เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 101 ป้ายถ้ำหงส์หยา

ตอนที่ 101 ป้ายถ้ำหงส์หยา

 

“ ซวบ “

 

เยี่ยจงและพวกขยับร่างคราหนึ่ง ฝ่าเท้าเมื่อเหยียบลงบนพื้นดิน มุ่งหน้าไปยังด้านหน้าอย่างระมัดระวังและรวดเร็ว เยี่ยจงได้เข้าไปยังพื้นที่นั้นตั้งแต่แรกก็ทำหน้าที่นำหน้า ส่วนซูหยี่และพวกทั้งสามก็คอยล้อมป้องกันหลิงเยวี่ยเอาไว้บริเวณตรงกลาง เพิ่มที่จะให้นางสามารถฟื้นฟูกำลังได้อย่างเต็มที่

 

ภายใต้ความเร็วการเดินทางของคณะก่อนหน้านี้ นับตั้งแต่กลุ่มของเยี่ยจงเริ่มต้นที่จะเข้ามายังถ้ำหงส์หยาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แน่นหนาทางด้านใน บริเวณพื้นที่ด้านใน มีซากปรักหักพังอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าเคยถูกใช้งานมาก่อนเมื่อการเปิดของหลายปีที่แล้ว สิ่งของด้านในได้ถูกกวาดเรียบไปตั้งแต่แรกแล้วก็มิปาน เป็นที่แน่นอนว่าไม่หลงเหลือสิ่งใดๆแล้ว

 

เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดว่า ในช่วงวันเดือนที่ผ่านมานี้ ถ้ำหงส์หยาได้เปิดออกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ถึงแม้ในทุกคราจะมีช่วงเวลาที่จำกัด แต่ว่าด้านในก็นับได้ว่ามีของมีค่าอยู่ไม่น้อย

 

สิ่งที่ปรากฏออกมาให้เยี่ยจงและพวกเห็นเหล่านี้ได้ทำให้ไร้คำจะกล่าวออกมา ดูเหมือนว่าถ้ำหงส์หยาแห่งนี้คงจะมิใช่สถานที่ตามหาสมบัติอย่างที่คาดคิดเอาไว้ในตอนแรกแล้ว หากคิดที่จะคว้าเอามาไว้ในครอบครอง เกรงว่าคงจะต้องสูญเสียแรงกายไม่น้อยเลยทีเดียว

 

“ อือ ? “

 

และแล้ว ในช่วงเวลาตอนที่เยี่ยจงและพวกเตรียมตัวที่จะเพิ่มความเร็วขึ้น ทางด้านหน้าของเยี่ยจงก็ได้ส่องสว่างวายออกมาอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ได้ใช้สายตามิงไปทางด้านบริเวณของยอดเขา ในที่แห่งนั้น ได้มีหลุมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง หลุมขนาดใหญ่แห่งนี้ราวกับได้ถูกบางอย่างระเบิดออกมาก็มิปาน หากมองจากรูปร่างของมัน

 

“ ในนั้นน่าจะมีสมบัติอยู่ “ ซูหยี่หรี่ตาลงช้าๆ แล้วก็กล่าวอย่างกะทันหัน

 

“ แน่นอนว่าต้องมีสิ่งของอยู่เล็กน้อย “ เยี่ยจงก็สัมผัสได้ว่าบริเวณรูขนาดใหญ่แห่งนี้ได้มีบางสิ่งบางอย่างอยู่ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้โบกมือคราหนึ่ง จากนั้นก็จุดไฟขนาดเล็กแล้วดีดออกไป

 

แสงไฟขนาดเล็กเป็นสายได้ส่องสว่างสะท้อนคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว จนท้ายที่สุดก็ตกลงไปยังใจกลางของหลุมขนาดใหญ่ จากนั้น เยี่ยจงและคณะก็ได้พบเห็นร่างที่คล้ายกับศพอยู่ร่างหนึ่ง อยู่ในลักษณะนั่งอยู่ในพื้นที่ด้านล่าง

 

บนร่างกายของศพได้ปรากฏเป็นสีขาวหยกชนิดหนึ่ง ถึงกับสามารถมองเห็นถึงเส้นเลือดที่โผล่ออกมา ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดอยู่หลายส่วน

 

เมื่อเหม่อมองไปยังฉากเบื้องหน้า ซูหยี่และพวกสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในฉากเบื้องหน้านี้ นับเป็นภาพที่ผู้คนยากที่จะคาดคิด ที่แท้ว่าเกิดอันใดขึ้นกัน

 

“ นี้สมควรเป็นเลือดเนื้อของผู้ที่กำลังฝึกปรือจนถึงขีดสุด ดูจากลักษณะของเขาแล้ว สมควรที่จะอยู่ในช่วงที่ทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อเกิดระดับที่เก้า เลือดเนื้อถึงได้ดูล้มเหลวถึงเพียงนี้ …… “ เยี่ยจงเหม่อมองไปยังฉากเบื้องหน้า คงจะไม่ดีถ้ายังจะกล่าวต่อไป ควรทราบว่า ต่อให้เป็นในดินแดนซานเชียนเซินเจี่ย ร่างและเลือดเนื้อของยอดฝีมือที่ฝึกจนถึงขอบเขตที่ไม่สูญสลายไปได้นั้นนับได้ว่ามีอยู่น้อย กับฉากเบื้องหน้าเช่นนี้เยี่ยจงก็ยังนับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่พบเจอ

 

“ พลังขั้นก่อเกิดระดับที่เก้า ร่างเลือดเนื้อไม่สูญสลาย …… “ นัยน์ตาของซูหยี่และพวกขยายใหญ่ขึ้น ควรทราบว่า โดยทั่วไปแล้ว หลังจากที่ฝึกฝนจนถึงขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดแล้ว วิชายุทธ์จะมีทางเลือกให้เลือกอยู่สองสาย เส้นทางแรกก็คือทะลวงบรรลุเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อฟ้าขั้นที่หนึ่ง ขอบเขตไอวิญญาณ”หลิงชี่จิ่ง” กำลังภายในเข้าฝึกปรือกับไอพลังวิญญาณได้เลย ให้ตนเองสามารถเข้าสู่ความสำเร็จหนึ่งวันคืนสู่พันลี้ เส้นทางตัวเลือกที่สองก็คือการฝึกฝนร่างกายต่อไป ทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อเกิดระดับที่แปด”ซานกวานเทียนทง=ด่านทั้งสามจุด” เพียงแค่ว่าหากเลือกเส้นทางสายนี้เมื่อเทียบกับเส้นทางแรกแล้ว เรียกได้ว่ายากเย็นกว่าหลายเท่าตัว ยิ่งเป็นยอดฝีมือในสมัยก่อนแล้ว มีเพียงน้อยนักที่จะเดินเส้นทางสายนี้ เพื่อที่จะเข้าสู่ขอบเขตร่างไม่สูญสลายในตำนานนี้

 

และสายตาที่มองไปยังศพทางด้านหน้า ถึงแม้ว่าจะทะลวงเข้าสู่ขั้นร่างกายไม่สูญสลายผิดพลาดก็ตามที มีหรือที่จะมิอาจทำให้ผู้คนตื่นตกใจได้ ? หลังจากที่มองเข้าไปแล้ว เลือดเนื้อร่างกายที่ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ทราบส่ายอดฝีมือท่านนี้ที่แท้แล้วมีความแข็งแกร่งถึงระดับใดกัน

 

“ ยังไงซะก็ได้พบพานผู้อาวุโสท่านนี้แล้ว พวกเราก็ให้ท่านจากไปอย่างสงบเถอะ “ หลิงเยวี่ยสูดลมหายใจเข้าคำหนึ่งออกมา

 

หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงก็พยักหน้าไปมา จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าแผ่วเบา โบกมือออกคราหนึ่ง กระแสลมสายหนึ่งก็ได้พัดไปยังร่างกายของศพผิวดั่งหยกก็มิปานร่างนี้

 

“ ซูม “

 

ในระหว่างที่สายลมกำลังพัดผ่าน สายลมแรกที่เคยพัดผ่านเมื่อหลายปีก่อน ราวกับเป็นดั่งชิ้นส่วนของหยกเป็นแผ่นชิ้นส่วนตัวต่อก็มิปาน ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ในสมัยก่อนคงจะฝึกปรือพลังจนถึงขั้นที่สามของสามด่านแห่งฟ้า แต่ว่าขอเพียงแค่เขายังมิได้ผ่านพ้นในระดับการฝึกปรือในขั้นก่อเกิดระดับที่เก้า(เนื้อกายไม่สูญสลาย) เช่นนั้นร่างกายของเขานี้ก็ยากที่จะบอกได้ว่ามีอายุผ่านมานานกี่คืนเดือนแล้ว

 

“ วิ้ง “

 

ในทันทีที่เยี่ยจงกำลังจะหันกายจากไปนั้นเอง ทันใดนั้น บริเวณท่ามกลางหลุมขนาดใหญ่แห่งนี้ ก็ได้มีแสงสว่างขึ้นมา เยี่ยจงขมวดคิ้วเบาๆ จากนั้นก็ได้โบกมืออย่างแรงไปมา กระบี่คงหมิงก็ออกมาอยู่ในมือ ค่อยๆก้าวออกไปช้าๆ จากนั้นก็พบเจอกับชิ้นส่วนป้ายเงินวางไว้อยู่บริเวณฝ่ามือของเยี่ยจง

 

ภายนอกของแผ่นป้ายเงินมีลักษณะเก่าแก่ ด้านบนมีโลหะนูนเล็กน้อย แต่ว่าในเวลาเดียวกัน เยี่ยจงก็สามารถที่จะรับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวอันแปลกประหลาดเหล่านี้ได้

 

“ นี้มัน …… “

 

เยี่ยจงจ้องมองไปยังของชิ้นนี้ ใบหน้าทอแววครุ่นคิดขึ้นมาสายหนึ่ง

 

“ นี้คือแผ่นป้ายถ้ำหงส์หยา “

 

เสียงได้ดังออกมา จากบริเวณทางด้านหลังของเยี่ยจง จุดที่เสียงดังออกมานั้น ได้ทำให้เยี่ยจงและพวกต้องจ้องเขม็งไปในทันที พวกเขาแม้จะมีคนอยู่มาก แต่ก็ไม่อาจที่จะตรวจสอบว่ามีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?

 

เยี่ยจงขมวดคิ้วเบาๆ แต่ก็ถือว่ากระจ่างแจ้งถึงในช่วงเวลาที่ตนเองกำลังตรวจสอบศพของยอดฝีมืออยู่ก็ได้ถูกแฝงตัวเข้ามา ต่อมาเขาก็ได้ค่อยๆหันกายกลับไป ก็พบว่าบริเวณทางด้านหลังนั้น ได้มีชายหนุ่มที่สวมไว้ด้วยชุดคลุมสีขาวกอดอกอยู่เบาๆ ไม่ทราบว่าในเวลาใด ถึงกลับสามารถปรากฏตัวออกมาเช่นนี้ได้

 

ชายหนุ่มมีรูปร่างสูงยาว ใบหน้ากล้าหาญ โดยเฉพาะบนหน้าของเขา ได้ให้รอยยิ้มที่ยากจะลืมชนิดหนึ่งแก่ผู้ที่พบกันครั้งแรก เขาน่าจะเป็นคุณชายอันสูงศักดิ์แห่งตระกูชื่อดังก็มิปาน มิใช่บุคคลที่จะสมควรปรากฏตัวออกมาในสถานที่เช่นนี้

 

เกี่ยวกับบุคคลที่โผล่ออกมากะทันหัน ไม่แต่เพียงแค่เยี่ยจง แม้แต่ซูหยี่และพวกต่างก็ทำการสำรวจตัวของเขาอย่างเข้มงวด กระทั่งตอนนี้ที่บริเวณด้านหลังของเขาก็ได้ปรากฏผู้คนกลุ่มหนึ่งอย่างไร้สุ่มเสียง แน่นอนว่ามิใช่บุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน

 

ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ฉากการต่อสู้ที่เยี่ยจงต่อกรกับมนุษย์ใบหน้าอสรพิษ สมควรที่แต่ละคนก็คงเห็น อีกทั้งเยี่ยจงยังไม่มีแม้แต่ความหวาดกลัวเลย เช่นนั้นก็บ่งบอกได้ว่า หากว่าเขาไม่ได้บ้า เช่นนั้นก็ต้องเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงอย่างแน่นอน แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็เหมือนคนประเภทหลงเสียมากกว่า

 

แล้วก็ค่อยๆโบกมือ หลังจากที่ซูหยี่และพวกได้ไปทางด้านหลังคอยคุ้มครองหลิงเยวี่ย เยี่ยจงก็ได้โยนป้ายของถ้ำหงส์หยาไปมา กล่าวเสียงดัง “ มีอันใดจะชี้แนะ ? “

 

“ โชคของเจ้านับว่าไม่เลวเลย ป้ายถ้ำหงส์หยานี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นในการเปิดสถานที่ต่างๆเลยก็ว่าได้ ขอเพียงมีแค่ชิ้นหนึ่ง ก็นับได้ว่าเป็นโอกาสที่ฟ้าประทานมาให้ ตลอดทางมานี้ข้าก็ยังไม่พบเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ถึงกับมีคนที่มีความสามารถในการลงมือก่อนข้าได้เชียว “ ชายหนุ่มมิได้ตอบคำถามของเยี่ยจง แต่หลังจากที่มองดูสายตาอันลี้ลับของเยี่ยจงแล้ว จึงค่อยๆเอ่ยปากกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา

 

“ เจ้ามีความสนใจต่อมันงั้นหรือ ? “ เยี่ยจงพลิกป้ายเงินในมือไปมา แล้วก็เอ่ยทั้งยิ้มทั้งไม่ยิ้มออกมา “ หากว่าเจ้ามีความสนใจถึงขนาดนั้นแล้วละก็ มอบให้แก่ท่านก็ได้แล้วมิใช่หรือ “

 

“ หากว่าข้าในตอนนี้เอ่ยปากที่จะรับเอาไว้แล้วละก็ เจ้าก็คงจะลงมือต่อข้าโดยทันทีใช่ไหม ? เหมือนกับที่เจ้าสังหารมนุษย์ใบหน้าอสรพิษนั้น ? “ ชายหนุ่มชุดขาวเหม่อมองเยี่ยจงด้วยสีหน้าสงสัย เห็นได้ชัด ก่อนหน้านี้ช่วงที่อยู่ด้านหน้าทางเข้า แน่นอนว่าเขาก็ต้องอยู่ด้วย เพียงแต่ว่าด้วยพลังฝีมือของเยี่ยจงยังคงมิอาจที่จะทำให้เขาเกรงกลัวได้

 

เยี่ยจงเงียบงันไร้คำพูดไม่ยอมรับหรือปฏิเสธเพียงแต่หยักไหล่ไปมา เด็กน้อยผู้นี้ที่ด้านหน้าสายตาไม่ทราบว่ามีที่มาอย่างไร คิดไม่ถึงว่าเขาจะว่าง่ายได้ถึงเพียงนี้ ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง

 

“ แต่ว่าก็วางใจเถอะ จริงอยู่ที่ว่าข้าฝานหลิงถึงแม้ว่าจะมีความเสนาะสนใจแผ่นป้ายเหล็กนี้ เพียงแต่ว่า ก็ใช่ว่าจะอยู่ในขั้นที่แรกได้ว่าขาดไม่ได้เลยเช่นนั้นก็ไม่ใช่ หรือกล่าวได้ว่า เพียงเพื่อแผ่นป้ายเพียงชิ้นเดียว ก็ต้องมีปัญหากับผู้มีชื่อเสียงที่มาจากลัทธิแห่งดวงดาว ดูยังไงก็ไม่คุ้มค่า ……… “ ชายหนุ่มที่เรียกขานตนเองว่าฝานหลิงผู้นี้ก็ได้สะบัดมือโบกไปมา แล้วเริ่มที่จะกล่าวคำพูดราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด

 

“ ท่านยังมีสิ่งใดที่จะชี้แนะอีกหรือ ? “ เยี่ยจงขมวดคิ้วไปมา เด็กน้อยผู้นี้ที่แท้กำลังจะทำอันใดกันแน่

 

“ ข้าเพียงแต่คิดที่จะดูว่า เยี่ยจงที่มีชื่อเสียงอันโด่งดังในช่วงนี้ของลัทธิแห่งดวงดาว ที่แท้เป็นบุคคลเช่นไรกันแน่ก็แค่นั้น แต่ว่าข้ามิใช่มีความสนใจที่จะลงไม้ลงมือกับเจ้าหรอก แต่ก็คาดหวังไว้ว่าในครั้งต่อไปที่ได้พบกัน เจ้าคงไม่มีสมบัติอันใดที่สามารถสร้างความสนใจให้แก่ข้าได้ก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ เหอะเหอะเหอะ …….. “

 

หลังจากชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวที่เรียกตนเองว่านามว่าฝานหลิงหัวเราะออกมา ร่างกายก็ได้ขยับคราหนึ่ง ทันใดนั้นเงาร่างก็ได้ถอยรนออกไป

 

“ เด็กน้อยผู้นี้ ……. “ เยี่ยจงเหม่อมองไปยังฉากเบื้องหน้า สีหน้าทอแววแปลกใจอยู่หลายส่วน นอกเสียจากเด็กน้อยผู้นี้จะเก็บงำพลังที่แท้จริงแล้ว ? แต่ว่าถึงจะเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ก็ยังถือว่าไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี

 

“ คนผู้นี้แข็งแกร่งมาก ……. “ ซูหยี่ถอนหายใจออกมาอย่างแรงคำหนึ่ง เหม่อมองไปยังบริเวณที่ฝานหลิงหายไป เอ่ยปากกล่าวเสียงแผ่วเบา

 

“ แน่นอนว่าเขาแข็งแกร่ง “ ไม่ทราบว่าหลิงเยี่ยฟื้นฟูพลังเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อไหร่ สีหน้าของนางได้แสดงออกถึงความสับสนกับฝานหลิงที่หายไป หลังจากนั้นก็ได้ส่ายศีรษะแล้วกล่าวต่อ “ คนผู้นี้หากมีนามว่าฝานหลิงจริงๆแล้วละก็ เช่นนั้นเขาก็สมควรที่จะคุณชายเสเพลฝานหลิงที่เป็นหนึ่งในสี่คุณชายใหญ่แห่งรัฐเหรี่ยเทียนหวังเฉาแล้ว……… เพียงแต่ว่า ฝานหลิงผู้นั้นเมื่อหนึ่งปีที่แล้วนั้นได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อฟ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดนี้ แม้แต่ข้าเองยังยืนยันไม่ได้ว่าเป็นเขาหรือไม่ “

 

“ สมควรที่จะเป็นเขาแล้วละ จากที่ข้าตรวจสอบมาได้ คนผู้นี้สมควรที่จะมีพลังอยู่ในขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ด อีกทั้งยังดูเหมือนว่ายังยุ่งยากมากกว่ามนุษย์ใบหน้าอสรพิษเมื่อครู่อยู่หลายส่วนด้วย แต่ว่าก็ช่วยไม่ได้ ขอเพียงไม่มีปัญหากับพวกเราแล้วละก็ ก็ให้เขาเข้าปะทะกับคนของรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาก็แล้วกัน พวกเราคอยดูอยู่ทางด้านหลังก็พอแล้ว “ เยี่ยจงค่อยๆเอ่ยปากกล่าวด้วยความเกียจคร้าน

 

“ ถ้าอย่างนั้นพวกเราตอนนี้ทำอย่างไรดี ? “ หลิงเยวี่ยกล่าวออกมาเสียงดัง

 

“ ศิษย์พี่หญิงหลู่ปิง จากคำกล่าวก่อนหน้านี้ของท่าน ตระกูลของพวกท่านกล่าวไว้ว่าในดินแดนแห่งนี้ได้มียอดฝีมือขั้นเซียนนั่งบำเพ็ญอยู่ ในด้านสถานที่ ท่านพอจะทราบหรือไม่ ? “ หลังจากที่เยี่ยจงครุ่นคิดไคร่ครวญ จากนั้นก็เก็บป้ายถ้ำหงส์หยา เอ่ยปากกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา

 

“ ควรทราบว่า ทว่าข้าก็มิอาจที่จะยื่นยันได้อย่างแน่ชัด แต่ว่าหากไม่ลองดูสักคราก็คงหาสถานที่แห่งนั้นไม่เจอหรอก “ หลังจากที่หลู่ปิงกล่าวด้วยเสียงทุ่มต่ำ ก็ค่อยหยักไหล่กล่าวออกมา

 

“ ดี เช่นนั้นเราก็ไปยังสถานที่บำเพ็ญเพียรกัน อีกทั้งพวกเรามายังถ้ำหงส์หยาแห่งนี้ก็ยังไม่มีเป้าหมายอันใดเลย หากว่ามีเป้าหมายอยู่สักข้อแล้วละก็ จึงนับได้ว่าเป็นเรื่องที่ดี “ เยี่ยจงพยักหน้าแล้วตอบ

 

“ อือ “ หลู่ปิงตอบรับ หลังจากนั้นก็กวาดสายตามองไปยังทั่วทั้งสี่ทิศอย่างระมัดระวัง จึงค่อยโบกมือออกมาคราหนึ่ง “พวกท่านตามข้ามาเถอะ “

 

“ ซวบ ซวบ ซวบ “

 

ทันทีที่สิ้นเสียงของหลู่ปิง คนทั้งกลุ่มก็ได้เริ่มที่จะพุ่งทะลวงออกไปตามหลังนางเหินลอยไปยังส่วนลึกของอากาศอย่างรวดเร็ว

 

การเร่งเดินทางในครั้งนี้ ใช้เวลาไปเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง ในช่วงเวลาที่ผ่านมายังนับได้ว่าพบเห็นซากปรักหักพังเก่าแก่อยู่อีกไม่น้อย และมีส่วนหนึ่งที่เป็นซากปรักหักพังเช่นเดียวกันแต่ก็ยังไม่เรียกได้ว่าเก่าแก่มากมาย สถานที่เหล่านี้ได้ดึงดูดยอดฝีมือจำนวนมากมา เพื่อสมบัติเพียงนิดเดียว ทันใดนั้นก็ได้เกิดการต่อสู้ขึ้นนับไม่ถ้วน

 

เพียงแต่ว่า เยี่ยจงและพวกไม่ค่อยจะมีความสนใจต่อสิ่งของเหล่านี้สักเท่าไหร่ จากนั้นก็ได้เพิ่มความเร็วในการเดินทางโดยการนำทางของหลู่ปิง

.

.

.

.

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset