เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 159 สมบัติห้วงกาลเวลา

ตอนที่ 159 สมบัติห้วงกาลเวลา

 

 

นางฟ้าชิงหญิงมองดูไปทางร่างของเยี่ยจงอย่างสงสัย นางไม่เคยพบเจอบุคคลเช่นนี้มาก่อน ไม่เพียงแต่ปฏิเสธนางอย่างไม่มีเยื่อใยแล้ว อีกทั้งยังไม่เห็นแก่หน้าลูกหลานแห่งราชวงศ์อยู่ในสายตา และเบื้องหน้าสายตาคนผู้นี้มีเพียงอายุสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น ฉากเบื้องหน้านี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนตื่นตระหนกได้

 

“ ตระกูลเยี่ย เยี่ยจง “ นางกล่าวอย่างหวนรำลึก ราวกับว่าเหมือนเคยได้ยินนามเหล่านี้ก็มิปาน

 

ราวกับสัมผัสได้กับดวงตาที่ทอเป็นประกายของชิงหญิง ที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนอยู่ก็มิปาน องค์ชายสามนัยน์ตาเย็นเยียบคราหนึ่ง ในครั้งนี้เขาได้เดินไปข้างหน้า บนร่างได้ปะทุพลังอันแข็งแกร่งออกมาในทันที ทำให้เหล่ายอดฝีมือที่ล้อมรอบอยู่ต่างก็ต้องถอยไปทางด้านหลัง อีกทั้งยังเป็นความแข็งแกร่งที่อัดแน่นไปด้วยความบ้าคลั่ง ในตอนนี้ก็ได้เค้ากดดันไปที่เยี่ยจงอย่างรุนแรง

 

“ เยี่ยจง ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกเป็นครั้งสุดท้าย มอบทรราชทมิฬที่ได้มาจากชุมนุมการค้าออกมาซะ ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าออกไปจากสวนวังกลังแห่งนี้ไปได้ “ องค์ชายสามแสยะยิ้มไปทางเยี่ยจงอย่างเย็นชา เอ่ยปากออกมาด้วยความบ้าบิ่น

 

“ นี้เป็นการรับแขกของคนในวังของพวกเจ้างั้นหรือ ? “ เยี่ยจงหัวเราะออกมา ไม่ได้รู้สึกว่าถูกกดดันเลยแม้แต่นิดเดียว

 

“ เห็นแก่หน้าองค์ชายใหญ่ ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป ถ้าหากมีครั้งหน้า ก็อย่าได้โทษว่าข้า “ เยี่ยจงเอ่ยปากอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันกายเดินจากไป

 

สิ่งนี้เป็นความเชื่อมั่นในพลังความอข็งแกร่งของตัวเอง ในเวลาเดียวกันก็เป็นเหมือนดั่งการดูถูกองค์ชายสามเช่นเดียวกัน ความเชื่อมั่นในตัวเองขององค์ชายสาม ทุกอย่างที่มี กลับถูกเยี่ยจงเผาทำลายด้วยใบหน้าที่เย็นชาเช่นนี้

 

“ ช่างไม่รู้จักประมาณตนเอง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วงั้นหรือ หาที่ตาย “ องค์ชายสามยิ้มออกมาอย่างเย็นชา ภายในจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยรังสีการฆ่าฟัน ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้น วินาทีนั้นก็พบเห็นพลังปราณของเขาแผ่พุ่งออกมา ใช้ออกด้วยพลังฝ่ามือขนาดใหญ่ มุ่งหน้ากดดันไปทางด้านหลังของบริเวณที่เยี่ยจงอยู่

 

“ เปรี้ยง “

 

ขณะนั้นเองเยี่ยจงก็ได้หันกายกลับไปโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง พลิกมือออกมาคราหนึ่งฟาดไปที่ฝ่ามือที่มีพลังปราณอันหนาแน่น เพิ่งพาเพียงแต่พละกำลังกาย ก็สามารถต้านทานการจู่โจมอันน่ากลัวขององค์ชายสามผู้นี้ได้

 

“ อะไรกัน ? “

 

ภายใต้สายตาของทุกผู้คน เยี่ยจงผู้นี้มีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาอย่างที่คาดเดาไว้ ใช้เพียงแค่เลือดเนื้อธรรมดาก็สามารถต้านรับการโจมตีขององค์ชายสามได้ พลังฝีมือของผู้ที่มีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี ก็เกินกว่าผู้คนจะคาดเดาไว้ได้แล้ว

 

“ องค์ชายสาม ท่านอยากตายจริงๆงั้นหรือ ? “ เยี่ยจงหันกลับไป จ้องมองกลับไปทางด้านองค์ชายสามอย่างเยือกเย็น นี้เป็นครั้งแรกที่ได้ทอประกายสายตาอันดุดันพร้อมรังสีฆ่าฟันแผ่ออกมา ความจริงเขาไม่ต้องการทาจะปะทุพลังขึ้นในเวลาเช่นนี้ เพียงแต่ว่าองค์ชายสามผู้ยังคงค่อยๆก้าวเข้ามาอย่างกะชันชิด ได้ทำให้เยี่ยจงจำเป็นต้องแผ่รังสีฆ่าฟันออกมา

 

“ เกรงว่าเจ้าจะไม่มีความสามารถเช่นนั้น “ องค์ชายสามก็ได้ยิ้มเย็นเยียบออกมา ก้าว

 

บริเวณที่ว่างของสถานที่แห่งนี้ได้มีที่รงแจ้งขนาดใหญ่อยู่ผืนหนึ่ง ก็ได้มีสายตานับไม่ถ้วนมองสบตากัน แล้วต่างก็มองไปที่เงาร่างทั้งสองที่กำลังปะทะกันอยู่ในตอนนี้

 

บุคคลจำพวกจ้านหวังน้อยโจวฉือชือ เหร่ยทิงเหอเป็นต้น และสายตานับไม่ถ้วนต่างก็จ้องมองไปที่เยี่ยจง กับเจ้าขยะที่เล่าลือกันกลับสามารถที่จะผ่านกล้าประเผชิญหน้ากับองค์ชายสามได้ ต่างก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความงุนงงและสงสัย

 

ไม่ว่าจะมองเขาอย่างไร ก็มีเพียงพลังคันกรอกเกิดระดับที่เจ็ดเท่านั้น อายุเพียงแค่นี้ก็สามารถฝึกปรือจนถึงขอบเขตเช่นนี้ได้ เป็นเหมือนดั่งความน่าสะพรึงกลัวของปีศาจร้าย แต่ว่ากลับคิดที่จะต่อกรกับองชายสามที่มีพลังอยู่ในขั้นก่อฟ้าความสำเร็จน้อย ถือได้ว่ามีความอาจหาญอยู่หลายส่วน

 

“ ทั้งสองท่านหากคิดจะลงมือกันจริง ข้าจะจัดการงานประลองให้ทั้งสองท่านสักคราดีหรือไม่ ยังไงเสียที่แห่งนี้ก็ยังเป็นภายในวังชั้นนอก มิใช่สถานที่อันสมควรในการลงมือ “ นางเซียนชิงหญิงที่มิได้เอ่ยอันใดตั้งแต่ต้นก็ได้เอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน

 

เยี่ยจงกวาดสายตามองไปที่นางคราหนึ่ง สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความคับข้องใจอย่างไร้ส่งเสียง เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ในตอนนี้ก็เพราะว่านางเป็นคนเริ่มต้น แต่ว่านางในตอนนี้กลับทำราวกับเหมือนมิใช่ปัญหาของตนเอง อีกทั้งยัง”ใจดี”ช่วยแก้ไขปัญหา ช่างไร้เหตุผลเสียจริง

 

“ ยังคงขอเชิญนางเซียนชิงหญิงลงมือเถอะ “ เยี่ยจงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ว่าองค์ชายสามกลับยกมือคารวะเอ่ยปากกล่าว

 

ชิงหญิงพยักหน้าตอบรับ และจากนั้นก็พบเห็นข้อมืออันขาวผ่องราวกับงาช้างก็มิปานยื่นออกมา แล้วก็ได้ชี้ออกไปทางบริเวณทางด้านหน้าอย่างระมัดระวัง วินาทีนั้นก็ได้มีบางอย่างแผ่ออกมาท่ามกลางอากาศเป็นสาย

 

ทันใดนั้นต่อมา เงาร่างของทั้งสามคนก็ได้หายวับไปจากสถานที่แห่งนี้ในเวลาเดียวกัน

 

การขยับเพียงครู่เดียวที่เบื้องหน้าสายตา เยี่ยจงก็พบว่าตนเองในตอนนี้ได้อยู่ในห้วงกาลเวลาอีกแห่ง ท่ามกลางห้วงกาลเวลาแห่งนี้เป็นเหมือนดั่งความว่างเปล่า มีแต่เพียงด้านพื้นดินที่สร้างจากหินอยู่ และแล้วชิงหญิงและองค์ชายสามทั้งสองคนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาในอีกด้านหนึ่ง จดจ้องไปทางด้านเยี่ยจง

 

“ สมบัติห้วงกาลเวลา ? “

 

เยี่ยจงขมวดคิ้วไปมา แล้วก็เข้าใจได้ในทันที ตนเองในตอนนี้สมควรถูกชิงหญิงผู้นั้นเรียกเข้าสู่สมบัติห้วงกาลเวลาแห่งนี้แล้ว พลังฝีมือของชิงหญิงผู้นี้เกินกว่าที่คิดเอาไว้ แม้แต่ตนเองก็ยังมีอยู่หลายส่วนที่ตอบสนองกลับมาไม่ทัน

 

“ นางปีศาจ เจ้าต้องการที่จะเอาทรราชทมิฬให้ได้งั้นหรือ ? “ เยี่ยจงจ้องมองไปยังร่างของชิงหญิง หลังจากนั้นก็หัวเราะแล้วกล่าวออกมาอย่างเย็นชา

 

นางเซียนชิงหญิงตัวสั่นเทาคราหนึ่ง ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความยากที่จะเชื่อ หลายปีมานี้ นางได้เก็บตัวฝึกฝนอยู่แต่บนเขา ผู้คนเบื้องหน้าเบื้องหลังต่างก็เรียกขานกันว่านางเซียน แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าสายตาผู้นี้กลับไม่แม้แต่จะให้ความสนใจเลย อีกทั้งยังเรียกนางปีศาจ

 

แต่ว่าอารมณ์เช่นนี้ก็เป็นเพียงทอเป็นประกายอยู่ภายในดวงตาของนางเซียนชิงหญิงเท่านั้น นางส่ายศีรษะอย่างรุนแรง กล่าวเสียงแผ่วเบา “ ท่านเยี่ยจง ข้าไม่ต้องการที่จะแย่งชิงทรราชทมิฬกับท่าน แต่ว่าของสิ่งนี้มีประโยชน์ต่อข้ามากมาย หากว่าสามารถให้ข้าหยิบยืมเพียงครึ่งปี วันหน้าต้องชดใช้ กับพระคุณเช่นนี้แน่นอน “

 

“ พวกเรามีความคุ้นเคยนักหรือไง ? เพราะอะไรข้าจำเป็นต้องเชื่อเจ้า ? “ เยี่ยจงไม่แยแส ไม่ได้แสดงถึงความหมายที่เห็นแก่หน้าของนางซียนผู้นี้เลยแม้แต่น้อย หรือสมควรกล่าวได้ว่า เยี่ยจงไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่อนางเซียนชิงหญิงผู้นี้เลยแม้แต่น้อย

 

“ เจ้า —— ” องค์ชายสามก้าวออกมาทางด้านหน้า ขวางกั้นอยู่บริเวณทางด้านหน้าของนางเซียนชิงหญิง “ ชิงหญิง ไม่จำเป็นต้องกล่าวมากความกับเขาแล้ว ข้าจะสังหารให้ในที่แห่งนี้ ของสิ่งนั้นก็จะตกเป็นของพวกเราเอง เจ้าวางใจ เรื่องราวเหล่านี้มีเพียงข้าที่ลงมือ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้า “

 

นางเซียนชิงหญิงครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วก็สูดลมหายใจอย่างแรง ไม่กล่าวอันใดอีก

 

“ เจ้าเล่ห์ ไร้ยางอาย “ เยี่ยจงยิ้มอย่างเย็นชา ไม่เห็นแก่หน้าของทั้งสองคน

 

“ เจ้ารนหาที่ตายเองนะ “

 

องค์ชายสามหัวเราะเสียงเย็นชา จากนั้นก็ไม่รีรอชักช้า ก้าวเท้าออกไปทางด้านหน้าอย่างหนักแน่น ร่างกายทอเป็นประกายสายหนึ่งออกไป ใช้ออกด้วยฝ่ามือคราหนึ่ง วินาทีนั้นก็ได้ก่อพลังปราณรวมตัวกัน จู่โจมเข้าไปอย่างน่าหวาดกลัวโดยตรง

 

เยี่ยจงยิ้มอย่างเย็นชา พลิกทั้งสองมือขึ้น บริเวณใจกลางฝ่ามือก็ได้ใช้ออกด้วยพลังกระบี่ตราประทับชั้นที่เจ็ด ในตอนนี้ใจกลางฝ่ามือของเขาได้เปลี่ยนเป็นลึกลับสายหนึ่ง ราวกับความลึกที่มิมีจุดสิ้นสุดก็มิปาน น่ากลัวอย่างถึงที่สุด

 

และหลังจากที่ใช้ฝ่ามือนี้ออก ก็ได้ทำท่าราวกับเชื้อเชิญให้องค์ชายสามที่ใช้พลังการโจมตีที่น่ากลัวนี้ปะทะเข้าไป

 

“ แก้ง “

 

การเคลื่อนไหวสังหารอันน่าหวาดกลัวทั้งสองสายได้ปะทะเข้าหากัน ความน่ากลัวอย่างสูงสุดได้แผ่กระจายหมุนวนออกมา ทำให้แผ่นหินบนพื้นดินถึงกลับลอยตัวขึ้นมา

 

“ เชอะ “

 

ถึงแม้ว่าเยี่ยจงจะมีพลังฝีมือเพียงแค่ขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ด แต่ว่าเขาได้ฝึกปรือด้วยวิชาพลังลมปราณโบราณของวิชากระบี่หกสุสาน อีกทั้งยังมีพลังอันลี้ลับอยู่ภายใน หลังจากที่ใช้ออกด้วยฝ่ามือ เขาก็ได้ฟาดฝ่ามือออกไปคราหนึ่ง วินาทีนั้น ก็พบว่าการโจมตีขององค์ชายสามผู้นั้น ปรากฏรอยแตกร้าวขึ้นมาเป็นสาย

 

“ บรึม “

 

หลังจากนั้นเอง ก็ได้มีเสียงดังสนั่นขึ้น การโจมตีขององค์ชายสามที่เข้าปะทะได้ถูกสลายลง ร่างกายได้ขยับอีกครา ก็ได้ถอยออกไปบริเวณทางด้านหลัง

 

“ เจ้าก็ลองดูทักษะยุทธ์ของข้าดูบ้างสิ “ ในตอนที่สลายกระบวนท่าการโจมตีขององค์ชายสามแล้ว เยี่ยจงก็ได้ทอสายตาลังเลขึ้น และจากนั้นก็ได้ขยับมือเป็นสัญลักษณ์ขึ้น ชี้นิ้วออกไปยังบริเวณทางด้านหน้า

 

“ เพล้ง เพล้ง เพล้ง “

 

ในวินาทีนั้นเอง ชั้นบรรยากาศก็ได้เกิดรอยแตกขึ้น ดาวตกสีแดงเพลิงลูกหนึ่งก็ได้ตัดผ่าอากาศเข้ามา พุ่งเข้าปะทะไปยังบริเวณที่เขาอยู่

 

“ ดัชนีเพลิงดาราคล้อย ? ลัทธิแห่งดวงดาว ? “

 

เมื่อได้เหม่อมองการโจมตีที่กำลังตัดผ่าอากาศเข้ามา องค์ชายสามก็ได้ขมวดคิ้วไปมา ราวกับคาดเดาบางอย่างได้ แต่ว่าเขาในตอนนี้ก็มิได้คิดถอยออกแต่อย่างไร และในดวงตาก็ได้ปรากฏทอประกายแสงสีทองขึ้นมารวมตัวกันในทันที กลับกลายเป็นพลังปราณแสงสว่างวาบทั้งสองสายพุ่งเข้าหากัน สลายพลังของดาวตกเพลิงโดยตรง

 

“ กระบี่ตราประทับ ฟาดฟันซะ “

 

จากนั้น ดาวตกเพลิงก็ได้ถูกพลังเข้าปะทะจนระเบิดในเวลาเดียวกัน ร่างกายของเยี่ยจงก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขากุมกระบี่ไว้ในมือ บนตัวกระบี่ได้ปรากฏพลังกระบี่ตราประทับชั้นที่แปดขึ้น วินาทีนั้นก็ได้มีพลังของกระบี่สาดประกายขึ้นขนาดใหญ่ พุ่งเข้าเชือดเฉือนบริเวณที่องค์ชายสามอยู่

 

“ ไสหัวไปซะ “

 

องค์ชายสามเมื่อพบเห็นการโจมตีเช่นนี้ของเยี่ยจง ภายในดวงตาก็ได้ปรากฏความเย็นชาขึ้นมา และจากนั้นเขาก็ได้พลิกฝ่ามือสองข้างคราหนึ่ง ก็ได้ปรากฏก้อนศิลาใหญ่อยู่ใจกลางฝ่ามือ ทันใดนั้นเขาก็ได้ขึ้นไว้ออกไปอย่างรุนแรง

 

“ ตูม “

 

การโจมตีอันน่ากลัวทั้งสองสายพุ่งเข้าหากัน วินาทีนั้น พลังของทักษะยุทธ์ก็ได้ปะทุขึ้น ความเคลื่อนไหวอันน่าหวาดกลัวก็ได้แผ่กระจายออกไป เกิดรอยแตกร้าวขึ้นทั่วทั้งสี่ทิศ

 

การปะทะของกระบวนท่านี้ก็ยังมิได้แบ่งความสำเร็จใดๆ ร่างกายก็ได้ถอยไปยังบริเวณทางด้านหลังในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดสีหน้าปั้นยากขึ้นมาหลายส่วน

 

“ เยี่ยม พลังฝีมือเพียงแค่ขั้นก่อเกิดระดับที่เจ็ด ถึงกับมีความสามารถในการต่อสู้ถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าองค์ชายเช่นข้าจะดูแคลนเจ้าไปหน่อยแล้ว วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าเข้าใจเองว่า อันใดคือความพ่ายแพ้ที่แท้จริง “

 

หลังจากที่สิ้นเสียง องค์ชายสามก็ได้ใช้ออกด้วยทั้งสองมือ วินาทีนั้น พลังปราณสายหนึ่งก็ได้รวมตัวกันจนปรากฏกงเล็บขึ้นมา หายวับราวกับสายอัสนีพุ่งเข้าปะทะดังตูมขึ้นมา

 

เยี่ยจงยิ้มอย่างเย็นชาคราหนึ่ง ชี้นิ้วออกไปคราหนึ่ง พลังความน่ากลัวของแรงลมได้แผ่ออกมาเป็นสาย เข้าทำลายพลังปราณกรงเล็บเข้าโดยตรง

 

กระบวนท่านี้ขององค์ชายสามถึงแม้จะร้ายกาจ แต่ก็ยังมีอาจทำให้เยี่ยจงที่อยู่เบื้องหน้าเอาจริงได้ แทบจะไม่มีผลกระทบใดๆเลย

 

เยี่ยจงซ่องมองไปที่องค์ชายสามอย่างเย็นเยียบ จากนั้นก็ได้ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าว “ ใช้ออกด้วยความสามารถที่แท้จริงมาเถอะ ขายขี้หน้าราชวงศ์ของพวกเจ้าเสียจริง หากว่าเจ้าจะใช้พลังฝีมืออันน้อยนิดคิดที่จะปกป้องบุษผางามแล้วละก็ เช่นนั้น ข้าก็ทำได้เพียงอวยพรในความกล้าหาญของเจ้าแล้วล่ะ

 

“ ดูเหมือนว่าข้าจะดูแคลนเจ้าเกินไปแล้ว แต่ว่าถึงกับสามารถฝึกปรือทักษะยุทธ์ดัชนีเพลิงดาราคล้อยประจำลัทธิแห่งดวงดาวได้ คิดว่าจะก็คงจะเป็นศิษย์สาขาในของลัทธิแห่งดวงดาวอย่างแน่นอน สถานะเช่นนี้ ไม่แปลกเลยที่จะเดินไปมาทั่วทั้งเมืองเยียจิงได้ แต่ว่าสันนี้ข้าจะให้เจ้าได้ทราบว่า ต่อให้เจ้าเป็นศิษย์สาขาในของลัทธิแห่งดวงดาว ก็มาได้แค่นี้แหลาะ “ องค์ชายสามยิ้มอย่างเย็นชา

 

เยี่ยจงส่งเสียง”ชิร์”พร้อมกับหัวเราะออกมาคำหนึ่ง ไม่เห็นแก่หน้าขององค์ชายสามผู้นี้เลยแม้แต่น้อย เด็กน้อยผู้นี้ยังมีหน้ามากล่าวว่ามาได้แค่นี้อีกงั้นหรือ ?

 

ราวกับสามารถสัมผัสได้ถึงความเบื่อหน่ายมาลอยมาตามสายลมของเยี่ยจง องค์ชายสามก็ได้หัวเราะดังๆคราหนึ่ง จากนั้นภายในดวงตาของเขาก็ได้ทอประกายลึกซึ้งอย่างลึกล้ำขึ้นมา นับตั้งแต่ออกท่องยุทธภพ ไม่เคยมีผู้ใดที่ไม่เห็นแค่หน้าของเขามาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น เยี่ยจงยังมิเห็นแก่หน้าของนางเซียนชิงหญิงโดยทั้งสิ้น สิ่งนี้ได้ทำให้เขาปะทุความโกรธาขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

 

“ ก๊งก๊งก๊ง “

 

ทันใดนั้นองค์ชายสามก็ได้ขยับมือเบาๆ วินาทีนั้น หอกยาวสีเลือดด้ามหนึ่งก็ได้ค่อยๆปรากฏขึ้นบนมือขวาของเขา……..

.

.

.

.

 

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset