เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 136 ช่วงเวลาแแห่งการฝึกปรือ

ตอนที่ 136 ช่วงเวลาแแห่งการฝึกปรือ

 

“ เข้ามาเถอะ “ อันหงเจินเดินนำหน้าเข้าสู่ท่ามกลางทางเข้า

 

เยี่ยจงที่ได้ตามติดอยู่ทางด้านหลัง ก็ได้ก้าวเข้าไปอย่างช้าๆ

 

ก็ได้พบเห็น ที่ทางด้านหลังทางเข้านี้ได้มีห้องโถงสีดำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง บริเวณใจกลางที่มีลักษณะสีดำนี้ ก็ได้ปรากฏค่ายกลยันต์วิญญาณขนาดใหญ่ปรากฏออกมา ทั่วทั้งสี่ทิศได้เปลี่ยนเป็นแสงทอสว่างขึ้นมาเป็นสาย แสงที่ทอเป็นสายได้ยิงกันไปมา จนทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความปลอดโปร่ง พลังที่อัดแน่นด้วยพลังอันมหาศาลที่อยู่ภายในแสงสว่างได้แผ่ออกมา

 

และบริเวณจุดศูนย์กลางภายในแสงสว่างนี้ ในตอนนี้ก็ได้ถูกตั้งไว้ด้วยแผ่นศิลาสีเลือดแผ่นหนึ่ง ด้านบนแผ่นศิลาได้มีตัวอักขระจารึกสีโลหิตไหลเวียนอยู่ เห็นได้ชัดว่ามีความลี้ลับยิ่ง เพียงแต่ว่า ในตอนนี้กลิ่นอายโลหิตเหล่านี้ทำให้ได้กระจายเป็นวงกว้างนั้น มิได้มีกลิ่นอายโลหิตที่เย็นเยียบเหมือนดั่งก่อนหน้านี้

 

“ นี้คือ จารึกเสวี่ยหยวนก่อนหน้านี้หรือ ? “

 

เมื่อได้เหม่อมองไปท่ามกลางสิ่งที่อยู่ภายในลำแสง เยี่ยจงก็ได้เอ่ยปากออกมาด้วยความสงสัยอยู่หลายส่วน

 

“ อื้อ นี้ก็คือจารึกเสวี่ยหยวนที่เจ้าและซูหยี่พวกเขาได้นำกลับมา “ อันหงเจินยิ้มแล้วกล่าวออกมาเสียงดังกังวาล

 

“ แต่ว่า …….. “ เยี่ยจงขมวดคิ้วไปมา รู้สึกได้ว่าจารึกเสวี่ยหยวนนี้กับช่วงเวลาก่อนหน้านั้นมีบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน

 

“ จารึกเสวี่ยหยวนความจริงแล้วเป็นศาสตราเทพยุทธ์ที่ฟ้าดินสร้างขึ้นมา ความจริงแล้วมีความแปลกพิศดานอย่างถึงที่สุด แต่ว่าไม่ทราบว่าได้ถูกผู้คนใช้ไอโลหิตเพาะไปยังสิ่งนี้ จึงทำให้มีแต่เพียงเผ่าปีศาจโลหิตเท่านั้นที่จะสามารถหยิบยืมพลังมาฝึกปรือได้ ทว่ายังดีที่ลัทธิแห่งดวงดาวเราในเวลานี้ยังมีค่ายกลรวมวิญญาณสืบทอดกันมา ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเต็ม จึงจะสามารถกำจัดไอพลังโลหิตอันนับไม่ถ้วนออกจากจารึกเสวี่ยหยวนนี้ได้ ดังนั้นจารึกเสวี่ยหยวนนี้ ในตอนนี้ก็นับได้ว่าสามารถใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้วละ “ อันหงเจินตอบ

 

หลังจากที่เงียบงัน ร่างกายของเยี่ยจงก็ได้ตกตะลึงเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าลัทธิแห่งดวงดาวยังถึงกับมีความสามารถเช่นนี้ได้ หลังจากที่เสร็จเรื่องนี้แล้ว เกรงว่าศิษย์มากมายของลัทธิแห่งดวงดาวในวันข้างหน้า ก็คงจะสามารถหยิบยืมพลังก้าวข้ามขอบเขตของจารึกเสวี่ยหยวนนี้ได้ หากคาดคำนวณเช่นนี้แล้วละก็ วัตถุชิ้นนี้ต่อให้ตกอยู่ในมือของตน ก็ไม่อาจที่จะสามารถใช้ประโยชน์ได้มากมายนัก คงมีแต่เพียงขุมกำลังของลัทธิแห่งดวงดาวเช่นนี้ จึงจะสามารถชำระล้างวัตถุนี้ใหม่ได้ ราวกับฟื้นฟูกลับสู่ความบริสุทธิ์

 

“ เพียงแต่ว่า จารึกเสวี่ยหยวนในตอนนี้ยังอยู่ในสภาพที่อ่อนพลัง ยังไม่สามารถที่จะทำให้เหล่าศิษย์จำนวนมากของลัทธิแห่งดวงดาวของพวกเราฝึกปรือได้ แต่ว่า หลังจากนี้อีกสิบปี จารึกเสวี่ยหยวนนี้ได้กลับคืนสู่ประสิทธิ์ภาพสูงสุดแล้วละก็ พลังฝีมือของลัทธิแห่งดวงดาวเรา เกรงว่าคงจะเป็นดังก้าวกระโดดขึ้นยอดใหม่ได้อีกครั้ง และเกี่ยวกับเพิ่มระดับพลังฝีมือของชาวลัทธิแห่งดวงดาวให้สูงขึ้นทั้งหมด จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด “ อันหงเจินจ้องเขม็งไปยังจารึกเสวี่ยหยวน ความหมายทุกอย่างได้ถูกแฝงไว้ในคำพูดนี้แล้ว

 

หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็พยักหน้าเห็นด้วย จารึกเสวี่ยหยวนเขานับได้ว่าเคยได้ยินมานานแล้ว แน่นอนว่าต้องทราบถึงการใช้งานด้วย

 

“ แต่ว่า ถึงแม้ว่าจะต้องรอคอยไปนับสิบปีหลังจากนี้ จึงจะสามารถที่จะทำให้พลังฝีมือของลัทธิเราเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับที่สูงได้ ทว่า ในเมื่อได้ผ่านการชำระล้างมาแล้วหนึ่งเดือน บวกกับจารึกเสวี่ยหยวนเองความจริงก็มีพลังอันพิศดานอยู่แล้ว ในตอนนี้การที่จะเพิ่มพลังให้แก่คนเพียงคนเดียวนั้นยังสามารถทำได้อยู่ “ อันหงเจินหันกลับมาแล้วกล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน จ้องมองดูเยี่ยจง “ หากว่าข้าดูไม่ผิดแล้วละก็ ระยะห่างระหว่างการเข้าสู่ขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดของเจ้า เหลือเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นใช่หรือไม่ ? “

 

“ อาจจะสามารถกล่าวเช่นนั้นก็ได้ “ หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็ได้หัวเราะเสียงขมขื่นออกมา “ ทว่า วิชาพลังลมปราณที่ข้าฝึกปรือนี้มีความพิศดาลอยู่ หากต้องการที่จะเข้าสู่ขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ด จำเป็นที่จะต้องการวัตถุดิบบางชนิด ดังนั้น ความหวังดีของท่านจ้าวลัทธิคงจะรับไว้ได้แต่เพียงน้ำใจแล้ว “

 

“ ต้องการอันใดกัน ? “ อันหงเจินมองไปทางด้านของเยี่ยจงด้วยแววตาอันแปลกใจ เขาถึงแม้จะมองออกว่าวิชาลมปราณที่เยี่ยจงฝึกปรือนั้นไม่ธรรมดาสามัญ แต่ว่าก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะสอบถามอันใด แต่ในเมื่อตอนนี้ได้ยินเยี่ยจงเอ่ยออกมาเช่นนี้ เขาก็อดที่จะแปลกใจอยู่หลายส่วนมิได้

 

“ คิดที่จะเข้าสู่ขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดแล้วละก็ ข้ายังต้องการผลเสียงอัสนี กระดูกพันปีกับเศษทรายวิญญาณ แต่ว่าตอนนี้ข้ามีเศษทราบวิญญาณแล้ว “ หลังจากที่เยี่ยจงครุ่นคิดแล้ว จึงค่อยได้เอ่ยปากกล่าวออมา

 

“ ผลเสียงอัสนี กระดูกพันปี เศษทรายวิญญาณ “

 

หลังจากที่เงียบงัน ต่อให้เป็นอันหงเจินก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องกลืนน้ำลายดังๆคำหนึ่ง และจากนั้นก็ได้ยิ้มอย่างขมขื่นส่ายหัวเบาๆแล้วกล่าว “ ดูเหมือนวิชาพลังลมปราณของเจ้าจะแปลพิศดาลเสียจริง ต่อให้เจ้านำคัมภีร์ลมปราณออกมามอบให้ เกรงว่าบุคคลทั่วไปก็คงฝึกฝนไม่ได้ “

 

หลังจากที่ได้ครุ่นคิดใคร่ครวญ อันหงเจินก็กล่าวเสียงแผ่วเบา “ ช่างเถอะ เจ้าในครั้งนี้ได้ทำคุณงามความดีแก่ลัทธิแห่งดวงดาว ยังไงก็ต้องมอบรางวัลให้แก่เจ้าอยู่แล้ว อีกทั้ง ประโยชน์ของจารึกเสวี่ยหยวนนี้ ก็สมควรมอบให้แก่เจ้าแต่แรกแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีเศษทรายวิญญาณแล้ว ส่วนผลเสียงอัสนีและกระดูกพันปีทางสาขาในประจวบมีอยู่พอดี ก็มอบให้แก่เจ้าก็แล้วกัน “

 

“ เมื่อมีเจ้าได้สิ่งที่ต้องการเหล่านี้แล้ว บวกกับการใช้จารึกเสวี่ยหยวนในการฝึกปรือควบไปด้วย อีกไม่นานเจ้าก็คงจะสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตยุทธ์ก่อฟ้าได้ใช่หรือไม่ ? “

 

“ นี้มัน …….. “ หลังจากที่เงียบงัน หลังจากที่เยี่ยจงครุ่นคิดใคร่ครวญแล้ว ค่อยตอบกลับเสียงแผ่วเบา “ ไม่ปิดบังท่านเจ้าลัทธิ เส้นทางที่ข้าต้องการที่จะก้าวเดินนั้น มิใช่การตัดสินใจเข้าขอบเขตขั้นก่อฟ้าอย่างรวดเร็วเช่นนั้น “

 

“ คิดที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อเกิดระดับที่แปดซานกวานเทียนทงงั้นหรือ ? “ หลังจากที่เงียบงัน อันหงเจินก็ได้ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้ส่ายศีรษะแล้วกล่าว “ ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ ต่อจากนี้จะคอยปกป้องเจ้าด้วยตนเอง เพื่อให้เจ้าทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ด นี้เป็นสิ่งที่พวกเราลัทธิแห่งดวงดาวติดค้างเจ้า “

 

“ ขอรับ “

 

หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็มิได้กล่าวอันใดต่อ เขาเข้าใจได้ถึงความหมายของอันหงเจิน สาขาในเทื่อได้รับจารึกเสวี่ยหยวนก็นับเป็นประโยชน์ที่มากแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกเกรงใจ ผลเสียงอัสนี กระดูกพันปี สิ่งเหล่านี้เป็นครั้งแรกที่มีวาสนาได้ฝึกปรืออยู่ใกล้กับจารึกเสวี่ยหยวนนี้ ก็นับได้ว่าเป็นการชดเชยให้แก่ตนเองได้แล้ว

 

แน่นอนว่า เรื่องราวเช่นนี้ในฐานะของอันหงเจินคงมิอาจกล่าวแต่เพียงวาจาแน่นอน

 

หลังจากที่ผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว เป็นที่แน่นอนว่าตนเองต้องมิอาจที่จะร้องขอจารึกเสวี่ยหยวนกลับมาได้แล้ว

 

แต่ว่า หากกล่าวโดยตนเองแล้ว ประโยชน์ที่ได้รับจากจารึกเสวี่ยหยวนนั้นมิได้มากมายอันใด เพียงแค่สามารถสำเร็จเข้าสู่ขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดได้ เยี่ยจงก็มีความเชื่อมั่นที่จะทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อเกิดระดับที่แปดของซานกวานเทียนทงแล้ว

 

เมื่อพบเห็นเยี่ยจงพยักหน้า อันหงเจินก็ได้โบกมือคราหนึ่ง ผลไม้ส่องประกายอัสนีได้ถูกวางไว้ชิ้นหนึ่ง และอีกชิ้นที่เหมือนกระดูกหยกที่ยาวเท้ากับก้านของต้นไม้ได้ออกมาจากภายในแหวนจักรวาล วางไว้อยู่ด้านหน้าสายตาของเยี่ยจง

 

“ ผลเสียงอัสนี กระดูกพันปี “

 

เมื่อพบเห็นของทั้งสองสิ่ง เยี่ยจงก็ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย จากนั้นก็ได้คว้าไปที่สิ่งของทั้งสองสิ่งนี้ โดยที่ไม่มีแม้แต่ความลังเล ร่างกายก็ได้ก้าวเข้าไปใกล้ๆยังจารึกเสวี่ยหยวนที่อยู่ด้านข้าง

 

“ ไม่ต้องเกรงใจ จงไปนักสมาธิเถอะ ส่วนทุกสิ่งที่อยู่ภายในค่ายกลรวมวิญญาณนี้เจ้าสามารถใช้ได้ตามใจชอบได้เลย “ เสียงของอันหงเจินได้ลอดออกมาจากทางด้านหลัง

 

หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็ได้พยักหน้าไปมา ก้าวเข้าไปนั่งอยู่บริเวณที่ถูกจัดวางไว้ด้วยจารึกเสวี่ยหยวน ในทันทีที่ได้นั่งลง พลังแปลกประหลาดอันหนาแน่นสายนี้ได้แผ่ออกมาจากท่ามกลางจารึกเสวี่ยหยวน ทำให้เยี่ยจงราวกับมีความเข้าใจเกี่ยวกับพลังยุทธ์ของขั้นก่อเกิดทั้งเก้าได้อยู่หลายส่วน

 

“ จารึกเสวี่ยหยวนนี้ที่แท้ก็เป็นของดี “

 

เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ ยังมีอีกหลายสิ่งที่เยี่ยจงเมื่อชาติก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ต่อมา เขาก็มิได้รีบร้อนที่จะทะลวงเข้าสู่อีกขอบเขต และแค่ปิดตาลงเท่านั้น ตระหนักขึ้นมาได้เล็กน้อย

 

เมื่อพบเห็นว่าเยี่ยจงเป็นเช่นนี้ อันหงเจินก็ได้พยักหนักสื่อถึงความหมายทั้งหมด ทันใดนั้นร่างเขาก็ได้หายวับไป ถอยออกมายังทางด้านนอก จากนั้นก็พลิกมือคราหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงดังตูมตูมดังลอดออกมา บริเวณทางเข้าก็ได้ถูกปิดลงในทันที

 

เยี่ยจงในตอนนี้ ก็มิได้มีกระจิตกระใจที่จะไปสนใจความเคลื่อนไหวใดๆของอันหงเจิน เขายังคงสัมผัสพลังเส้นบางๆนี้ หลังจากนั้นก็ไม่ทราบว่าเวลาได้ผ่านพ้นไปนานเท่าไหร่ เขาก็ได้ยิ้มขึ้นมากะทันหัน พลิกวางฝ่ามือลง ในมือได้เพิ่มมาด้วยเศษทรายวิญญาณกำหนึ่ง จากนั้นเขาก็ได้พลิกมือเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ ผลเสียงอัสนี กระดูกพันปีรวมทั้งเศษทรายวิญญาณขึ้นมาย่อยสบายจนกลายเป็นผง พลังลมปราณได้รวมตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

 

“ ตูม ตูม ตูม “

 

ราวกับสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของเยี่ยจงก็มิปาน ค่ายกลรวมวิญญาณนี้ก็ได้เริ่มต้นเคลื่อนไหวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไอพลังวิญญาณฟ้าดินในตอนนี้ก็ได้ไหลเวียนรวมตัวกันเข้ามาอย่างบ้าคลั่งเหมือนดั่งสสารที่อัดแน่นก็มิปาน มุ่งหน้าทะลวงเข้าหาบริเวณที่เยี่ยจงอยู่เข้าไป

 

ถึงแม้เยี่ยจงจะไม่จำเป็นต้องใช้ไอพลังฟ้าดินมากมายนักเพื่อบรรลุเข้าสู่ขั้นก่อเกิดขั้นที่เจ็ด แต่ว่าในตอนนี้ไอพลังวิญญาณฟ้าดินที่มากมายได้ทะลวงเข้ามาเช่นนี้ ผลลัพธ์คงจะยากเกินความคาดคิดไว้ได้

 

ดังนั้น ในตอนนี้เยี่ยจงก็ได้ปล่อยวางสภาพจิตใจลง ลมปราณของพลังวิชาเพลงกระบี่หกสุสานก็เริ่มที่จะไหลเวียนอย่างบ้าคลั่ง เพื่อที่จะดูดซึมไอพลังฟ้าดิเหล่านี้เข้ามา และพลังภายในก็ได้เกาะรวมเข้ากับลมปราณโจวเทียน เส้นลมปราณที่มีความกว้างมากขึ้นก็รองรับได้มากขึ้นด้วย

 

ในตอนที่นิ่งเงียบทะลวงเข้าไปนั้นเอง พลังฝีมือของเยี่ยจงก็เริ่มก้าวขึ้นไปอีกขั้น เขานั้นความจริงมีความรู้อยู่หลายส่วนในด้านของขอบเขต แล้วในช่วงเวลาในตอนนี้ก็ได้รับเข้ามาอย่างฉับพลันก็มิปาน

 

แต่ว่า เยี่ยจงในตอนนี้ก็ได้เข้าใจได้ถึงความยากลำบากที่จะหาโอกาสในการฝึกปรือเช่นนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงยังไม่ตัดสินใจที่จะทะลวงเข้าสู่อีกขอบเขตหนึ่ง และยังไม่หยุดที่ต้องจัดการกับกำลังภายในที่เต็มเปี่ยมอย่างมหาศาลในตอนนี้ ทำให้พวกมันเข้ามาสู่ร่างกายตนเองในทุกๆอนู

 

เห็นได้ชัดว่า สิ่งที่เยี่ยจงต้องการทำแม้จะมิใช่การฝืนตัวเพื่อขึ้นสู่อีกขั้น เขาต้องการที่จะทำคือเก็บสะสม หลังจากที่น้ำไหลจนกลายเป็นคลองก็มิปานของการเข้าสู่ขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ด เพราะว่า ตลอดมาเขาได้ฝึกปรือจนสำเร็จอย่างเร่งรีบอยู่หลายส่วน ถึงแม้ขอบเขตจะสูงล้ำ แต่ก็มีความไม่มั่นคงอย่างหลีกหนีมิได้ ถึงแม้จะเป็นเพราะว่าเขาฝึกวิชาเพลงกระบี่หกสุสาน วันข้างหน้ายังมีอันตรายใดก็ยังไม่แน่ แต่ว่าในตอนนี้เมื่อได้รับโอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้แล้ว เป็นธรรมดาที่ต้องวางรากฐานให้มั่นคงให้ดี

 

บริเวณทางด้านนอกเอง อันหงเจินก็สัมผัสได้ว่าเยี่ยจงกำลังจะทำอันใดในเวลานี้ หลังจากนั้นเขาก็ได้ค่อยๆหรี่ตาลง แล้วก็ถอนหายใจออกมาคำโตแล้วกล่าว “ ภายใต้สถานการณ์ที่เพิ่มพลังเพื่อก้าวข้ามขอบเขต กลับกันนั้นจำเป็นที่จะต้องมีรากฐานที่มั่นคงก่อน แต่เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ช่างมีจิตใจที่ยิ่งใหญ่นัก ไม่แปลกใจเลยที่มีเพียงแค่ความสามารถในพลังขั้นก่อเกิดระดับที่หกก็สามารถที่จะสังหารเสวี่ยเสวียนลงได้ นอกเสียจากเขาได้ฝึกปรือวิชาลมปราณที่สูงเทียบฟ้าแล้ว พลังใจเช่นนี้ ก็นับได้ว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งสินะ ? “

 

“ แต่ว่า บุคคลที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ ตระกูลเยี่ยแห่งห้าตระกูลใหญ่ ถึงกับตั้งเขาเป็นขยะไร้ค่าของตระกูลที่เส้นชีพจรทั้งหกพิการจริงงั้นหรือ ? “ ใบหน้าของอันหงเจินได้ปรากฏความสงสัยขึ้นมาสายหนึ่ง ถึงแม้ว่าพลังฝีมือของเขาจะมีความพิเศษอยู่ก็ตาม แต่ในเวลานี้ก็คิดไม่ออกว่าที่แท้เป็นเพราะเหตุผลใดกัน

 

“ ช่างเถอะ ไม่ว่าร่างกายของเด็กน้อยผู้นี้ที่แท้มีความลับอันใดก็ตาม เขาก็ยังเป็นศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวของเราอยู่ดี เช่นนั้นก็ถือได้ว่าเพียงพอแล้ว ศึกร้อยดินแดนในวันข้างหน้า มีเขาออกศึกให้แก่ลัทธิแห่งดวงดาวของเรา เช่นนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นความน่ายินดีที่แท้จริงจึงจะถูก “ หลังจากที่ได้บ่นพึมพำกับตัวเองแล้ว อันหงเจินก็ได้ค่อยๆปิดเปลือกตาลง ภายในท่ามกลางจิตเซียนที่มีนับอยู่นับไม่ถ้วนค่อยสอดส่องเอาไว้อยู่ร่างที่อยู่ทางด้านหลัง เยี่ยจงในตอนนี้ได้สงบเงียบลงฝึกปรือได้อย่างไม่มีปัญหา หากว่าเยี่ยจงมีอันตรายแม้เพียงเล็กน้อย เกรงว่าเขาเองก็คงจะต้องออกตัวลงมือ ศิษย์เช่นนี้ สามารถเรียกได้ว่าเป็นขุมกำลังที่สำคัญที่สุดก็ว่าได้ อันหงเจินคงมิอาจที่จะเห็นเขาเกิดเรื่องโดยที่ไม่ลงมือทำอันใดได้

.

.

.

.

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset