เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 126 ใบหน้าที่แท้จริง

ตอนที่ 126 ใบหน้าที่แท้จริง

 

 

 

“ ท่านพักผ่อนก่อนเถอะ วันนี้ลำบากท่านมามากเกินไปแล้ว โอกาสนี้หาได้ยากนี้ ยังไม่รีบถือโอกาสพักผ่อนแล้วละก็ ต่อจากนี้เกรงว่าพวกเราจะต้องพบเจอกับการต่อสู้ครั้งใหญ่แล้วละ “

 

ช่วงเวลาค่ำคืนนี้ เยี่ยจงก็ได้เงยหน้ามองไปยังท้องฟ้า จากนั้นก็ได้เอ่ยปากกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา

 

“ อือ “

 

หลังจากที่เงียบงัน ในครั้งนี้หลิงเยวี่ยก็มิได้ถกเถียงอันใด ถึงแม้นางจะกลืนโอสถทิพย์ไปแล้วก็ตาม ก็ยังต้องใช้เวลาเพื่อพักฟื้นเล็กน้อย แต่ว่านางในวันนี้ก็นับได้ว่าสูญเสียพลังไปมาก ทั้งยังฝืนตัวเองเพื่อจัดตั้งค่ายกลเล็กไร้สภาพที่ต้องใช้พลังใจที่มากมายเหลือคณา ต่อให้นางไม่ต้องการ ก็ไม่อาจที่จะไม่พักผ่อนใดดีๆสักครา

 

หลังจากที่เห็นหลิงเยวี่ยปิดตาลงแล้ว เยี่ยจงก็ได้ยิ้มออกมา หลังจากที่ครุ่นคิดใคร่ครวญ ก็พลิกมือขวาคราหนึ่ง โอสถสีแดงเพลิงหกชิ้นก็ได้ปรากฏอยู่ในบริเวณใจกลางฝ่ามือเยี่ยจง

 

โอสถระเบิดพลัง (เป้าหยวนฝาน)

 

ในตอนที่เข้าไปที่ห้องโอสถของถ้ำหงส์หยา ก็เลยได้โอสถแปลกพิสดารมาชนิดหนึ่ง การใช้งานโอสถระเบิดพลังนั้นง่ายดาย นั้นก็คือการเพิ่มพลังยุทธ์ให้แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขั้น

 

แต่ว่า การสวนพลังที่มากมายเช่นนี้ก็ต้องจ่ายออกไปด้วยค่าใช้จ่ายที่มาก หากว่าเยี่ยจงกลืนกินโอสถระเบิดพลังไปในตอนนี้แล้วละก็ เช่นนั้นพลังฝีมือของเขาก็จะปะทุขึ้นมาในทันที แต่ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้เขาสามารถจัดการกับสถานการณ์เบื้องหน้าได้ เช่นนั้นก็ต้องอยู่บนเตียงอย่างน้อยก็ครึ่งปีถึงจะฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้ อีกทั้งถ้าไม่ระวังแล้วแล้วก็ ต่อไปอย่าว่าแต่ฝึกปรือก็ยังสามารถทำได้ยาก

 

ดังนั้นในตอนนี้เค้ามีโอสถระเบิดพลังทั้งหมดหกชิ้น สีหน้าของเยี่ยจงก็ยากที่จะอธิบายสิ่งใดๆออกมา

 

หลังจากนั้นไม่นานนัก เยี่ยจง ก็ได้พลิกฝ่ามือเก็บโอสถระเบิดพลังเอาไว้ เมื่อถึงเวลาที่ไม่สำคัญจริงๆก็ไม่นำออกมาใช้ เขาไม่คิดที่จะทดลองใช้โอสถเหล่านี้เลย แต่ว่ามาถึงช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายแล้วละก็ คงมีอะที่จะไม่ใช้ได้

 

และโอสถระเบิดพลังเหล่านี้ ก็คือไพ่ตายชิ้นสุดท้ายในตอนนี้ของเยี่ยจงเลยก็เป็นได้ เมื่อมีโอสถระเบิดพลังเหล่านี้ ในตอนนี้ทั้งสองคนก็เหมือนเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความตายสายหนึ่ง และหากว่าไม่มีโอสถระเบิดพลังเหล่านี้แล้วแล้วก็ เช่นนั้นเกรงว่าเยี่ยจงและหลิงเยวี่ยทั้งสองคนคงจะไม่มีแม้แต่หนทางรอดเลยก็เป็นได้

 

หลังจากที่ได้นำเอาโอสถฟื้นฟูพลังกลืนเข้าไปชิ้นหนึ่งแล้ว เยี่ยจงก็ได้ค่อยๆนั่งสมาธิลง เพียงแต่ว่าเขาแค่ไม่มีเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอ ถึงแม้จะฟื้นฟูพลังกลับคืนมาจนถึงระดับสูงสุดได้ แต่ว่าเขาก็ต้องเก็บเอาไว้ในยามคับขัน ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ยากจะทำได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าบุคคลเยี่ยงเสวี่ยเสวียนจะไบ่ตามขึ้นมาได้เมื่อใด

 

ช่วงเวลาหนึ่งคืนที่ผ่านเลยไป ก็ได้ผ่านเลยไปในลักษณะนี้ ต่อมาเมื่อถึงช่วงเวลาที่มีแสงสว่างสาดส่องจนถึงพื้นดินก็ได้ลอดผ่านเข้ามายังช่องว่างของโขดหินปีศาจ หลิงเยวี่ยจึงได้ค่อยๆลืมตาขึ้นมา หลังจากนั้นสิ่งแรกที่นางพบเห็นก็คือเยี่ยจงในตอนนี้ก็อยู่ในสภาพนั่งลงอย่างสงบอยู่ ภายในดวงตาสาดประกายเคลื่อนไหว

 

“ ท่านพักผ่อนดีแล้วหรือ ? “ เยี่ยจงหันศีรษะกลับมามองสำรวจ เมื่อพบเห็นดวงตาของหลิงเยวี่ย หลังจากที่สังเกตจากลมหายใจก็เห็นได้ชัดว่าดีกว่าเมื่อวานขึ้นมาส่วนหนึ่งแล้ว แต่ว่าก็ไม่ได้ฟื้นฟูจนถึงขั้นที่สามารถลงมือได้ ถ้าหากมองตามความแข็งแกร่งที่เป็นถึงผู้ที่สามารถวางค่ายกลวิญญาณของนางแล้ว ก็นับได้ว่าเป็นการสูญเสียที่ผู้คนยังต้องตกใจเลยทีเดียว

 

“ เจ้า มิได้พักผ่อนมาตลอดหนึ่งคืนหรือ ? “ หลิงเยวี่ยพบเห็นเยี่ยจงมีถุงใต้ตาอยู่หลายส่วน ก็ได้เอ่ยปากถามออกมาอย่างไม่สบายใจ

 

เยี่ยจงกวาดสายตามองนางคราหนึ่ง แต่ก็มิได้กล่าวอันใด เพียงแต่ส่ายศีรษะไปมา หันกลับไปแล้วตอบคำถาม “ กล่าวตามความจริงศิษย์พี่หลิงเยวี่ย เด็กสาวเช่นพวกท่านมิใช่เป็นพวกรักสวยรักงามหรอกหรือ ? ใบหน้าของท่านในตอนนี้ก็มีแต่รอยคราบเลือด ท่านไม่เปลี่ยนสักหน่อยละ ? ถ้าหากท่านรังเกียจข้าแล้วละก็ ข้าจะหันกายไปไม่มองดูก็ได้ “

 

หลังจากที่เงียบงัน หลิงเยวี่ยก็ได้ลังเลเล็กน้อย นางจึงตัดสินใจยื่นมือไปลูบที่ใบหน้าของตัวเอง ด้วยสายตาที่แปลกประหลาด

 

หลังจากที่เป็นเช่นนี้ไปได้สักพัก หลิงเยวี่ยก็ได้จ้องมองไปที่เยี่ยจงอยู่ลึกซึ้งคราหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมาแล้วกล่าว “ เยี่ยจง เจ้าไม่คิดที่จะมองดูว่าข้ามีหน้าตาอย่างไรหรอกหรือ ? “

 

เยี่ยจงเงียบงันไร้คำพูดจากนั้นก็ได้ส่ายศีรษะไปมา ภายในใจของเขา มีแต่เพียงอาจารย์ปู้เหยียนเพียงคนเดียว หญิงสาวอื่นใดที่มีความงามล้มเมืองได้ ก็ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับเขา

 

เมื่อพบเห็นเยี่ยจงเป็นเช่นนี้ หลิงเยวี่ยก็เกิดความลังเลครู่หนึ่ง หลังจากนั้นนางก็ได้ยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น กล่าวเสียงทุ่มต่ำ “ กล่าวไปแล้วก็ถือว่าน่าขันยิ่ง ท่ามกลางสามรัฐใหญ่ ไม่ทราบว่ามีชายหนุ่มน้อยใหญ่มากมายที่คิดแม้แต่จะยลโฉมหน้าที่แท้จริงของข้าสักคราก็ยังมิได้ แต่ในขณะที่ข้าให้ผู้อื่นมองดูด้วยตนเอง ผู้อื่นกลับไม่ต้องการที่จะมองดู “

 

หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็ยังคงเบื่อหน่าย ทว่าเขาก็ส่ายศีรษะแล้วตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ ศิษย์พี่หญิง ข้ามิได้หมายถึงเช่นนั้น เพียงแต่ว่าข้าคิดว่าท่านก็ไม่ยินยอมที่จะเปิดเผยใบหน้าให้แก่ผู้อื่นอย่างง่ายดาย แน่นอนว่าท่านก็มีความคิดเป็นของตนเอง ข้าไม่ต้องการที่จะทำร้ายจิตใจของท่าน “

 

“ ทำร้ายจิตใจงั้นหรือ ? “ หลิงเยวี่ยหัวเราะเสียงเบา หลังจากนั้น นางก็จ้องมองไปที่เยี่ยจงอีกครั้ง เพียงแต่ว่าในครั้งนี้นัยน์ตาของนางก็ได้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้าใจและอารมณ์ที่ยากจะกล่าวออกมาอยู่เต็มไปหมด “ หากว่าข้าบอกว่า เป็นข้าที่ต้องการให้เจ้าดูละ เช่นนั้นเจ้าจะอย่างดูหรือไม่ ? “

 

หลังจากที่กล่าวจบ หลิงเยวี่ยก็ไม่รั้งรอให้เยี่ยจงมีปฏิกิริยากลับมา นางก็ได้เลิกผ้าคลุมหน้าของตนเองขึ้นมา

 

ตอนนี้ในหัวของหลิงเยวี่ยมีแต่ความว้าวุ่น เลือดลมเดือดขึ้นมา แต่ว่าในระหว่างที่นางกำลังเลิกผ้าคลุมหน้าขึ้นมานั้นเอง ร่างกายของเยี่ยจงก็ได้แข็งทื่อขึ้นมา เกือบทำให้ใจหายไปแวบหนึ่ง

 

ช่วงเวลานั้นก็ราวกับเห็นหญิงสาวที่มีความงดงามอย่างไร้ที่ติ ถึงแม้ว่านางในตอนนี้จะมีสภาพมอมแม่มอยู่เต็มสิบส่วน แต่ว่าก็เหมือนดั่งแสงแรกของพระจันทร์ที่สาดส่องออกมา ราวกับต้นดอกไม้ท่ามกลางหิมะ มีความงามที่เรียกได้ว่าล้มเมืองได้แล้ว ไม่อาจมีอันใดเทียบ เป็นสิ่งที่ยากจะคาดคิดได้ หากเป็นตามวันปกติที่ใบหน้าของหลิงเยวี่ยถูกผ้าคลุมเอาไว้ ก็ยังสามารถเรียกได้ว่าเป็นความงดงามอีกชนิดหนึ่ง

 

หลิงเยวี่ยเมื่อพบเห็นสภาพที่เป็นอยู่ของเยี่ยจง นางก็ได้หัวเราะร่าออกมา วินาทีนั้นราวกับถูกดอกไม้นานาพรรณนับร้อยชนิดดึงดูดเอาไว้ มองดูจนลืมกระพริบตา

 

เยี่ยจงในตอนนี้ก็ได้ตกอยู่ในภวังค์ พลั้งเผลอกล่าวออกมาคำหนึ่ง “ อาจารย์ …… “

 

“ เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ ? “ จากนั้นหลิงเยวี่ยแอบเผลอหัวเราะคิกคักออกมาด้วยใบหน้าที่งงงวย จึงค่อยเอ่ยปากกล่าวออกมา

 

หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็สั่นกายไปมา ทันทีที่มีปฏิกิริยากลับเข้ามา เมื่อครู่ในขณะนั้น บนใบหน้าของหลิงเยวี่ยก็ราวกับมีใบหน้าของปู้เหยียนทับซ้อนกันขึ้นมาชั่วขณะ ทำให้วินาทีนั้นเยี่ยจงต้องใจลอยออกไป แยกไม่ออกว่าหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าที่แท้คือหลิงเยวี่ยหรือว่าปู้เหยียนกันแน่ ?

 

แต่ว่า ถ้าหากหลิงเยวี่ยเป็นปู่เหยียนแล้วละก็ มีหรือที่นางจะจดจำตนเองมิได้ ?

 

ความคิดมากมายได้ครอบคลุมอยู่ในหัวของเยี่ยจงภายใต้ทะเลแห่งความหวนรำลึก ทันใดนั้นก็ได้ทำให้เบาปวดศีรษะแทบจะแยกกันออกมา

 

เมื่อพบเห็นเยี่ยจงในตอนนี้สูญเสียความเป็นตัวของตังเอง และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เหมือนหลิงเยวี่ยคิดบางอย่างอยู่ ก็จ้องมองไปที่เขา กล่าวเสียงแผ่วเบา “ เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์หรือไร ? “

 

“ อาจารย์ ? “

 

เยี่ยจงมีการตอบสนองกลับมา หลังจากที่เขามองไปทางหลิงเยวี่ยอย่างลึกซึ้ง จึงค่อยส่ายศีรษะตอบ “ ท่านฟังผิดไปแล้ว ข้าเรียกท่านว่าศิษย์พี่ “

 

ถึงแม้จะกล่าวเช่นนั้น ตอนนี้ภายในใจเยี่ยจงเองก็มีความคิดอยู่หลายส่วน เขามิอาจที่จะคิดหาวิธีเพื่อลองหาวิธีทดสอบดูมิได้ ว่าที่แท้เป็นหลิงเยวี่ยหรือว่าปู้เหยียน แต่ว่าเขาก็ทราบดีว่า แน่นอนว่าในตอนนี้มิใช่เวลาที่จะมาทำเรื่องเช่นนี้ เพราะถ้าหากเกิดไม่ระวังแม้เพียงเล็กน้อยแล้วละก็ ทั้งสองคนคงจะต้องทิ้งชีวิตไว้ในที่แห่งนี้แล้ว

 

“ งั้นหรือ ? “ หลิงเยวี่ยกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มจ้องมองไปทางด้านเยี่ยจง นางได้เข้ามาใกล้อยู่หลายส่วนอย่างกะทันหัน สูดลมหายใจเข้าอีกครา “ ศิษย์น้องเยี่ยจง พี่สาวเมื่อได้ให้เจ้าชมดูแล้ว ถ้าหาก ในครั้งนี้พวกเราสามารถรอดกลับไปได้แล้วละก็ ข้าจะให้เจ้าชมดูอีกครั้ง ดีหรือไม่ ? “

 

“ ดีสิ “ หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็ได้ยิ้มออกมา พยักหน้าเบาๆ

 

แต่ว่าเมื่อวินาทีที่เขาพยักหน้านั้นเอง หลิงเยวี่ยก็ได้ยื่นใบหน้าเข้าใกล้มาใกล้อย่างกะทันหัน ทิ้งไว้แต่เพียงรอยแดงที่ติดอยู่บริเวณแก้มของเขา

 

เยี่ยจงยืนตัวแข็งทื่อ จากนั้นก็ได้แต่เพียงหัวเราะออกมาคำหนึ่ง

 

“ ตูม “

 

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ทั้งสองคนที่หลบซ้อนอยู่ภายในซอกหินปีศาจก็ได้เกิดสั่นไหวขึ้นอย่างกะทันหัน ก้อนหินส่วนหนึ่งเริ่มที่ร้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว บริเวณทางด้านนอก ได้มีเสียงหัวเราะเย็นเยียบออกมา

 

เห็นได้ชัด เด็กน้อยแห่งรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาเหล่านั้น ในที่สุดก็ไล่ตามขึ้นมาได้แล้ว

 

“ หลังจากที่ข้าลงมือไปแล้ว ท่านก็รีบจากไปเลยนะ อย่าไว้มาขวางมือขวางเท้าข้าละกัน “ ประกายสายตาของเยี่ยจงได้สาดเข้ามา หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าคำหนึ่ง ก็ได้เอ่ยปากกล่าวออกมา

 

หลิงเยวี่ยเผยให้เห็นสายตาที่ปกคลุมไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและความเข็มแข็งออกมา แต่ว่า ท้ายที่สุดนางก็ได้แต่เพียงพยักหน้าเบาๆ

 

“ ข้าจะทำตามที่เจ้าว่า แต่จงเจ้าคำสัญญาของพวกเราไว้ หากว่าเกิดอันใดขึ้นกับเจ้า ข้าจะไม่เผยโฉมหน้าให้ผู้ใดได้เห็นอีกต่อไป …….. “

 

“ ตูมมม “

 

ทันทีที่ได้ยินเสียงกล่าวจบลง บริเวณทางเข้าก็ได้ถูกเยี่ยจงปิดเอาไว้แล้ว ตอนนี้ได้เกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วน บริเวณทางด้านนอก ก็ได้ปรากฏเงาร่างออกมาเจ็ดสาย

 

“ เยี่ยจง ซ่อนตัวไปตั้งหนึ่งคืนแล้ว กระทำเรื่องราวบัดสีไปหนึ่งค่ำคืนยังไม่พออีกหรืออย่างไร ? “

 

ในตอนนี้ก็ได้เห็นเสวี่ยเสวียนไพล่มือเอาไว้อยู่บริเวณทางด้านหลัง ประกายสายตาอันเย็นเยียบของเขาได้จดจ้องมาที่โขดหินสีดำ กล่าวด้วยเสียงที่เยียบเย็นและเต็มเปี่ยมไปด้วยรังสีการฆ่าฟัน เห็นได้ชัด ภายในหนึ่งคืนมานี้ได้ทำให้เขาโกรธขึ้นมาอย่างมาก แต่ว่าเขากลับกลัวเยี่ยจงอย่างช่วยไม่ได้ขึ้นมา ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่กล้าที่เข้าไปยังโขดหินอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าเป็นอันดับแรก

 

“ เจ้าไม่สมควรที่จะชื่อว่าเสวี่ยเสวียนเลย น่าจะชื่อว่าเสวี่ยเฉวียน(เลือดสุนัข) นั้นก็เพราะว่าจมูกสุนัขของเจ้านั้นช่างร้ายกาจเสียจริง “

 

หลังจากที่ผ่านไปชั่วครู่ เสียงหัวเราะอย่างเย็นชาสายหนึ่งก็ได้ดังออกมาจากท่ามกลางโขดหิน จากนั้นก็พบว่ามีบางอย่างที่ลอยออกมา เป็นเงาร่างสองสายที่ทะลวงออกมา

 

นั้นก็คือเยี่ยจงและหลิงเยวี่ยทั้งสอง

 

ร่างที่ปรากฏออกมาในตอนนี้ เยี่ยจงก็ได้กวาดสายตามองสำรวจทั่วสี่ทิศ ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจออกมาหนึ่งคำ เสวี่ยเสวียนนับได้ว่าเป็นบุคคลที่อดทนไม่ลดละ หลังจากไล่ตามค้นหาหนึ่งวันหนึ่งคืน คนข้างกายไม่แม้แต่จะลดลงเลยแม้แต่คนเดียว เพียงแต่ว่า คนเหล่านี้ก็ได้ติดตามมาทั้งวันทั้งคืน สีหน้าในตอนนี้ก็ได้มีสีขาวปรากฏขึ้นมาหลายส่วน ในส่วนนี้ได้ทำให้เยี่ยจงเกิดความรู้สึกยินดีขึ้นมา

 

แต่ว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น คนเหล่านี้ หากว่าจะต้องพึ่งพาเยี่ยจงเพียงแค่คนเดียวเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ ราวกับว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก

 

หลิงเยวี่ยรู้ดีอยู่แล้วถึงพลังของขุมกำลังเหล่านี้ ดังนั้นตอนนี้จึงได้เหม่อมองเสวี่ยเสวียนทั้งคนและม้าที่เหมือนไม่มีความเสียหายใดๆ ดวงตาของนางได้ปรากฏความเป็นห่วงออกมาสายหนึ่ง ถึงแม้นางแต่ทราบ พลังฝีมือของเยี่ยจงนั้นลี้ลับเกินคาดเดา อีกทั้งยังมีไพ่ตายส่วนหนึ่งที่แม้แต่ตนเองก็ยังดูไม่ออก แต่ว่าไม่ว่าจะกล่าวเช่นไร ในด้านพลังฝีมือของเขา ถึงจะสามารถที่จะฝืนลงมือต่อเสวี่ยนเสวียนก็ตามที แต่ว่าตอนนี้ยังมียิดมือที่มีพลังขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดอีกหกคน สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยุ่งยากอยู่หลายส่วน

 

“ เยี่ยจงน้อย ในครั้งนี้ จะไม่มีค่ายกลเล็กไร้สภาพนั้นมาขัดขวางอีกแล้ว ข้าก็ต้องการที่จะดูว่า พวกเจ้าเตรียมตัวที่จะหลบหนีอย่างไร “ เสวี่ยเสวียนดวงตาทอเป็นประกายเย็นเยียบไปยังมองไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ท่ามกลางทะเลทรายในตอนนี้ กล่าวออกเสียงเย็นเยียบ บุคคลเช่นนี้ เขาต้องการที่จะฆ่าในที่แห่งนี้เลย ไม่เช่นนั้นแล้วรัฐเสวี่ยหยวนหวังเฉาในวันหน้าคงไม่อาจที่อยู่ได้อย่างเป็นสุขแน่นอน เขาจึงจำเป็นที่จะต้องเก็บกวาดสิ่งมี่เป็นภัยในที่แห่งนี้

 

“ มอบจารึกเสวี่ยหยวนออกมาอย่างว่าง่ายเถอะ ไม่เช่นนั้นอย่ากล่าวหาว่าข้าโหดเหี้ยมเลย ยังให้พวกเจ้าได้เสพสมกันถึงครั้งหนึ่ง อย่างน้อยก็ตายตากลับแล้ว ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ วันนี้ข้าจะให้พวกเจ้าทราบอย่างกระจ่าง อันใดคือต้องการมีชีวิตก็ไม่ต้องการ ตายก็ไม่ได้ “

 

หลังจากที่กล่าวจบ ใบหน้าของเสวี่ยเสวียนก็ได้เปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นมา ในขณะนั้นเอง แม้แต่พายุทรายของทั่งทั้งสี่ทิศก็เริ่มที่จะหยุดลงหลายส่วน ทั่วทั้งสี่ด้านมีแต่กลิ่นอายของโลหิตแผ่กระจายออกมานับไม่ถ้วน……

.

.

.

.

 

 

 

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset