เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 196 เวลาที่ใกล้เข้ามา

ตอนที่ 196 เวลาที่ใกล้เข้ามา
วันเวลาได้ไหลเวียนผ่านไป เหล่าคุณชายทั้งหลายต่างก็มาเสาะหาเยี่ยมเยียน หลังจากที่ผ่านการรวบรวมข่าวสารทั้งจริงและเท็จ เยี่ยจงก็ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวของสมรภูมิฮวงกู่ชัดเจนอยู่หลายส่วนแล้ว
สมรภูมิฮวงกู่ถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่ไม่มีผู้คนจะสามารถวิเคราะห์ทรายได้ แต่ว่าก็มีอยู่ข้อหนึ่งที่เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ทางเข้าที่เปิดออกมาของสมรภูมิฮวงกู่นั้น ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นเมืองเก่าแก่โบราณแห่งหนึ่ง ภายในเมืองฮวงกู่นั้นเอง
แต่ถึงแม้ว่าสมรภูมิฮวงกู่นั้นจะอยู่ในดินแดนซีฮวงก็ตาม แต่ว่าดินแดนซีฮวงก็กว้างใหญ่ไร้ที่เปรียบ เมืองฮวงกู่และสามรัฐใหญ่ตั้งอยู่ในเขตนี้ ระยะห่างไม่ไกลมากเพียงแค่หมื่นลี้เท่านั้น
ดังนั้น ในตอนนี้จึงได้มีเหล่ายอดฝีมือจากทั้งสามรัฐใหญ่รวมตัวกันขึ้นมาอย่างขึ้นมา ก็เพื่อที่จะเดินทางไปยังเส้นทางสู่เมืองฮวงกู่นั้นเอง และจากการคาดคำนวณ ในครั้งนี้องค์ฮ่องเต้ต้าโจวก็คงจะต้องอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเพื่อเปิดเส้นทางสายนี้ ถึงได้เกิดงานเลี้ยงต่างๆขึ้นมา
ก็เพราะว่า การเปิดเส้นทางสายนี้จำเป็นที่จะต้องใช้สมบัติมีค่ามากมาย ต่างก็เรียกได้ว่ายากที่จะหาได้พบอย่างถึงที่สุด ต่อให้ในตอนนี้จะมีขุมกำลังแต่ละส่วนภายในเมืองเยียจิงออกหน้ามา แต่ก็เพียงแค่ฝืนใจมอบสิ่งของใดเท่านั้น และสมบัติที่มีค่าเช่นนี้ แน่นอนว่าถ้าสามารถเก็บไว้เล็กน้อยก็ยังถือประหยัดไปอีกส่วนหนึ่ง
นั้นก็เพราะว่าที่สมรภูมิฮวงกู่นั้นมีกฎที่แปลกประหลาดอยู่ ไม่ว่าผู้ใดที่คิดจะเข้าไปด้านใน ต่างก็ต้องถูกจำกัดพลังฝีมือเอาไว้ ดังนั้น แม้จะทราบดีอยู่แล้วว่าสมรภูมิฮวงกู่นั้นมีสมบัติมากมายนับไม่ถ้วน แต่ว่าขุมกำลังต่างๆก็ยังส่งยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของแต่ละขุมกำลังของตนเองเพื่อเข้าสู่สมรภูมิฮวงกู่เพื่อเข้าไปแย่งชิง
และคนจำพวกพระญาติเสื้อแพร คุณชายสี่ทิศ เหล่าผู้ที่มีชื่อเสียงทั้งหลายทั้งหมด มีเพียงแค่สองคนเท่านั้น แต่ว่าคนเหล่านี้ต่างก็ทราบกันดี เมื่อต้องเทียบกับเหล่ายอดฝีมือผู้โด่งดังอย่างเทียนจื่อเจรียวจื่อแล้ว ระยะห่างของพวกเขาก็เรียกได้ว่ามากมายแล้ว แต่ก็มีเพียงเยี่ยจงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เรียกได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจของต้าโจว ดังนั้นในตอนนี้จึงมีผู้คนไม่น้อยที่คอยเลียแข้งขาของเยี่ยจง เมื่อถึงเวลาที่จะเข้าไปสู่สมรภูมิฮวงกู่ ก็ยังจะสามารถร่วมมือกันได้
ในเวลาเดียวกัน ก็ได้มีคนส่งมอบข่าวสารมาให้ ที่ในสมรภูมิฮวงกู่ที่ร้อยปีจะเปิดขึ้นคราหนึ่ง และในทุกครั้งต่างก็ได้ดึงดูดอัจฉริยะเข้ามาจำนวนมาก สามารถกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญของทั้งดินแดนซีฮวงเลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับรัฐต้าโจวหวังเฉาเหล่านี้ หรือต่อให้เป็นเหล่าผู้ที่มาจากนอกเหนือทั้งสามรัฐใหญ่อย่างยอดฝีมือผู้โด่งดังเทียนจื่อเจรียวจื่อ แต่ก็ถือใช่ว่าถ้ามองในด้านนี้จะมีประโยชน์อันใด
หลังจากที่ได้รับข่าวสารเหล่านี้ เยี่ยจงก็ได้คิดเป็นเวลานาน แล้วก็ได้แน่ใจในความหมายของลัทธิแห่งดวงดาว ที่เพียงแค่ให้ตนเองเข้าสู่สมรภูมิฮวงกู่เพียงคนเดียว นั้นก็เพราะตอนนี้ หลังจากที่ได้ผ่านไปเป็นเวลานาน เยี่ยจงก็ได้ตอบรับคำเชื้อเชิญของพระญาติเสื้อแพร เมื่อถึงเวลาก็จะได้เดินทางไปร่วมกัน
เยี่ยจงก็มีความคิดเป็นของตนเอง ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะใช่ว่ามิอาจไม่เชื้อใจได้ แต่ว่าการที่จะต้องการรับทราบว่าสมรภูมิฮวงกู่เป็นอย่างไร คนเหล่านี้นอกเสียจากจะทำให้ตนเอง ได้รับการเอาเปรียบเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงแค่ความร่วมมือในนามเท่านั้น
ช่วงเวลาได้ไหลผ่านไป แล้วก็ได้ผ่านเลยไปราวครึ่งเดือน
ในวันนี้ ที่ยอดเขานอกเมืองเยียจิง ทันใดนั้นก็ได้มีประกายแสงสีทองสาดทอขึ้นมา แสงสีทองนั้นแบ่งเป็นเก้าสายพุ่งขึ้นท้องฟ้า จนค่ายกับขบวนค่ายกลอันแข็งแกร่ง จนทำให้ทั่วทั้งเมืองเยียจิงขาวโพรน
“ ได้เวลาแล้ว “
เยี่ยจงลุกขึ้นออกมาจากที่พัก จ้องเขม็งไปทางด้านของค่ายกลขนาดใหญ่นั้น สีหน้าดูกระจ่างสดใส สมรภูมิฮวงกู่ กล่าวกันว่าเป็นสถานที่แห่งเทพมาร โลหิตเต็มพื้นดิน แต่ว่าในเมื่อมีโอกาสที่สามารถใคร่คว้าได้แล้ว หากว่าตนเองเกิดอยู่ที่ดินแดนซีฮวงนี้ แน่นอนว่าย่อมมิอาจที่จะพลาดโอกาสเช่นนี้ไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นเส้นทางวิชายุทธ์ที่เยี่ยจงเลือกเดินมานั้น ยังจำเป็นต้องการการฝึกฝนอยู่อีกไม่น้อย อีกทั้งยังต้องมีสมบัติที่มีค่ามากมาย ที่ภายนอกดินแดนไม่อาจที่จะหาพบ สิ่งเหล่านี้ก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เยี่ยจงเลือกที่จะเข้าสู่สมรภูมิฮวงกู่
“ ไม่ทราบว่าการเข้าสู่สมรภูมิฮวงกู่ในครั้งนี้ จะสามารถทำให้ข้าทะลวงเข้าสู่ขั้นก่อเกิดระดับที่เก้า ขอบเขตร่างไม่สูญสลายได้หรือไม่กัน ? “ เยี่ยจงครุ่นคิด สีหน้าปรากฎความนึกคิดขึ้นมา
เส้นทางยุทธ์เมื่อชาติก่อนของเขานับได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม แต่ว่าความสามารถทางร่างกายกลับยังมีข้อจำกัดอยู่ การกลับชาติมาเกิดใหม่ในครั้งนี้ เป็นการเลือกเดินในเส้นทางใหม่ที่แตกต่างจากเมื่อชาติที่แล้ว แน่นอนย่อมมิอาจที่จะผิดพลาดได้อีกแล้ว
“ พี่เยี่ยจง ข้าพระญาติเสื้อแพรขอเรียนเชิญ “
ในขณะที่มีคนมาเคาะประตูบ้าน พร้อมกับเอ่ยปากขึ้นมาคารวะ
“ ทราบแล้ว “ เยี่ยจงพยักหน้าตอบคำ เขาก็ได้ค่อยๆเดินออกจากประตู หลังจากนั้น ก็ค่อยส่งเสียงตอบ “ ช่วยข้าส่งข่าวคราวกลับไปยังลัทธิแห่งดวงดาวด้วย การไปยังสมรภูมิฮวงกู่ของข้าในครั้งนี้ อาจจะใช้เวลานานนับปี หรืออย่างน้อยก็ครึ่งปีกว่าจะกลับมาได้ เพื่อให้เยี่ยถงฝึกฝนอย่างไม่มีอันใดรบกวน ก็ขอให้อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องสมรภูมิฮวงกู่ออกไป “
“ รับทราบ “
สิ้นเสียง ก็ได้มีศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวสาขานอกเดินออกมายกมือคารวะส่ง ตอบรับเสียงเบา เกี่ยวกับศิษย์พี่เยี่ยจงผู้นี้ พวกเขาถือได้ว่าให้ความเคารพเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้หลายวันมานี้ที่เยี่ยจงมาอยู่ก็เพียงเพราะว่ามาทำภารกิจที่เมืองเยียจิงแห่งนี้ แต่ก็ได้ทำให้พวกเขาเข้าใจในความสามารถที่ไม่ธรรมดาของศิษย์พี่ผู้นี้ อีกทั้งยังรับทราบได้ถึงการมีอยู่อย่างน่าหวาดกลัวที่มากมายนี้
เยี่ยจงพยักหน้าไปมา แต่ก็มิได้กล่าวอันใดมากมาย เพียงแต่เดือนออกไปอีกทางด้านหนึ่ง ที่ด้านนอกประตูได้จอดไว้ด้วยรถม้าคันหนึ่ง
“ พี่เยี่ย การไปสมรภูมิฮวงกู่ในครั้งนี้ เกรงว่าคงต้องรบกวนท่านดูแลหน่อยแล้ว “ ท่ามกลางภายในรถม้าสีเงินในตอนนี้มีอยู่สี่คน ชายสองหญิงสอง เมื่อพบเห็นเยี่ยจงขึ้นรถ พวกเขาต่างก็ลุกขึ้นยืนในเวลาเดียวกัน แล้วยกมือคารวะ
เยี่ยจงกวาดตามองเข้าไป สีหน้าได้ทอแววประหลาดใจอยู่หลายส่วน ชายทั้งสองคนนี้ที่แท้ก็คือพระญาติเสื้อแพรและคุณชายสี่ทิศนั้นเอง หลังจากที่พวกเข้าได้แวะเวียนมาหาถึงบ้านอยู่หลายครั้ง เยี่ยจงก็ได้รับทราบข้อมูลอยู่บ้าง นามของพระญาติเสื้อแพรนั้นเรียกว่าลั่วเฉิง และคุณชายสี่ทิศนั้นมีนามว่ากงซุนจวิน ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนก็เคยมีข้อบาดหมางกัน อีกทั้งยังถูกเยี่ยจงตบตีจนหน้าบวมเป่ง เพียงแต่ว่าหลังจากที่ได้ผ่านเรื่องที่งานพิธี พวกเขาก็ยอมรับเยี่ยจงได้อย่างหมดใจ ต่อไปก็มิกล้าที่จะมีปัญหาแม้แต่น้อยนิด หลายวันมานี้ทั้งสองคนก็ได้มาเยี่ยมเยียนเยี่ยจงอยู่บ้าง เยี่ยจงจึงได้ฝืนใจตอบรับร่วมมือกับพวกเขา
นอกเสียจากทั้งสองคนนี้แล้ว ทางด้านอีกสาวน้อยอีกสองคนเยี่ยจงก็เรียกได้ว่ามีความรู้จักเอาไว้หลายส่วนแล้ว หนึ่งในนั้นเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเหร่ยเหร่ยทิงเหอ อีกทางด้านหนึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นผู้ที่มีลมปราณฟ้าภายในร่างแต่กำเนิดองค์หญิงหกนั้นเอง
เกี่ยวกับคุณหนูใหญ่เหร่ย เยี่ยจงก็ได้แต่พยักหน้าเบาๆหลายครา และจากนั้นก็ได้เข้าไปนั่งที่ทางด้านข้างขององค์หญิงหก กล่าวเสียงแผ่วเบา “ องค์หญิงหก เมื่อถึงเวลาพวกเราต้องหาสถานที่ไร้ผู้คนนัดพบกัน เพื่อที่จะรับทราบความลับของกันและกันแล้วนะ “
เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ ภายในดวงตาของเยี่ยจงก็ได้ก่อเกิดเพลิงไฟลุกโหม มิใช่เพราะว่าเขาชมชอบองค์หญิงหก แต่ว่าพลังปราณฟ้าแต่กำเนิดในร่าง ทำให้เขาเกิดความสนใจเป็นอย่างยิ่ง หากว่าสามารถทำความเข้าใจแล้วละก็ คงจะมีส่วนช่วยในการฝึกฝนอยู่ไม่น้อย
องค์หญิงหกถูกสายตาของเยี่ยจงกลืนเข้าไปจนใบหน้าร้อนผ่าวแดงขึ้นมา กล่าวคำพูดใดไม่ออกเกือบครึ่งวัน
เมื่อเหร่ยทิงเหอได้ยินก็ร้องเชอะออกมา หลังจากนั้นนางก็ได้ดึงองค์หญิงไปทางด้านหลังของนาง จากนั้นก็กล่าวตอบ “ เยี่ยจง เจ้าอย่าได้ตัดสินใจแทนองค์หญิงหกไป องค์ฮ่องเต้ทราบว่าเจ้ามีความสนใจต่อพลังปราณฟ้า ดังนั้นจึงได้ลงมือผนึกพลังปราณฟ้าภายในร่างขององค์หญิงหกด้วยตนเอง หากว่าเจ้ายังคิดที่จะลวงความลับขององค์หญิงหก นอกเสียจากจะยินยอมเป็นราชบุตรเขยแห่งรัฐต้าโจว ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ คงไม่มีทางที่จะเป็นไปได้แล้ว
หลังจากที่เงียบงัน องค์หญิงหกก็ยิ่งหน้าแดงกว่าเดิม แต่ว่าหลังจากที่ได้ครุ่นคิดแล้ว นางก็ยังคงยื่นมือออกไปปัดผมเพ่าเพื่อเปิดแก้มของนาง เพื่อให้เยี่ยจงคอยจ้องมอง
ภายใต้เนื้อผ้าที่คลุมไว้อยู่ที่เป็นขนแพะปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกาย ในตอนนี้ก็ได้ทอแสงสีทองออกมาอ่อนๆเป็นเส้นๆ บนเส้นขนสีทองได้ปรากฏอักขระโบราณเอาไว้ จนทำให้เยี่ยจงที่มองเข้าไปเกิดอาการปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาหลายส่วน
“ น่าเสียดาย “
เยี่ยจงถอนลมหายใจ หากว่าสามารถที่จะล่วงรู้ความลับของพลังปราณฟ้า เส้นทางสายยุทธ์ของตนเองคงจะต้องก้าวไกลมากยิ่งขึ้นแล้ว น่าเสียดายที่องค์ฮ่องเต้เป็นผู้ที่มองการณ์ไกล ถึงแม้ว่าจะให้องค์หญิงหกอยู่ข้างกายตนเองก็จริง แต่ว่าก็เป็นเหมือนกับการป้องกันตนเอง สิ่งเหล่านี้ทำให้เยี่ยจงต้องรู้สึกคันที่ฟันอยู่หลายส่วน
“ คุณชายเยี่ย หากว่าไม่มีความเห็นเป็นอื่นแล้วละก็ พวกเขาก็ไปกันเถอะ ถึงแม้ว่าการเดินทางในครั้งนี้จะไม่มากนัก แต่ก็ยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งวัน มีผู้คนอยู่หลายคนต่างก็อยู่ตามทางแล้ว พวกเขาถือได้ว่าช้ากว่าผู้อื่นแล้ว “ พระญาติเสื้อแพรเมื่อพบว่าเยี่ยจงเบื่อหน่าย ต่อมาก็ได้เอ่ยขึ้นมา
“ เอาละ ออกเดินทางเถอะ “
เยี่ยจงเบื่อหน่ายเต็มสิบส่วน ก่อนหน้านี้ที่พิธีงานถวายพระพร เขาก็ได้ผิดพลาดจากสมบัติเซียนถึงสองชิ้น และในตอนนี้ยังมิอาจที่จะล่วงรู้ได้ถึงความลับของพลังปราณฟ้าอีกด้วย จึงทำให้ผู้คนรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุด
หลังจากที่ทั้งคณะได้เดินทางโดยรถม้าเช่นนี้แล้ว ไม่นานนัก ก็ได้ไปจนถึงส่วนนอกของเมืองเยียจิงบนเขาขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง
เส้นทางบนสันเขาในตอนนี้ได้มีแสงสว่างทอออกมา อีกทั้งยังมีทหารมากมายนับไม่ถ้วนคอยคุ้มครองอยู่บริเวณทางเข้าออก หลังจากที่พระญาติเสื้อแพรได้แสดงป้ายประจำตัวออกมาแล้ว ทั้งคณะจึงค่อยได้ไม่ถูกรั้งเอาไว้บริเวณสันเขา ไม่นานนักก็ได้เดินทางผ่านเส้นทางสายนี้ไป
บริเวณที่เป็นจุดศูนย์กลาง ก็ได้มีแสงสว่างสีทองเก้าสายพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับสามารถตัดผ่าอากาศได้ นี้เป็นเหมือนที่เทพเซียนสร้างขึ้นก็มิปาน อีกทั้งยังต้องสูญเสียความสามารถเท่าไหร่จึงจะสามารถสร้างค่ายกลขนาดใหญ่เช่นนี้ออกมาได้ เพื่อที่จะนำพาผู้คนผ่านเส้นทางสายนี้ไปอีกที่ได้ในทันที ในสถานที่เรียกว่าสมรภูมิฮวงกู่
ในตอนนี้ ทางด้านหน้าค่ายกลขนาดใหญ่สีทองคำนี้ ก็ได้มีชายชราสวมชุดฝึกยุทธ์อยู่ผู้หนึ่งยืนกอดอกอยู่ ราวกับสัมผัสบางสิ่งบางอย่างได้ เขาก็ได้ค่อยๆหันศีรษะกลับมา มองไปทางด้านเยี่ยจงคราหนึ่ง
“ มาแล้วสินะ “ ชายชรากวาดตามองสำรวจผู้ที่มา หลังจากที่ได้มองเยี่ยจงแล้ว ก็ได้พยักหน้าอยู่หลายครั้ง
“ ท่านผู้นี้คงจะเป็นยอดฝีมือจากทางราชวังแล้ว อีกทั้งยังมาเพื่อคอยคุ้มครององค์หญิงหกอีกด้วย ในครั้งนี้ที่จะร่วมทางไปกับพวกเรา แน่นอนว่า เขาคงมิอาจที่จะเข้าไปยังสมรภูมิฮวงกู่ได้ เพียงแต่ว่าก็ได้ให้เขาคอยคุ้มครองอยู่ภายในเมืองฮวงกู่ พวกเราก็ถือได้ว่าสะดวกขึ้นมากแล้ว “ ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงกล่าวอธิบายออกมา
เยี่ยจงเงียบงันแล้วก็พยักหน้าไปมา หลังจากที่ได้มองไปที่ชายชราแล้วแต่ก็มิได้กล่าวอันใดออกมา ถึงแม้ว่าจะเป็นการดำเนินการจากองค์ฮ่องเต้ แต่ขอเพียงแค่ไม่ใช่เรื่องที่ขัดขวางตนเอง ตนเองก็ไม่สามารถกล่าวอันใดมากมายออกมาได้
“ พวกเจ้าเรียกขานข้าว่าฟู่ซูเหล่าก็พอแล้ว(ชายชราแซ่ซู) การเปิดประตูสู่สมรภูมิฮวงกู่ในครั้งนี้ นอกเสียจากจะดึงดูดผู้คนหลั่งไหลเข้ามา ราชทายาทก็ยังมาอีก ดังนั้น ท่ามกลางเมืองฮวงกู่นี้ จะกระทำเรื่องราวใดก็สมควรระวังไว้ซักหลายส่วน แน่นอนว่า เมื่อเข้าไปยังสมรภูมิฮวงกู่แล้ว ยังต้องมีความกล้าหาญส่วนหนึ่งจึงจะสามารถที่จะได้รับของตอบแทนได้ พวกเจ้าที่เป็นผู้มีพรสวรรค์ของเมืองเยียจิง จะต้องมีชีวิตกลับมาให้ได้ละ “ ซูเหล่าเอ่ยปากกล่าวออกมาอย่างดุดัน หลังจากนั้นก็ได้พลิกมือคราหนึ่ง ก็ได้เตรียมเดินนำส่งเข้าสู่ขบวนสีทองที่มีอยู่ทางด้านหน้า
เมื่อพบเห็นความเคลื่อนไหวเช่นนี้ เยี่ยจงและพวกแต่ละคนก็ได้แบ่งกันเข้าไปร่วมขบวน แล้วก็ได้พบเห็นขบวนนำส่งสีทองขยับไปมา มีเงาร่างอยู่หลายสายที่ได้หายไปท่ามกลางอากาศภายใน
“ ซวบ “
หลังจากที่เงาร่างของพวกเขาได้หายสาบสูญไปแล้ว ก็ได้ปรากฏเงาร่างสายหนึ่งขึ้นมา บนร่างของนางได้ทอประกายสายตาออกมา ดวงตาที่ราวกับเป็นเหมือนห้วงทมิฬก็มิปาน ราวกับว่าการที่ถูกนางจ้องมองจะสามารถถูกดึงดูดเข้าไปได้ก็มิปาน
“ ท่านเยี่ยจงที่มากไปด้วยความสามารถแต่เยาว์วัน จะเข้าไปยังเมืองฮวงกู่เช่นนี้งั้นหรือ ? การเปิดประตูสู่สมรภูมิฮวงกู่ในครั้งนี้ กล่าวได้ว่าได้ดึงดูดผู้คนชั้นแนวหน้าอยู่ไม่น้อย ผู้คนทั้งหมดต่างก็คิดที่จะแย่งชิงโอกาสสายนี้ ……. น่าสนใจยิ่งนัก “ เสียงลอดออกมาจากทางด้านหญิงสาว หลังจากนั้นนางก็ได้เผยใบหน้าปรากฏออกมา ที่แท้ก็คือองค์หญิงสี่ผู้ลี้ลับนี้เอง นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก็ได้ขยับกายคราหนึ่ง แล้วก็ได้กลับไปยังขบวนนำส่งอย่างรวดเร็ว
.
.
.
.

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset