นางกล่าวจบ บริเวณท่ามกลางยอดเขาของดงป่า ก็เริ่มที่จะมีเสียงของสัตว์ปีศาจกู่ร้องออกมาไม่หยุดหย่อน เห็นได้ชัด ยอดฝีมือที่ขึ้นไปสู่ยอดเขาในกลุ่มแรก คงจะถูกสัตว์ปีศาจกลุ่มต้อนรับอยู่บนยอดเขาแล้ว

 

เมื่อได้เห็นฉากเบื้องหน้าเยี่ยจงและพวกก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ก็มิได้กล่าวอันใดออกมา

 

หลังจากช่วงเวลาผ่านไปยังไม่ทันถึงช่วงหนึ่งกาน้ำชาเดือด เสียงที่ดังขึ้นบริเวณป่าเขาก็ได้เบาลงมาหลายส่วน เห็นได้ชัดว่า คนกลุ่มแรกสมควรที่จะถูกสัตว์ปีศาจจัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

“ ใกล้ได้เวลากันแล้ว พวกเราไปกันเถอะ “

 

เมื่อมองไปยังฉากเบื้องหน้า เยี่ยจงก็ได้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็โบกมือคราหนึ่ง ร่างกายก็ได้นำออกไปก่อน บริเวณทางด้านหลัง หลิงเยวี่ยและพวกก็ได้ตามไปด้วยความรวดเร็ว

 

เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งกาน้ำชาเดือด ทั้งคณะก็ได้เข้ามาจนถึงบริเวณตีนเขา จากที่มองเข้าไปแล้ว ก็จะสามารถเห็นท่ามกลางดงป่าที่เกิดการต่อสู้ขึ้นมาอย่างโหดเหี้ยม สัตว์ปีศาจไม่น้อยและเผ่ามนุษย์ที่ทอดเศษเนื้อเศษกระดูกไว้ตามพื้น กลิ่นคาวเลือดโชยขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เยี่ยจงก็พอที่จะคาดเดาได้หลายส่วนว่าการที่รัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาดึงดูดยอดฝีมือเข้ามามากมายก่อนนี้นั้น คาดว่าน่าจะ มีส่วนหนึ่งของแผนการของรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉา คงจะเป็นเพราะมิอาจที่จะนำพากำลังทหารมากมายเข้ามาด้วยตนเองได้ ? และหากว่ามียอดฝีมืออื่นๆมาค่อยขัดขวางในที่นี้แล้วละก็ อย่างน้อยในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังดำเนินแผนการก็ยังช่วยเบิกทางไปในตัว นี้จึงนับได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด

 

เยี่ยจงและคณะเดินขึ้นไปทางพื้นที่ด้านหน้านี้ นับตั้งแต่แรกเรียกได้ว่าไม่พบอันตรายใดๆ เพียงแต่เมื่อเข้ามายังส่วนลึกของหุบเขา ยอดฝีมือต่างแตกแยก ตามถนนหนทางก็ได้ปรากฏสัตว์ปีศาจออกมาอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ว่าค่ายกลของเยี่ยจงและคณะนั้นถือว่าไม่เลว ดังนั้น เหล่าสัตว์ปีศาจที่โผล่ออกมานั้นก็ใช่ว่าจะสามารถรั้งเอาไว้ได้ อีกทั้งยังพวกมันยังราวกับมอบแก้วปีศาจให้แก่เยี่ยจงและพวกอย่างง่ายดายอีกด้วย

 

“ โฮก “

 

ขณะที่ยังดำเนินเข้าไปส่วนลึกของหุบเขา ทั่วทั้งสี่ด้านที่เต็มไปด้วยพงไพร่ก็ได้เปลี่ยนเป็นถนนสายเก่าอันน่ากลาดกลัวแห่งหนึ่ง มีต้นไม้ที่ดูเก่าแก่อยู่นับไม่ถ้วนที่ถูกทำลายลง ในพื้นที่ป่าหุบเขาที่มีการปรากฏสัตว์ปีศาจ พลังมือยังนับได้ว่าน่าหวาดหวั่นมากนัก

 

ได้มีสัตว์ปีศาจประเภทวานรขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกระโดดลงมาจากกลางอากาศอย่างกะทันหัน ความรุนแรงแผ่พุ่งออกมาราวกับกรงเล็บสายลม อีกทั้งยังมุ่งเป้ามายังบริเวณที่เยี่ยจงอยู่อีกด้วย

 

“ ตูม “

 

ทว่ายังไม่ทันที่การโจมตีของมันจะทอดลง เยี่ยจงก็ได้ซัดฝ่ามือออกไปยังบริเวณของคอหอยแล้ว จากนั้นร่างอันใหญ่โตของมันก็ได้ล้มลงกองอยู่บนพื้น

 

เพียงแต่ว่า ในช่วงเวลาหลังจากที่จัดการกับมารหัวขนตัวนี้แล้ว สีหน้าของเยี่ยจงก็ได้เปลี่ยนแปลงไปในทันทีคราหนึ่ง

.

.

.

.

 

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset