เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 110 ใจกลางห้องโถงใหญ่

ตอนที่ 110 ใจกลางห้องโถงใหญ่

 

 

 

 

ท่ามกลางใจกลางห้องโถงอันกว้างขวางแห่งนี้ ตอนนี้ก็ได้ปรากฏเงาร่างของผู้คนมากมายปรากฏให้เห็น นอกเสียจากเหล่ายอดฝีมือที่มาเพียงคนเดียวแล้ว ยอดฝีมือโดยส่วนมากก็จะกระจุกอยู่ด้วยกัน และทางด้านหลังของพวกเขานั้น ต่างก็เป็นยอดฝีมือที่มาจากทั้งสามรัฐใหญ่โดยทั้งสิ้น

 

หลังจากที่เยี่ยจงได้หรี่นัยน์ตาจ้องมอง ก็พบเห็นเหล่ายอดฝีมือของรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาอยู่ในมุมหนึ่ง และกลุ่มยอดฝีมือที่ได้พบพานกันก่อนหน้านี้ โดยส่วนมากก็สามารถพบเห็นได้ในบริเวณนี้ ดูเหมือนว่า เหล่ายอดฝีมือที่เข้ามายังถ้ำหงส์หยาต่างก็ทราบดีว่า บริเวณที่รกร้างในตอนนี้ยังมีอีกแห่ง อีกทั้งคนเหล่านี้ที่เข้ามายังที่รกร้างก็เข้าใจดีอยู่เต็มสิบส่วน ก็ได้เข้ามายังใจกลางบริเวณห้องโถงใหญ่แห่งนี้

 

ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เยี่ยจงและพวกได้เข้าสู่ห้องโถงใหญ่ ก็ได้ตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนไม่น้อยภายในห้องโถงใหญ่แห่งนี้ ต่อมา ก็รับรู้ได้ถึงรสชาติที่เต็มไปด้วยการจ้องมองมาที่เป็นประกายมาจากดวงตา

 

ท่ามกลางดวงตาที่สาดประกายมาเหล่านี้ เยี่ยจงก็มิได้ให้ความสนใจเท่าไร เพราะเขาเข้าใจอยู่เต็มสิบส่วน แน่นอนว่าเป็นความสนใจก่อนหน้า ท้ายที่สุดแล้วสายตาเหล่านี้ก็ต้องเปลี่ยนกลายเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้น

 

บริเวณจุดที่นั่งบำเพ็ญเพียรของยอดฝีมือขอบเขตเซียนแห่งนี้ ทั้งยังเป็นจุดสนใจที่สุดในตอนนี้ ราวกับได้ทำให้ทุกสิ่งที่ผ่านมานั้นใกล้จะมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

 

หลังจากที่ครุ่นคิด เยี่ยจงก็ได้กวาดตามองไปยังผู้คนมากมายที่จ้องมองมาของสำนักเจ้าหวังคราหนึ่ง เหลียนคายหยู่ก็ได้รวมกลุ่มเข้าก็เหล่ายอดฝีมือยองสำนักเจ้าหวังแล้ว ในตอนนี้บริเวณทางด้านหลังก็ได้มีสายตาจ้องมองเข้าด้วยความเยียบเย็นมาที่เขา เป็นที่ชัดเจน เมื่อครู่ที่อยู่ในห้องโอสถต้องพลาดท่าให้แก่เขาอย่างใหญ่หลวง ทำให้เขาบังเกิดอารมณ์ฆ่าฟันปะทุออกมา

 

ที่ฉากเบื้องหน้าแห่งนี้ เยี่ยจงก็ได้หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ภายในใจปกคลุมไปด้วยรังสีการฆ่าฟัน หากมิใช่เพราะสถานที่ไม่อำนวยแล้วละก็ เยี่ยจงคงจะต้องเข้าไปห้ำหั่นกับคุณชายควางโซวอย่างแน่นอน

 

จากนั้นก็โบกมือคราหนึ่ง กลุ่มคนทั้งห้าคนก็ได้ค่อยๆก้าวเดินเข้าไปสู่ใจกลางของห้องโถงใหญ่ ในขณะที่กำลังจะเข้าใกล้กับหินก้อนใหญ่ทั้งสี่ก็ต้องหยุดเดินในเวลาต่อมา

 

ในตอนที่ได้เดินเข้าไปบริเวณในตอนนี้เยี่ยจงก็ก็พึ่งพบว่า บริเวณบัลลังในตอนนี้นั้น ก็ได้ว่าร่างกายหยาบสีเงินส่องประกายของหุ่นเชิดสงครามอยู่ล้อมรอบบัลลัง ดูจากลักษณะของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าไม่ทราบว่าได้นั่งอยู่ในสถานที่เช่นนี้มานานเท่าไหร่แล้ว อีกทั้งร่างกายของพวกมันที่ทำมาจากเหล็กกล้านั้น ส่องเป็นประกายแวววับ ก็ได้ทำให้ผู้ที่มองเห็นนั้นจำเป็นต้องคันที่ศีรษะอย่างช่วยไม่ได้

 

แต่ว่า การมีอยู่ของหุ่นเชิดสงครามนับสิบตัว ราวกับทำให้เหล่าขุมกำลงที่เข้ามาก่อนหน้านี้ต้องครุ่นคิดที่จะเข้าไปก็มิปาน ในขณะนั้น ไม่มีผู้ใดเลยที่มีความกล้าพอที่จะเข้าใกล้ยังบริเวณที่ตั้งของบัลลังและหินทั้งสี่ก้อน

 

“ หุ่นเชิดสงครามเหล่านี้อีกแล้วงั้นหรือ ? “

 

เมื่อพบเห็นหุ่นเชิดสงครามเหล่านี้ ซูหยี่ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วกล่าว

 

“ หุ่นเชิดสงครามเหล่านี้มิใช่ธรรมดา ก่อนหน้านี้ที่พวกเราพบหุ่นเชิดสงครามห้าตัวบริเวณทางเข้าของแดนรกร้างนั้นมิปานที่จะนำมาเปรียบเทียบกับเจ้าพวกนี้ได้เลย พลังฝีมือของพวกมัน น่าจะมากเกินกว่าพลังฝีมือขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดไปแล้ว “ เยี่ยจงหรี่จ้องเขม็งไปด้วยสีหน้าหนักแน่น หุ่นเชิดสงครามเช่นนี้นับว่าเกินกว่าที่พวกเขาจะคาดคิดเอาไว้ อย่าได้มองว่าพวกมนยังไม่เคลื่อนไหวในตอนนี้ เพียงแต่แค่จะล่อลวงเหล่าผู้คนที่มองไปจนอดไม่ได้ที่จะต้องลงมือก็เท่านั้น แต่ว่าถ้าหากเยี่ยจงคาดเดาได้ไม่ผิดแล้วละก็ ผู้ใดที่หากอดใจไว้ไม่อยู่ต้องลงมือออกไปทำอันใดต่อทักษะยุทธ์เหล่านั้นแล้วละก็ เกรงว่าทันทีที่เหล่าหุ่นเชิดสงครามเริ่มต้นทำการต่อต้านขึ้นมาทันทีแล้วละก็คงจะน่าหวาดกลัวเกินคำพูดจะบรรยายออกมาได้

 

นี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งของยอดฝีมือที่มาถึงก่อนหน้านี้ แต่ว่าจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ทำอันใด ดังนั้นในเมื่อพวกเขาไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ที่ได้แต่พึ่งพากำลังของตนเองในการจัดการกับเหล่าหุ่นเชิดสงครามที่มีพลังมหาศาลเหล่านี้

 

“ มากเกินกว่าขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ด ? “ เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยจง ถึงแม้จะเป็นซูหยี่ หลู่ปิงและคนที่เหลือก็ต้องแปรเปลี่ยนสีหน้า หุ่นเชิดสงครามที่มีพลังเกินกว่าขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ด พลังเช่นนี้ สมควรที่จะเทียบเคียงได้กับยอดฝีมือในระดับขั้นก่อเกิดระดับที่แปด ซานกวานเทียนทงแล้ว

 

พลังฝีมือในระดับขั้นก่อเกิดระดับที่แปดซานกวานเทียนทง ได้แบ่งเป็นตี้ทง(บรรลุดิน) เทียนทง(บรรฟ้า) หลิงทง(บรรลุวิญญาณ) ทั้งสามระดับ

 

ยิ่งไปกว่านั้นแล้วเหล่าหุ่นเชิดสงครามที่มีพลังฝีมือในระดับขั้นก่อเกิดระดับที่แปดซานกวานเทียนทงยังเป็นจำพวกที่มีพลังในขั้นที่อ่อนแอที่สุดอีกด้วย เช่นนั้นก็เกรงว่าศึกในครั้งนี้คงยากเกินกว่าที่จะคาดเดาเอาไว้ได้

 

ควรทราบว่า ภายในทั้งสามรัฐใหญ่นี้ ที่มิมียอดฝีมือคนใดที่มีความสามารถที่จะบรรลุได้ถึงขั้นก่อเกิดระดับที่แปดได้มานานแล้ว ถึงแม้ทุกผู้คนนั้นจะทราบกันดี การที่จะสามารถบรรลุเข้าสู่ขั้นก่อเกิดระดับที่แปดได้แล้วละก็ นั้นมิใช่เรื่องที่ง่ายดายเลย ในด้านพลังอันมหาศาลนั้นก็นับได้ว่ามีพลังที่มากเกินกว่านับหมื่นชั่งก็ว่าได้ แต่ว่า ความยากเย็นที่จะบรรลุเข้าสู่ขั้นก่อเกิดระดับที่แปดนั้น ยอดฝีมือโดยส่วนมากหลังจากที่เข้าสู่ขั้นก่อเกิดขั้นที่เจ็ดแล้ว ต่างก็เลือกที่จะเข้าสู่ขอบเขตชั้นก่อฟ้าโดยทั้งสิ้น

 

แต่ว่า นี้ก็มิได้หมายความว่าไม่มีผู้ใดที่ทราบถึงความน่ากลัวของพลังขั้นก่อเกิดขั้นที่แปด

 

ในทางกลับกัน นั้นก็เพราะตามคำล้ำลือถึงความน่าหวาดกลัวของขั้นก่อเกิดระดับที่แปดนั้น ดังนั้นยอดฝีมือนับไม่ถ้วนในสนามแห่งนี้ ต่างก็หวาดเกรงอย่างไร้ที่เปรียบ

 

“ เหอะเหอะ น้องชายเยี่ยจง คิดไม่ถึงว่าจะได้พบหน้ากันอีก ตอนแรกที่อยู่ทางด้านนอกก็ได้ทักทายกันไปแล้วรอบหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าน้องชายจะถึงกับเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากมายได้ถึงเพียงนี้ “ ในช่วงเวลาเดียวกับที่สีหน้าของเยี่ยจงเปลี่ยนแปลง บริเวณทางด้านหน้าของพวกเขา หญิงสาวชุดแดงที่เป็นผู้นำจู่ๆก็ยิ้มขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเย้ายวนออกมาอย่างกะทันหันคราหนึ่ง “ ใช่แล้ว พี่สาวอย่างข้านั้นมาจากเกาะหมอกควันนามว่าหวินหยิง ไม่แน่ว่าพวกเราคงจะได้ร่วมมือกันสักครานะ “

 

เมื่อพบเห็นว่ามีคนเข้ามาทักทายด้วยก่อน เยี่ยจงก็ยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงเบา “ ที่แท้ก็เป็นคุณผู้หญิงวินหยิงนี้เอง คุณผู้หญิงวินหยิงมาถึงก่อนพวกข้าเพียงเล็กน้อย พอที่จะสามารถบอกพวกเรา ว่าเกิดเรื่องราวใดได้หรือไม่ ? “

 

“ เหอะเหอะ กล่าวได้ว่าน้องชายเยี่ยจงมาได้ประจวบเหมาะก็ไม่ผิด ห้องโถงใหญ่แห่งนี้ความจริงแล้วมีตราอันลี้ลับบางอย่าง เพียงแต่ว่าในช่วงเวลาครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาก็ได้มีการเปิดขึ้นมาอยู่หลายครั้งครา ไม่เช่นนั้น ทุกผู้คนคงไม่อาจที่จะอดทนรออยู่เช่นนี้หรอก ? “ หวินหลิงหยักไหล่ไปมา ใบหน้าปกคลุมไปด้วยความลี้ลับสายหนึ่ง

 

“ คุณหญิงหวินหลิงสมควรที่จะเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างแล้ว ? สถานที่แห่งนี้สมควรที่จะมีผู้อาวุโสที่มีพลังยุทธ์ในขอบเขตเซียนอยู่ท่านหนึ่งนั่งบำเพ็ญอยู่ เช่นนั้น ……. สิ่งของเหล่านี้สมควรที่จะเป็นผู้อาวุโสท่านนี้หลงเหลือเอาไว้ใช่หรือไม่ ? “ เยี่ยจงจดจ้องไปที่หินทั้งสี่ที่กำลังส่องสว่างเหล่านี้ เอ่ยปากกล่าวออกมาเสียงดุดัน

 

“ เรื่องนี้เป็นผู้ใดที่ทราบกัน ….. “ หวินหลิงยิ้มเบาๆ “ ทว่า ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ตาม กลุ่มแสงเหล่านี้ก็นับได้ว่าเป็นสิ่งของที่ไม่ธรรมดาสามัญที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้อย่างแน่นอน หากว่าน้องชายเยี่ยจงสนใจแล้วละก็ เช่นนั้นพวกเราไม่ลองมาร่วมมือกันซักคราดูละ ……… “

 

“ ร่วมมือกันหรือ ? “ หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็ราวกับกลืนมิได้คายไม่ออกยิ้มออกมา กล่าวได้ว่าเขาและหวินหลิงผู้นี้นับว่ามีวาสนาต่อกัน อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังได้ทำความรู้จักกัน แน่นอนว่าเขาไม่อาจที่จะตอบรับการขอความร่วมมือของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

 

ในตอนนี้ ด้านบนของหินทั้งสี่มีเพียงทักษะยุทธ์สี่ชิ้นเท่านั้น หรือกล่าวก็คือ อย่างมากก็แต่เพียงแบ่งพลังออกเป็นสี่ส่วน แต่ว่านอกจากลัทธิแห่งดวงดาวแล้ว ในสนามนอกเสียจากเยี่ยจงแล้ว ยังมีสำนักเจ้าหวัง โรงฝึกจ้านหวัง เกาะหมอกควันรวมเป็นขุมกำลังทั้งสี่ และนอกเสียจากพวกเขาแล้ว ยังมีขุมกำลังของยอดฝีมืออื่นๆที่มิได้ส่งเสียงออกมาอีก แน่นอนว่าเยี่ยจงก็มิอาจที่จะดูแคลนพวกเขาไปได้

 

นอกเสียจากขุมกำลังมากมายเหล่านี้แล้ว ยังมีเหล่ายอดฝีมือที่อันโดดเดียวที่ยังทำให้เยี่ยจงยังต้องหวาดกลัวอยู่ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การที่ได้พบเจอกับคุณชายเสเพลฟานหลิง บุคคลเช่นนั้น นับได้ว่าเป็นไม่สมควรที่จะไปตอแยด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ คงจะต้องสูญเสียพลาดพลั้งเป็นอย่างมากแน่นอน

 

ราวกับมองออกถึงนัยน์ตาที่กำลังตรวจสอบอยู่ของเยี่ยจงได้ หวินหลิงก็ได้หยักไหล่ไปมา หัวเราะออกมาดังหุหุ “ ข้าก็ทราบดีว่าน้องชายเยี่ยจงไม่ค่อยเชื่อมั่นในพวกข้าเกือบแปดส่วน เพียงแต่ว่า ถ้าหากว่าพวกเราทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันแล้วละก็ การที่จะเข้าแย่งชิงทักษะยุทธ์ทั้งหมดนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าแย่งชิงเพียงส่วนหนึ่งนั้น นับได้ว่าไม่เป็นปัญหาใหญ่โตอันใด แต่ว่า ถ้าหากพวกเราไม่ร่วมมือกันแล้วละก็ ทั้งยังมิเพียงแต่ไม่สามารถที่จะแย่งชิงทักษะยุทธ์แม้แต่เพียงม้วนเดียว แน่นอนว่า ขอเพียงได้ร่วมมือกันแล้วละก็ หลังจากที่ได้ครอบครองทักษะยุทธ์แล้วละก็ ฝ่ายเราก็จะทำการคัดลอกชุดหนึ่งเลย “

 

หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่มองไปทางด้านหวินหลิงอย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง เขาก็เริ่มที่จะเข้าใจขึ้นมาหลายส่วน นั้นก็เพรันอกเสียจากขุมกำลังของเกาะหมอกควันแล้ว ในด้านยอดฝีมือแห่งสามรัฐใหญ่ยังมีขุมลังที่ไม่น้อยเลย อีกทั้งหวินหลิงผู้นี้ยังเข้าใจในข้อนี้อย่างชัดเจน เท่าที่นางทราบ ถ้าหากต้องการครอบครองทั้งหมดแล้วละก็ แน่นอนว่าจะต้องร่วมมือกับขุมกำลังที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่ง ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ ต่อให้พวกเขาได้ครอบครองม้วนคัมภีร์หนึ่งม้วน ก็มีกว่าแปดส่วนที่มิอาจที่จะรักษาเอาไว้ได้ และลัทธิแห่งดวงดาวด้านหน้านี้ จากที่มองดูแล้ว กำลังคนถือได้ว่าน้อย จึงเหมาะที่จะร่วมมือกับพวกนางมากที่สุดแล้ว

 

หลังจากที่ครุ่นคิด เยี่ยจงก็เริ่มที่จะมีใจ กล่าวตามความสัตย์ เกี่ยวกับเหล่าทักษะยุทธ์เหล่านี้เขาก็มิได้มีความสนใจที่ต้องการอย่างที่สุด แต่ว่า ของสิ่งนี้เมื่อได้อยู่เบื้องหน้าสายตาแล้ว ก็มิอาจที่จะไม่ลงมือได้ แต่ว่า พวกเขานั้นมีกำลังคนเพียงแค่ห้าคน หากว่าต้องลงมือเข้าแย่งชิงแล้วละก็ ไม่เพียงแต่ต้องคอยป้องกันเหล่ายอดฝีมือคนอื่นๆ ยังต้องคอยระวังเหล่ากลุ่มหุ่นเชิดสงครามที่มีพลังความแข็งแกร่งอย่างลี้ลับเหล่านี้อีกด้วย เพียงแค่ครู่เดียว ไม่แน่ว่าเรือลำนี้คงจะต้องพลิกคว้ำลงอย่างโหดร้ายในที่สุด

 

แต่ว่า ถ้าหากได้ร่วมมือกับยอดฝีมือแห่งเกาะหมอกควันแล้วละก็ ก็ถือได้ว่าสามารถที่จะลดทอนความอันตรายลงไปได้ไม่มากก็น้อยอยู่ ถึงแม้ว่า เกาะหมอกควันนี้มิใช่ความร่วมมือที่ดีมากมายอย่างที่คิดไว้ แต่ว่าอย่างน้อยที่มองจากการกระทำก่อนหน้านี้ ก็นับได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย

 

แล้วก็ถ้าหากเกาะหมอกควันคิดที่จะผิดคำพูดแล้วละก็ เยี่ยจงก็จะให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงพลังฝีมือของตน้องดูบ้าง

 

“ ดี เช่นนี้ก็ร่วมมือกันชั่วคราวก็แล้วกัน ทว่าข้าขอกล่าววาจาหยาบคายเอาไว้ก่อน หากคิดที่จะให้พวกเราลลัทธิแห่งดวงดาวเป็นเพียงหินรองเท้าแล้วละก็ ผลที่ตามมาก็ต้องรับผิดชอบเองนะ “ หลังจากที่เยี่ยจงหรี่ตามองดูแล้ว ก็ได้เอ่ยปากกล่าวออกมาเสียงดัง

 

“ น้องชายเยี่ยจงโปรดวางใจ พวกเราเกาะหมอกควันมิใช่พวกที่จะผิดสัญญาอย่างแน่นอน “ หวินหลิงหัวเราะออกมาคราหนึ่ง จากนั้นก็โบกมือคราหนึ่ง วินาทีนั้นเองยอดฝีมือจากเกาะหมอกควันมากมายก็ได้รวมกลุ่มกันอยู่ล้อมรอบเยี่ยจงและพวก

 

เยี่ยจงขมวดคิ้วไปมา เกี่ยวกับคำสัญญาของหวินหลิงผู้นี้ที่มิอาจมีสิ่งใดมายืนยันได้ ทว่าความร่วมมือกันของทั้งสองฝ่าย ก็นับได้ว่าเป็นความร่วมมือที่ต่างฝ่ายก็ได้ผลประโยชน์อย่างมาก

 

“ ต่อจากนี้พวกเราก็รอคอยกันก่อนเถอะ ยังไงซะก็ต้องมีคนที่อดทนไม่ไหวจนต้องลงมือ จริงหรือไม่ ? “ หวินหลิงนับได้ว่าคำนวณเอาไว้แล้ว นางในตอนนี้มิได้รีบร้อนที่จะลงมือ เพียงแต่หรี่ตาเหม่อมองไปยังบริเวณท่ามกลางสนาม สีหน้าไร้ความรู้สึก

 

เยี่ยจงกวาดสายตามองไปที่หวินหลิงคราหนึ่ง นับได้ว่ามีความเกรงกลัวต่อหญิงสาวนางนี้อยู่ภายในจิตใจสายหนึ่ง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ในสถานการณ์เช่นนี้ยังสามารถที่ตัดสินใจได้อย่างสงบนิ่ง หญิงสาวนางนี้นับได้ว่าไม่ธรรมดาสามัญ

 

จากนั้นก็ทอประกายตามองไปยังท่ามกลางสนามรอบหนึ่ง ท้ายที่สุดเยี่ยจงก็ได้จดจ้องไปยังโครงกระดูกของยอดฝีมือขอบเขตเซียน ภายในใจก็ได้เต้นไปมาอย่างกะทันหัน วิธีการสร้างหุ่นเชิดสงคราม ถือได้ว่าเขานั้นไม่เคยรับรู้มาก่อน แต่ว่า เขาก็ถือได้ว่าเป็นผู้ที่รู้เรื่องสาขาวิชายันต์อยู่ อีกทั้งยังมีพลังฝีมือในการสร้างหุ่นเชิดยันต์ เพียงแต่ว่า กล่าวโดยทั่วไป การที่จะสร้างหุ่นเชิดยันต์นั้นจำเป็นที่จะต้องมีวัตถุดิบที่สูงมาก อีกทั้งโครงกระดูกของยอดฝีมือขอบเขตเซียนนี้ ก็เหมาะสมที่จะใช้สร้างหุ่นเชิดยันต์พอดี

 

หลังจากที่ครุ่นคิดใคร่ครวญ เยี่ยจงก็เริ่มที่จะมีความสนใจต่อโครงกระดูกนี้มากยิ่งขึ้น หากว่าสามารถที่จะครอบครองโครงกระดูกเหล่านี้แล้วละก็

.

.

.

.

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset