เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 137 พลังขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ด

ตอนที่ 137 พลังขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ด

 

 

ในช่วงเวลาที่ได้ค่อยๆไหลผ่านเลยไป ก็ได้ล่วงเลยไปได้ครึ่งเดือนแล้ว การฝึกปรือของเยี่ยจง ราวกับเป็นการบ่งบอกบางอย่างเอาไว้

 

การเติบโตที่ภายในครึ่งเดือนที่ผ่านนี้ เนื้อหนังบนร่างกายของเยี่ยจงก็ได้เปลี่ยนเป็นทอประกายสีสดใสอยู่หลายส่วน คล้ายดั่งหยกศิลาก็มิปาน ความกลิ่นอายความลี้ลับจำนวนมากชนิดหนึ่ง

 

เห็นได้ชัดว่า ถึงแม้ช่วงเวลาจะผ่านเลยไปเพียงแค่ครึ่งเดือน แต่ว่าก่อนหน้านี้เยี่ยจงก็ได้พัฒนาขึ้นได้อย่างปกติโดยที่มิมีปัญหาใดๆ ตอนนี้โดยส่วนมากก็ถือได้ว่าจัดการได้อย่างเรียบร้อยแล้ว

 

และในช่วงเวลานี้เอง เนื้อหนังของเยี่ยจงเองก็ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำสายหนึ่ง และภายในกระดูก ก็ได้ปรากฏความรู้สึกชนิดหนึ่งที่ทั้งร้อนเดือดและเย็นเยียบในเวลาเดียวกัน ภายใต้การรวมตัวเข้าด้วยกันของพลังทั้งสองชนิด กลับกลายเป็นการเคลื่อนไหวของพลังที่ปะทุออกมาอย่างบ้าคลั่งชนิดหนึ่ง ในเวลาเดียวกันพลังภายในของเยี่ยจงก็ได้แผ่ออกมา

 

“ อ๋อ ? ที่แท้ก็ได้เริ่มทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดแล้วสินะ ? “

 

บริเวณทางด้านนอกของเยี่ยจงที่มีการปกป้องของอันหงเจินในช่วงเวลาแรกก็ได้ตรวจสอบได้ถึงความคึบหน้าของเยี่ยจง ต่อมาใบหน้าของเขาก็ได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาสายหนึ่ง

 

เยี่ยจงมิได้รีบร้อนที่จะฝึกสำเร็จ ไม่เช่นนั้นคงจะเกิดเรื่องเหตุไม่คาดฝันได้ จึงได้ทำการเริ่มต้นทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดในวันนี้ จิตใจที่เข้มแข็งและการวางแผนเช่นนี้เป็นดั่งจุดเด่นของเขา ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงยินดีกับเยี่ยจงอย่างแท้จริง

 

“ ตูม “

 

ทันใดนั้นเอง พลังลมปราณของเยี่ยจงราวกับเสียงอัสนีดังลอดออกมาก็มิปาน บริเวณที่ด้านนอกของเขา ก็ได้มีเงาร่างสีเขียวเคลื่อนไหวกระโดดเขามาในทันที ราวกับช่วงเวลาในตอนนี้ทั่วทั้งร่างจะระเบิดได้ก็มิปาน

 

อันหงเจินเมื่อสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าแต่ก็มิได้กระทำเรื่องราวมากมายอันใด เขาเพียงแต่จดจ้องไปยังฉากเบื้องหน้าด้วยความยินดี

 

เวลาได้ไหลผ่านไปทีละนิดละน้อย บริเวณโดยรอบของร่างเยี่ยจงก็ได้แผ่พลังอันน่าเกรงขามเริ่มที่จะเคลื่อนไหวออกไปอย่างช้าๆ แล้วก็ถูกพลังภายในของเขากดทับกลับเข้าไป

 

เยี่ยจงที่กำลังอยู่ในท่ามกลางการฝึกปรือก็ได้มีส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดออกมา ร่างกายได้สั่นเทาเล็กน้อย ทันใดนั้นเอง สัญลักษณ์ที่อยู่กลางฝ่ามือก็ได้มีความเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง

 

“ พรึบ พรึบ พรึบ “

 

ตลอดทั่วทั้งร่างของเยี่ยจงก็ราวกับถูกค้อนใหญ่นับไม่ถ้วนทุบเข้ามาอย่างไม่หยุดก็มิปาน ทำให้ตลอดทั่วทั้งร่างของเขาสั่นเทาขึ้นมาเป็นจังหวะเวลา แต่ว่าในทุกครั้งที่ได้สั่นเทา ก็ได้มีโลหิตสีดำพุ่งออกมาจากรูขุมขนราวของเขาทีละน้อย เห็นได้ชัดว่า สิ่งเหล่านี้ที่ได้ออกมาจากภายในร่างกายของเยี่ยจงเป็นสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์โดยทั้งหมด และก็เป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดนี้ สิ่งที่ไม่บริสุทธิ์เหล่านี้ได้ถูกเยี่ยจงขับออกไปนอกร่างกายในทันที

 

และเยี่ยจงที่เข้าสู่อีกขั้นได้อย่างปลอดภัยเช่นนี้ หากมองด้วยประกายตาของอันหงเจิน ก็เหมือนกับดูเรียบง่ายจนเกินไป ความจริงอันหงเจินยังเตรียมตัวลงมือไว้สำหรับตอนที่เยี่ยจงได้พบกับช่วงเวลาของบททดสอบอันใด แต่ว่าดูเหมือนว่าตอนนี้ ก็คงจะไม่จำเป็นที่จะให้เขาลงมือแต่อย่างไร

 

มีการเปลี่ยนแปลงบนร่างของเยี่ยจง จากนั้นก็ได้ดำเนินต่อไปอีกครึ่งวันหลายชั่วยามหลังจากนั้นจึงจะสิ้นสุด จากนั้นสุดท้ายก็ได้ยินเสียงดังขึ้นออกมาในเวลานี้ พลังฝีมือของเยี่ยจงในตอนนี้ก็ได้พุ่งทะยานขึ้นมากมายมหาศาล และกลิ่นอายที่อยู่บนร่างก็ได้แผ่ออกมา ในช่วงเวลาทันใดนั้นเอง เป็นความน่าเกรงขามที่ยากจะคาดคิดได้

 

“ ชิร์ “

 

ทันทีที่ค่ายกลรวมวิญญาณได้รวมไอพลังฟ้าดินเอาไว้แล้ว ก็เหมือนดั่งพบเจอกับแหล่งกักเก็บขนาดใหญ่ก็มิปาน สิ่งเหล่านี้ได้ถูกเยี่ยจงดูดซึมเข้าสู่ภายในร่าง จากนั้นก็ได้หยุดอยู่ภายในตัวเขาทุกอนุรูขุมขน ทันทีก็อยู่เช่นนี้ ความสามาถรถของค่ายกลรวมวิญญาณ พลังวิญญาณที่ได้รวมตัวกันก็ได้ถูกเยี่ยจงดูดซึมไปจนไม่เหลือ

 

“ ที่แท้เป็นวิชาลมปราณเซียนใดกัน ? อีกทั้งยังเป็นถึงวิชาลมปราณระดับเซียนอย่างแท้จริงอยู่ด้วย ? อันหงเจินจดจ้องและเหม่อมองไปยังฉากเบื้องหน้า ภายในจิตใจหลงเหลือไว้แต่เพียงห่วงความคิดเท่านั้น

 

“ ฮู่ว “

 

เยี่ยจงผ่อนลมหายใจออกเป็นสายยาวคำหนึ่ง และจากนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นมา ฝ่ามือที่อยู่ท่ามกลางอากาศก็ได้ถูกกดลงไป

 

“ ตึง “

 

ความเคลื่อนไหวไร้สภาพได้กระจายออกไปในทันที เพียงแต่ว่าลงฝ่ามือเพียงเบาๆ แต่ว่าฝ่ามือนี้ก็ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังบริสุทธิ์อันมหาศาล ได้เกินขอบเขตก่อนนี้ไปมากแล้ว อย่างน้อยก็มีซักหมื่นชั่งได้ และพลังมหาศาลเช่นนี้ ช่างน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดจริงๆ

 

ควรทราบว่า โดยส่วนมาก ยอดฝีมือที่มีพลังขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ดที่สามารถฝึกปรือมีพลังหมื่นชั่งก็นับว่าน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดแล้ว และพลังอันมหาศาลของเยี่ยจง ก็ได้เรียกว่าเข้าใกล้กับพลังของขั้นก่อเกิดระดับที่แปดแล้ว หากมิใช่เพราะการจัดรากฐานขอบเขตแล้วละก็ เกรงว่าเยี่ยจงในตอนนี้คงจะเริ่มที่จะทะลวงเข้าสู่ขั้นที่แปดไปแล้ว

 

หลังจากที่ได้เผยให้เห็นรอยยิ้มที่พึ่งพอใจแล้ว เยี่ยจงก็ได้พุ่งกายออกไปในทันที จนมาถึงยังพื้นที่ทางด้านบน

 

“ บรึม “

 

เสียงดังโครมครามดังลอดออกมา เยี่ยจงได้ทะลวงออกไปจากจุดเริ่มไปจนถึงทางเข้า จากนั้นก็ได้มาถึงยังบริเวณด้านหน้าของอันหงเจิน กล่าวเสียงอย่างยินดีว่า “ ขอบคุณท่านเจ้าลัทธิที่ช่วยจนสำเร็จปลอดภัย “

 

“ สามารถที่จะเข้าสู่ขอบเขตนี้ได้ ก็นับได้ว่าเป็นความสามารถของเจ้าเอง ข้าก็ทำได้เพียงแต่ยินกับเจ้าเล็กน้อยก็เท่านั้นเอง —– “ อันหงเจินยิ้มแล้วส่ายศีรษะไปมา “ ความจริง พลังฝีมือของเจ้าในตอนนี้ยังสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตขั้นที่แปดได้ สมควรที่จะมิใช่ปัญหาใหญ่อันใด แต่ว่า ข้ากลับไม่เห็นด้วยที่ตอนนี้เจ้าจะเริ่มต้นทะลวง ยังคงกลับไปยังดินแดนภายนอกก่อนน่าจะดีกว่า —- “

 

“ นอกจากนั้น หากว่าช่วงนี้เจ้าไม่มีอันใดทำแล้วละก็ ข้าก็มีภารกิจสำนักจะมอบให้แก่เจ้า “ อันหงเจินค่อยๆลุกขึ้นมา เผยให้เห็นรอยยิ้มอันลี้ลับสายหนึ่ง

 

เยี่ยจงไม่ทราบจะทำเช่นไร แต่ว่าในครั้งนี้อันหงเจินได้ให้ประโยชน์แก่เขามากมายเช่นนี้ ด้วยน้ำใจด้วยเหตุผล เขาก็มิอาจที่จะปฏิเสธอีกฝ่ายได้ ต่อมา เยี่ยจงก็คารวะแล้วตอบ “ ท่านเจ้าลัทธิเช่นกล่าว “

 

“ เมื่อครบรอบเดือนหน้าที่จะถึงนี้ เป็นอวยพรวันครบรอบวันสถาปนาของรัฐต้าโจวเรา ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นตัวแทนของลัทธิแห่งดวงดาวเราไปยังเยียชิงเพื่อส่งคำอวยพร “ อันหงเจินกล่าวด้วยอันเสียงดัง “ นอกจากนี้ ภารกิจนี้ยังเป็นภารกิจระดับสูง ผลตอบแทนของภารกิจนอกจากหนึ่งแสนสะสมวิญญาณแล้ว ก็ยังจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังตำหนักทักษะยุทธ์ชั้นสามได้หนึ่งครั้ง “

 

“ ข้าคิดว่า ภารกิจในครั้งนี้เจ้าน่าจะมีความสนใจอยู่บ้างไหม ? “

 

เมื่อได้เหม่อมองไปยังสีหน้าของอันหงเจินแล้ว ภายในหัวเยี่ยจงก็เคลื่อนไหวเล็กน้อย โดยส่วนมากก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ภารกิจสำนักทั้งหมดนี้ กว่าแปดส่วนก็เพื่อที่จะให้ร่างกายของตนเองได้มีปรับสมดุล เพื่อที่จะไปอวยพรฮ่องของประเทศแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็แค่สิ่งที่ง่ายดาย กล่าวโดยทั่วไปแล้ว ภารกิจเช่นนี้ควรจะส่งบุคคลเช่นผู้อาวุโสของลัทธิสายในหรือว่าเจ้าตำหนักไปจึงจะเรียกว่ามีคุณสมบัติที่ถูกต้อง และตอนนี้ ในเมื่อท่านเจ้าลัทธิ เป็นคนเสนอออกมาเอง เช่นนั้นสถานการณ์ก็กลับกลายเป็นไม่เหมือนกันทั้งหมด

 

ดังนั้น หลังจากที่ได้ครุ่นคิดแล้ว เยี่ยจงก็ได้ยิ้มออกมาแล้วกล่าว “ ในเมื่อท่านเจ้าลัทธิเอ่ยปาก เยี่ยจงมิอาจมิกล้ารับ ภารกิจนี้ จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน “

 

“ ดี เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนอยู่ภายในลัทธิก่อนซักสามวัน ก็จัดการเรื่องราวที่ควรกระทำให้เสร็จสิ้น แล้วก็ออกเดินทางเถอะ “ อันหงเจินก็ได้กลับขึ้นไปนั่งสมาธิอยู่บนแท่นหินดั่งเดิม ละสายตาจากเขาไป

 

เยี่ยจงก็มิได้กล่าววาจาไร้สาระอันใดอีก และเพียงหันหน้าไปยังบริเวณทางด้านนั้นแล้วก็หลังจากที่โค้งคำนับกายแล้ว ก็ได้ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

 

…………

 

บนท้องนภาที่สะอาดปลอดโปร่ง ก็ได้มีราชสีห์เศียรอินทรีขนาดใหญ่ค่อยๆขยับสยายปีกด้านข้าง บนด้านหลังราชสีห์เศียรอินทรี ก็ได้มีรถลากติดอยู่คล้ายกับพระที่นั่งแห่งหนึ่งก็มิปาน ท่ามกลางรถลากนี้ได้แบ่งเป็นหลายห้อง ใช้สำหรับให้ผู้คนใช้ในการพักผ่อน

(น่าจะเป็นกริฟฟอนนะครับ แต่ตามนิยายก็แปลได้อย่างที่เห็นครับ)

 

ตอนนี้ ด้านในภายในหนึ่งในห้องนั้นเอง ก็ได้มีเงาร่างผอมสูงกำลังนั่งสมาธิอยู่ ชายหนุ่มดูจากหน้าตาแล้วน่าจะมีอายุโดยประมาณสิบห้าสิบหกปี แต่ว่าบนหน้าที่มีรอยเป็นเส้นคล้ายกับดาบกรีดก็มิปาน ปรากฏให้เห็นและเต็มไปด้วยพลังอย่างเปรียบล้น

 

เขาในตอนนี้ ในมือได้กำลังถือม้วนคัมภีร์ที่มีลักษะเป็นสีแดงเพลิงส่องสว่างอยู่พลิกดูไปมา

 

เงาร่างที่อยู่ท่ามกลางห้องแห่งนี้ ที่น่าตกใจนั้นก็คือเยี่ยจง การออกไปทำภารกิจสำนักในครั้งนี้ ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง หลังจากที่ได้ไปบอกต่อหลิงเยวี่ยและพวก แต่ก็มิได้พาผู้ใดติดตามมาด้วย

 

หลังจากนี้ นอกเสียจากภารกิจสำนักแล้ว เยียชิงตัวอักษรทั้งสองตัวนี้ หากมองโดยเยี่ยจงแล้วก็เป็นเหมือนดั่งอีกความหมายหนึ่ง

 

แม้จะกล่าวโดยได้หลายความหมายว่า เป็นครั้งแรกที่เขาได้ไปเมืองเยียจิน และตระกูลเยี่ยที่อยู่ที่เยียจิน ก็มิได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับเขา แต่ว่า การกลับไปเยียจินในครั้งนี้ ยังมีบัญชีที่ยังต้องสะสางให้ดีๆอยู่อีกไม่น้อย และเรื่องราวเหล่านี้ เยี่ยจงก็ไม่ต้องการที่จะยืมมือผู้ใด

 

ยังมีตระกูลซู ยังไงซะตนเองก็ต้องไปเยี่ยมซักรอบหนึ่ง ร้อยก้าวไร้พ่ายเมื่อครั้งนั้น ได้สังหารยอดฝีมือตระกูลซูไปไม่น้อย ยังไงซะก็ต้องมีคำกล่าวต่อพวกเขามิใช่หรือ ?

 

และในตอนนี้ เยี่ยจงที่ได้นั่งอยู่อย่างในราชสีห์เศียรอินทรีนี้ ที่เป็นเมืองใหญ่มีชื่อเสียงของรัฐต้าโจวหวังเฉาเลี้ยงดูไว้เป็นพาหนะบินชนิดหนึ่ง สามารถที่จะทำให้ผู้คนเพิ่มความเร็วในการข้ามไปยังอีกรัฐหนึ่งได้ แต่ว่าโดยส่วนมากแล้ว ขุมกำลังธรรมดา ลูกศิษย์ภายในตระกูลที่ออกมาหาประสบการณ์ ก็มิอาจที่จะมีโอกาสเช่นนี้ กระทั่งได้นั่งรถม้าราชสีห์เศียรอินทรีแม้แต่ครั้งหนึ่งก็นับว่ายังไม่เคย

 

เพียงแต่ว่า การเดินทางของเยี่ยจงที่มาในฐานะตัวแทนของลัทธิแห่งดวงดาว เพื่อที่จะไปอวยพรฮ่องแห่งรัฐต้าโจวที่เมืองเยียจินโดยเฉพาะ ค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทาง ทางลัทธิสายในจะเป็นผู้ออกด้วยตนน้อง ดังนั้นเยี่ยจงจึงคร้านที่จะพึ่งพาโดยการเดินเท้า และการนั่งราชสีห์เศียรอินทรีนี้ก็นับว่าสะดวกรวดเร็วอีกด้วย

 

เพียงแต่ว่า ถึงราชสีห์เศียรอินทรีจะรวดเร็ว จากเมืองหมื่นดาราไปจนถึงเมืองเยียจิน ก็ยังต้องใช้เวลาทั้งหมดสามวัน อีกทั้งวันนี้ยังเป็นวันแรกอีกด้วย เยี่ยจงเบื่อหน่ายไร้เรื่องที่จะกระทำ จึงได้นำม้วนคัมภีร์ทักษะยุทธ์ที่ได้จากถ้ำหงส์หยาออกมา เริ่มที่จะพลิกซ้ายพลิกขวามองดู

 

ด้านบนของทักษะยุทธ์ ได้มีตราประทับส่องสว่างไว้อยู่ เห็นได้ชัดว่า ภายในทักษะยุทธ์นี้ได้มีการป้องกันชนิดหนึ่งเอาไว้ คิดอยากที่จะหาวิธีในการเปิดสิ่งที่อยู่ด้านในดูแล้วละก็ ก็จำเป็นที่จะต้องปลดผนึกการป้องกันนี้ให้ได้ก่อน จึงจะสามารถเริ่มต้นฝึกฝนได้

 

เพียงแต่ว่า ตลอดเส้นทางมานี้ เยี่ยจงก็ได้ทดลองใช้ออกด้วยพลังฝีมือไม่น้อย แต่ว่าก็ไร้หนทางในการปลดผนึกที่อยู่บนคัมภีร์ทักษะยุทธ์นี้ได้ และเยี่ยจงก็ไม่ต้องการที่จะใช้พลังที่แข็งแกร่งมากจนเกินไปนัก หากว่าไม่ระวังจนทำให้ม้วนคัมภีร์เกิดความเสียหายแล้วละก็ เช่นนั้นเขาก็คงต้องร้องไห้จนไร้น้ำตาแล้ว

 

“ เอ๊ะ ? นี้คือ “

 

หลังจากที่ได้วิเคราะห์ม้วนคัมภีร์ทักษะยุทธ์ม้วนนี้อย่างระมัดระวังแล้ว นัยน์ตาของเยี่ยจงก็ได้ขยับไปมาอย่างกะทันหัน จนมองเห็นบางอย่างที่อยู่ด้านบนม้วนคัมภีร์ชิ้นนี้ นั้นก็คือลักษณะตราประทับอย่างหนึ่ง นั้นได้ทำให้เยี่ยจงรู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง

 

“ นี้คือ …….. ป้ายถ้ำหงส์หยา ? “

 

ในขณะที่ไม่ค่อยแน่ใจนัก ทันใดนั้นเอง เยี่ยจงก็ได้พลิกมือคราหนึ่ง ป้ายเหล็กสีเงินชิ้นหนึ่งที่ได้ครอบครองมาจากเมื่อครั้งก่อนก็ได้ปรากฏอยู่บริเวณใจกลางฝ่ามือของเขา

 

หลังจากที่ได้นำมาเทียบกันดูอย่างระมัดระวังแล้ว เยี่ยจงก็พบว่า ป้ายถ้ำหงส์หยาชิ้นนี้กับตัวตราประทับที่อยู่บนม้วนคัมภีร์ มีลักษณะที่เหมือนกันราวกับแกะ

 

“ ที่แท้ …….. “

 

หลังจากที่กำลังหวนรำลึก เยี่ยจงก็ได้ใช้มือสัมผัสเบาๆคราหนึ่ง เคลื่อนไหวนิ้วมืออย่างระมัดระวังบนป้ายถ้ำหงส์หยา วินาทีนั้น ก็พบกับแสงทอสว่างสีแดงอยู่บนม้วนคัมภีร์สายหนึ่ง

 

“ เปรี้ยง “

 

ในช่วงวินาทีนั้นเอง ความเคลื่อนไหวของพลังอันประหลาดสายหนึ่ง ก็ได้แผ่ออกมาจากม้วนคัมภีร์ทักษะยุทธ์ม้วนนี้ เคลื่อนไหวลอยออกไปยังทางด้านศีรษะของราชสีห์เศียรอินทรีเช่นนี้ ร่างกายของมันถึงกับหยุดอยู่ท่ามกลางอากาศด้วยความตกใจครู่หนึ่ง แล้วก็ได้ส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวอยู่หลายส่วน

 

และจากการเคลื่อนไหวเช่นนี้ ก็ได้ทำให้สีหน้าของเยี่ยจงเปลี่ยนไป ความเคลื่อนไหวที่มีพลังเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นการเปิดใช้งานทักษะยุทธ์ขั้นวิญญาณระดับสูงนี้ จึงจะมีความเคลื่อนไหวที่มีพลังเช่นนี้ได้

 

ทักษะยุทธ์ที่ได้จากถ้ำหงส์หยาในวันก่อน ที่แท้ก็เป็นขั้นวิญญาณระดับสูงงั้นหรือ ?

.

.

.

.

 

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset