เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 109 ความน่ากลัวของหลิงเยวี่ย

ตอนที่ 109 ความน่ากลัวของหลิงเยวี่ย

 

 

 

 

“ ซวบ “

 

ในระหว่างที่หลิงเยวี่ยผสานมือเข้าด้วยกัน ก็พบเห็นยันต์วิญญาณสาดเป็นประกายออกมาผสานเข้าด้วยกันอย่างวุ่นวาย ยันต์วิญญาณเหล่านี้เหมือนดังการใช้งานวิชายันต์ที่แสนจะธรรมดา แต่ว่าใช้เวลาที่เข้าร่วมกันแล้ว ก็ได้แผ่กลิ่นอายพลังความลี้ลับออกมา ท้ายที่สุด ยันต์วิญญาณเหล่านี้ก็ได้รวมตัวเข้าด้วยกันจนกลายเป็นกระบี่ขนาดใหญ่ด้ามหนึ่ง ลอยคว้างอยู่บริเวณทางด้านหลังของนาง

 

บนกระบี่ด้ามใหญ่นี้ ราวกับสามารถตัดผ่าแยกท้องนภาได้เลย ความเคลื่อนไหวของมันให้ความน่ากลัวอย่างที่สุดชนิดหนึ่ง แผ่พุ่งพลังกดดันไปทั่วทั้งสี่ด้าน

 

“ เช้ง เช้ง เช้ง “

 

ทันใดนั้นต่อมา นิ้วมือของหลิงเยวี่ยก็ได้ชี้ออกไปยังบริเวณทางด้านหน้า วินาทีนั้น กระบี่ยันต์วิญญาณก็ได้เข้าปะทะด้วยความเร็วอย่างที่มากที่สุดออกไป ตัดผ่าสภาพอากาศไป ในขณะที่ทุกผู้คนยังไม่ทันที่จะมีปฏิกิริยากลับมาได้ทัน ความรุนแรงนี้ก็ได้ตัดผ่าไปที่เกราะป้องกันของเหลียนคายหยู่แล้ว

 

“ ซูม “

 

การปะทะที่ทำให้สายลมเกิดการหมุนเวียนอย่างบ้าคลั่งจนทำให้ผู้คนที่เห็นตกใจ และจากนั้นก็ได้ยินเสียงดังของโลหะกระทบกันดังขึ้น ในตอนที่เหลียนคายหยู่ผู้นี้ตอบสนองกลับมา ท่ามกลางดวงตาที่เต็มไปด้วยความยากที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็น เกราะป้องกันของเขาในตอนนี้ ก็ต้องปรากฏรอยร้าวขึ้นมา เป็นไปได้อย่างไร ?

 

“ ชิ้ง เช่ง ชิ้ง เช่ง “

 

รอยแตกแผ่ออกมาอย่างรวดเร็ว ช่วงเวลาเพียงแค่ครู่เดียว เกราะป้องกันที่เหลียนคายหยู่ใช้ออกมาก็เต็มไปด้วยรอยแตกร้าวออกมา ท้ายที่สุดก็เกิดเสียงดังสะท้านขึ้นมาจนสายตาทุกคู่ที่มองเข้ามาต้องตื่นตะลึง ปะทะจนแตกแยกออกมา

 

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เยี่ยจงก็ได้ใช้ออกไปด้วยมือซ้ายสาดเป็นประกายวาดไปทางด้านจานหยก แล้วก็จับคว้าไปที่หลิงเสียวซานี้

 

“ ซูม “

 

แรงระเบิดจากสายลมอันไร้ที่เปรียบ ในตอนนี้ก็เกิดแรงกระทบจากสายลมหมุนวนไปมา จนทำให้พื้นที่นั้นเกิดรอยแยกออกมาบนพื้นดินเป็นสาย ยอดฝีมือรอบด้านก็ได้ลอยถอยออกไปด้วยสีหน้าที่ตื่นตกใจ

 

ในเวลาเดียวกันกับที่ถอยออกมา ประกายสายตาที่จ้องเขม็งอย่างเอาเป็นเอาตายก็ได้พุ่งปะทะเข้ามา ภายในการมองเห็นของเขา ท่ามกลางเงาร่างที่ทะยานออกมา ฝ่าเท้าที่ถอยออกไปหยุดยืนอยู่ในจุดที่ห่างไกลไปราวสิบเมตรนั้นเอง จนสามารถที่จะหยุดร่างกายเอาไว้ได้

 

“ ซู่ “

 

ท่ามกลางบริเวณสนาม ก็ได้ยินเสียงสูดลมหายใจเข้าออกดังออกมา เกราะศึกของเหลียนคายหยู่ผู้นี้ได้สูญลายไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าการโจมตีของหลิงเยวี่ยจะร้ายกาจเกินกว่าที่คาดคิดไว้ได้ถึงเพียงนี้ ถึงกับทำให้เขาถอยออกไปได้ ?

 

กระบวนท่าที่เข้าปะทะเข้าด้วยกันเมื่อสักครู่นั้นที่แท้มีความร้ายกาจในระดับใดกันแน่ ?

 

“ คุณชายควางโซว เก่งกาจสมคำล่ำลือ “ บริเวณท่ามกลางสนาม หลิงเยวี่ยก็ได้พนมมือเบาๆ ยันต์วิญญาณแต่ละใบก็ได้ลอยคว้างออกมาเข้าไปยังชุดกระโปรงของนางอย่างช้าๆและเป็นระเบียบ จากนั้นนางก็หันกายไป หลิงเยวี่ยในขณะนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนดั่งเทพเซียนนางฟ้าอยู่หลายส่วนก็มิปาน

 

“ เจ้า “

 

เหลียนคายหยู่กัดฟันดังกร่อนจ้องมองไปยังหญิงสาวที่ทำให้ศาสตราวุธของเขาแตกสลายไปได้ ดวงตาของเขาที่ทอแววอาฆาตก็ได้ค่อยๆสลายหายไป หลงเหลือไว้แต่เพียงความหนักแน่น เขานั้นทราบดีอยู่แต่แรกแล้ว นอกเหนือจากชื่อเสียงของนางเซียนของลัทธิแห่งดวงดาวผู้นี้ วิชายันต์อันแปลกประหลาดสายนี้ แต่ว่าในวันนี้ถึงกับสามารถเห็นด้วยตาตนเอง เขาจึงค่อยเข้าใจได้ถึงความร้ายกาจ

 

ในขณะนี้ ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือเช่นเหลียนคายหยู่ แม้แต่เยี่ยจงและพวกเองก็ยังเริ่มที่จะหวั่นเกรงอย่างไร้ที่เปรียบ

 

“ เด็กน้อยทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งมีเพียงแค่พลังขั้นก่อเกิดระดับที่หก ถึงกับสามารถที่จะสังหารมนุษย์ใบหน้าอสรพิษที่มีพลังฝีมือในขั้นก่อเกิดขั้นที่เจ็ดลงได้ อีกคนหนึ่งก็เป็นผู้ใช้ยันต์มากพรสวรรค์ พลังการสู้ที่มากเกินกว่าการคาดเดาได้ ………. “

 

ถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้ ในตอนที่ประมือกันเมื่อครู่ เหลียนคายหยู่ถึงแม้ว่าจะมิได้ใช้ออกด้วยไม้ตายของตนเองทั้งหมด แต่ว่าเขาก็เข้าใจเป็นอย่างดี ต่อให้ใช้ออกด้วยไพ่ตายแล้วละก็ ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงก็คงยากที่จะกล่าวออกมาได้

“ ซูม “

 

ในช่วงเวลาที่พลังฝีมืออันน่าตื่นตกลึงของเหลียนคายหยู่และหลิงเสวี่ยใช้ออกมานั้น บริเวณทางด้านหลัง ก็ได้ยินเสียงเท้าดังออกมาเป็นสาย เยี่ยจงในตอนนี้อมยิ้มขึ้นมากับเสียงเท้าที่ได้ยิน สายตาที่จ้องมองมาของเหลียนคายหยู่ก็ได้จ้องเขม็งเข้ามา และจากนั้นก็ได้มาถึงยังโต๊ะหยกอย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย็นชา ตอนนี้หลิงเสียวซานั้นได้หายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

“ เจ้าถึงกับมีความสามารถที่จะทำลายค่ายกลพิษได้เชียวหรือ ? “ เหลียนคายหยู่ส่งเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นตกใจและความยากที่จะเชื่อออกมาได้ เห็นได้ชัดว่าเขาก็ทราบดี การแย่งชิงหลิงเสียวซาคงยากขึ้นกว่าเดิมแล้ว

 

“ ใช่แล้วจะเป็นอย่างไร ? “ เยี่ยจงกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มกวาดสายตามองไปที่เหลียนคายอยู่ เมื่อได้หลิงเสียวซามา ก็ได้ทำให้จิตใจเขาดีขึ้น แม้แต่รังสีฆ่าฟันภายในจิตใจก่อนหน้านี้ก็ยังจางลงอยู่หลายส่วน

 

“ ได้แล้วสินะ ? “ เมื่อหลิงเยวี่ยพบว่าเยี่ยจงเป็นเช่นนี้ ก็อดที่จะยิ้มออกมามิได้

 

“ อือ “ เยี่ยจงพยักหน้าไปมา ทันใดนั้นเขาก็เหม่อมองไปที่หลิงเยวี่ยด้วยสายตาที่ทอเป็นประกายความสงสัยขึ้นมาหลายส่วน ถึงแม้เขาจะทราบว่าหลิงเยวี่ยมีฝีมือที่ไม่อ่อนด้อย แต่ว่าในสถานการณ์ที่จะต้องเตรียมตั้งค่ายกลยันต์วิญญาณก่อน จากนั้นก็ยังสามารถที่จะต่อกรกับเหลียนคายหยู่ได้จนถึงระดับนี้ ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ตนเองจะดูแคลนหลิงเยวี่ยเกินไปแล้ว

 

ยอดฝีมือที่มองมาจากรอบด้าน ตอนนี้สีหน้าก็ได้เปลี่ยนเป็นหลากหลายอารมณ์อยู่หลายส่วนขึ้นมา ไม่มีผู้ใดคาดถึง เวลาเพียงแค่หนึ่งถ้วยน้ำชาเดือด เยี่ยจงผู้นี้ถึงกับสามารถครอบครองหลิงเสียวซาไว้ในมือได้อย่างแท้จริง ในขณะนี้ ดวงตาของผู้คนไม่น้อย ก็ได้ปกคุมไปด้วยความอิจฉาริษยา แต่ว่าภายใต้ความอิจฉาริษยานี้ ก็ได้มีความหวาดกลัวชนิดหนึ่งควบคุมไว้อยู่ อีกเหตุผลก็คือพลังฝีมือของเยี่ยจงและหลิงเยวี่ยทั้งสองคน แข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนตื่นตกใจได้

 

สีหน้าของเหลียนคายหยู่ในตอนนี้ปั้นยากอย่างถึงที่สุด ในใจโกรธแค้นอย่างไร้ที่เปรียบ ในครั้งนี้ เขานับว่าได้รับบทเรียนไว้แล้ว

 

“ เยี่ยจง เจ้าคิดที่จะเอาหลิงเสียวซานี้ไปเช่นนี้งั้นหรือ เกรงว่าจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น “ ในตอนนี้ในหัวได้เกิดร้อนดั่งไฟขึ้นมา เหลียนคายหยู่ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำพูดเย็นชาออกมา

 

“ งั้นหรือ ? เช่นนั้นก็ให้พวกเราศิษย์พี่น้องทั้งสองตน เข้ารับการสั่งสอนจากคุณชายควางโซวพร้อมกันดีหรือไม่ ? “ เยี่ยจงอมยิ้ม สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

 

“ เจ้า “

 

เหลียนคายหยู่กรอกตาคราหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นหลิงเยวี่ยหรือว่าเยี่ยจง เด็กน้อยทั้งสองคนนี้ต่างก็ไม่มีคนใดที่ธรรมดาสามัญอย่างคนทั่วไปเลยแม้ซักคน ต่อให้ต้องต่อสู้กับคนใดคนหนึ่ง เค้าก็ใช่ว่าจะสามารถทำให้อีกฝ่ายพ่ายได้ ถ้าหากว่าทั้งสองคนร่วมมือกัน เช่นนั้นต่อให้ภายในใจเหลียนคายหยู่มีความมั่นใจในตัวเองมากเพียงใด ก็ยังต้องถอยรนไปภายในสามกระบวนท่าเท่านั้น

 

ในขณะที่จ้องมองไปยังเยี่ยจงที่ใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มออกมานั้น สติของเหลียนคายหยู่กับราวกับถูกความโกรธกดทับไว้ภายในจิตใจ เขาทราบว่า หากว่าตอนนี้อดทนที่จะลงมือไปแล้วละก็ ไม่แน่ว่าผู้ที่ต้องทิ้งร่างเอาไว้คงต้องเป็นเขาเอง หลังจากที่ครุ่นคิด เขาก็กัดฟันกร่อนแล้วหันกายจากไป

 

“ เยี่ยจง อย่าพึ่งได้ใจจนเกินไป เร็วๆนี้ ค่าจะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้าให้กระจ่างกันเลยทีเดียว “

 

หลังจากที่สิ้นเสียง เหลียนคายหยู่ ก็ได้ชักสีหน้าจากไปจากห้องโอสถแห่งนี้อย่างรวดเร็ว

 

ทำกางสายตานับไม่ถ้วนที่จ้องมองมาที่เหลียนคายหยู่อย่างดุดันในตอนนี้ แต่ละคนก็ต้องกระพริบตาไปมาอย่างช้าๆ เมื่อเหม่อมองไปทางเยี่ยจงและพวกสองคน ตอนนี้ก็เกิดความหวัดกลัวไร้ที่เปรียบ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็คิดไม่ถึง บทสรุปอย่างบุคคลเช่นเหลียนคายหยู่ ก็ยังไม่อาจแม้แต่จะแตะต้องบุคคลอย่างเยี่ยจงแม้แต่เส้นขน

 

เด็กน้อยที่มาจากลัทธิแห่งดวงดาวเหล่านี้ ถึงกับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะสามารถต่อกรได้เลยหรือ

 

“ไม่ เป็นไรนะ ? “

 

หลังจากนั้นไม่นาน ซูหยี่และพวกสามคนก็ได้ทะลวงพุ่งเข้ามายังห้องโอสถ มาถึงบริเวณด้านข้างที่เยี่ยจงยืนอยู่ เอ่ยปากกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงดูหลายส่วน พวกนางหลังจากที่ได้รับข่าวคราวแล้วว่าได้รีบเร่งมาสมทบเช่นเดียวกัน

 

“ ไม่เป็นไร สถานที่เช่นนี้ไม่อาจที่จะหยุดรั้งรอได้นาน ไปกันเถอะ “ เยี่ยจงกวาดสายตามองไปทั่วทั้งสี่ด้านคราหนึ่ง ภายใต้การมองเห็นของเขา เหล่ายอดฝีมือแต่ละคนในตอนนี้ก็เริ่มที่จะถอยออกไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้ พวกเขาต่างก็เกิดความหวาดกลัวเยี่ยจงอย่างไร้ที่เปรียบ แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดที่กล้าลงมือ

 

เมื่อได้เห็นฉากเบื้องหน้า เยี่ยจงก็ได้โบกมือคราหนึ่ง ทั้งคณะห้าคนก็ได้เหินไปจากห้องโอสถไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของอารามแห่งนี้

 

หลังจากที่ได้จากห้องโอสถมาแล้ว ก็ได้ผ่านเส้นทางสายหนึ่ง เยี่ยจงและพวกก็มิได้เสียเวลาอีกต่อไป มุ่งหน้าไปทางด้านของใจกลางอาราม ไปทางด้านใจกลางของอารามที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร เป็นที่ชัดเจน หากว่าเยี่ยจงคาดเดาได้ไม่ผิดแล้วละก็ ทางด้านใจกลางของตึกอารามแห่งนี้ สมควรที่จะเป็นหออารามหลักอย่างแน่นอน อีกทั้งมีความเป็นไปได้ถึงแปดส่วนที่จะพบกับกายทิพของยอดฝีมือที่นั่งบำเพ็ญขอบเขตเซียนอยู่

 

หลังจากที่ช่วงเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูป ผู้คนมากมายก็ได้มุ่งหน้าไปยังท่ามกลางใจกลางอารามใหญ่ทางด้านหน้า

 

ใจกลางอารามใหญ่แห่งนี้ได้สร้างโดยใช้หินอ่อนชิ้นใหญ่จนปรากฏออกมาเป็นสีเงินโบราณออกมา วันเวลานับเดือนปีที่ผ่านเลยมา ก็ได้ทำให้สีสันที่ปรากฏดูลึกล้ำขึ้น อีกทั้งจากช่วงเวลาที่ผ่านมานับหมื่นเดือนก็ได้แผ่กลิ่นอายโบราณออกมา ทำให้ผู้ที่สัมผัสอดไม่ได้ที่จะต้องอดรำลึกถึงสิ่งที่เคยเป็นอยู่ในสมัยก่อนมิได้

 

บริเวณใจกลางห้องโถงใหญ่อันกว้างขวาง น่าจะมีความกว้างใหญ่กว่าอารามปกติถึงห้าเท่า ผู้คนที่ได้เดินเข้ามานั้น แทบจะไม่ต่างจากมดแมลงก็มีปาน และบริเวณใจกลางห้องโถงใหญ่ ได้ตั้งไว้ด้วยหินสี่ก้อน บริเวณด้านบนของหินทุกก้อน ก็ได้มีแสงสีทองกลุ่มหนึ่งปกคลุมไว้อยู่ ทำให้ผู้คนที่มองต่างก็เข้าใจว่า ต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่มีค่ามากอยู่ทางด้านบน

 

“ หรือว่า สิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นคัมภีร์ทักษะยุทธ์ทั้งหมด ? “

 

ในช่วงเวลานั้นประกายสายตาของเยี่ยจงและพวกก็ได้จ้องมองไปยังกลุ่มก้อนแสงเหล่านี้ ดวงตาต้องขยับไปมาอย่างช้าๆ ราวกับเห็นม้วนคัมภีร์ที่มีค่ามากก็มิปาน แน่นอนว่าต้องเป็นคัมภีร์ยุทธ์อย่างมิต้องสงสัย อีกทั้งยังมีความน่าจะเป็นคัมภีร์ยุทธ์ถึงแปดส่วน

 

หลังจากที่ท่ามกลางสายตาที่สาดประกายออกมาเป็นสายกวาดสายตาเข้ามา ดวงตาของเยี่ยจงก็ได้หดตัวลงอย่างกะทันหัน เมื่อมองไปยังบริเวณที่ตั้งไว้ด้วยหินทั้งสี่ก้อน ในที่แห่งนั้น ก็ได้มีบัลลังก์ที่ทำจากทองแดงอยู่ตัวหนึ่ง ด้านบนบัลลังก์นี้ ราวกับมีบางอย่างที่เป็นเหมือนกระดูกที่สวมใส่ด้วยเกราะสีเขียวปรากฏออกมา โครงกระดูกหยกที่นั่งอยู่นั้น ในมือได้ผสานกันเป็นสัญลักษณ์ มือหนึ่งชี้ไปบนนภา มือหนึ่งชี้ไปยังพสุธา

 

“ สมควรเป็นอย่างที่ศิษย์พี่หญิงหลู่ปิงกล่าวออกมาทั้งหมด กายทิพของยอดฝีมือขอบเขตเซียนผู้นั้นที่นั่งบำเพ็ญอยู่ “ เยี่ยจงเหม่อมองไปยังโครงกระดูกนี้ จากนั้นก็ราวกับสัมผัสได้ถึงความกดดันที่หลงเหลืออยู่แผ่ออกมา จึงได้เอ่ยปากกล่าวออกมาเสียงเบา

 

หากนับตามพลังฝีมือเมื่อก่อนหน้านี้ของเยี่ยจงแล้วละก็ แน่นอนว่ายอดฝีมือขอบเขตเซียนก็ยังไม่อยู่ในสายตา แต่ว่าถ้ามองจากกับพลังฝีมือในตอนนี้ของเขาแล้ว ยอดฝีมือขอบเขตเซียนก็มีความน่าหวาดกลัวอยู่ภายในตัวเลยทีเดียว กับความรู้สึกที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ ได้ทำให้เยี่ยจงต้องหรี่ตาลงมองด้วยความจริงจัง

 

หลังจากที่ได้จดจ้องไปที่โครงกระดูกนี้ได้สักพัก เยี่ยจงก็ได้จ้องมองไปยังท่ามกลางอารามใหญ่แห่งนี้ ในตอนนี้ ในที่แห่งนี้ที่มีเงาร่างมากมายนับไม่ถ้วนยืนอยู่ และเลือดลมของคนเหล่านี้แต่ละคนก็ราวกับเดือดขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าต่างก็มิใช่บุคคลธรรมดาสามัญ

 

และก่อนหน้าที่เหลียนคายหยู่จะจากไป ก็ร่วมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

 

“ ความเคลื่อนไหวของเหลียนคายหยู่ผู้นี้ ช่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน ……. “ เมื่อพบกับกลุ่มคนที่คุ้นเคยแล้ว ดวงตาของเยี่ยจงก็ได้ปกคลุมไปด้วยความสบายใจออกมาสายหนึ่ง หากกล่าวว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ห้องโอสถก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแย่งชิงเพียงเล็กน้อยแล้วละก็ หากว่าในตอนนี้ต้องเกิดการลงไม้ลงมือขึ้นมาแล้วละก็ เกรงว่าจะต้องเกิดการตายขึ้นมาก็เป็นได้

 

หลังจากที่มองไปตามทางที่เหลียนตายหยู่จากไปแล้ว เยี่ยจงก็ได้จ้องมองไปที่บุคคลอื่นๆ รวมไปทั้งกลุ่มยอดฝีมือของเกาะหมอกควัน โรงฝึกเจ้าหวัง สำนักจ้านหวังเป็นต้นที่ปรากฏออกมาให้เยี่ยจงเห็น ………

.

.

.

.

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset