เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 198 คลื่นลมภายในเมือง

ตอนที่ 198 คลื่นลมภายในเมือง
ผู้คนมากมายที่มองจากรอบบริเวณกลับมิได้สังเกตุเห็นสีกน้าอันแปลกประหลาดของเยี่ยจงในตอนนี้ แต่ทว่าซูเหล่ากลับตรวจสอบพบ หลังจากนั้นเขาก็ได้จ้องมองไปทางด้านของเยี่ยจงอย่างลึกล้ำคราหนึ่ง แล้วก็ได้กรอกดวงตาไปมา นั้นก็เพราะว่าความรู้สึกที่เยี่ยจงแสดงออกมานั้น เขาก็พอที่จะคาดได้ว่าเยี่ยจงกำลังคิดที่จะกระทำอันใดได้อยู่หลายส่วน
“ อย่าได้คิดวุ่นวายไป ความคิดเหล่านั้นหากว่าถูกเปิดเผยออกไปแล้ว คงจะนำพาความวุ่นวายมาให้แก่พวกเรามากมายไม่น้อย “ ซูเหล่ากล่าวเตือนออกมาด้วยเสียงทุ่มต่ำ
เยี่ยจงเลียริมฝีปากไปมา แล้วก็มิได้กล่าวอันใดออกมาอีก เพียงแต่ว่าหันศีรษะกลุบไปมองทางด้านที่นกแก้วฮวางเชวินจากไปคราหนึ่ง รายกับว่าเส้นทางเทพเซียนนั้นมีความน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด หากว่ามีโอกาสแล้วละก็ เยี่ยจงคงจะต้องทำการทดสอบพลังเซียนที่ว่านั้นสักรอบหนึ่ง เพื่อทีตนเองจะได้ทำการเตรียมตัวในตอนที่ได้เข้าสู่ขอบเขตเซียน แต่ทว่าเยี่ยจงก็มิได้มีความคิดที่จะเปิดเผยความในใจนี้ออกมาแต่อย่างไร
หลังจากที่ได้เห็นฉากเบื้องหน้าที่เป็นเช่นนี้แล้ว สีหน้าของคนทั้งคณะต่างก็เปลี่ยนเป็นดูยากขึ้นมา โดยเฉพาะองค์หญิงหกและเหร่ยทิงเหอทั้งสองคนที่ตกอยู่ในความลุ่มหลง เมื่อครู่หากมิใช่เป็นเพราะซูเหล่าออกหน้าขอร้องแล้วละก็ สถานการณ์ต่อจากนี้ของพวกนางก็คงจะเป็นไม่แตกต่างดั่งเช่นหญิงสาวเกือบร้อยนางนั้น
และในขณะนั้นเอง ก็ได้มีเสียงกรี๊ดร้องดังออกมาจากภายในเมืองฮวงกู่ ราวกับเกิดการฆ่าฟันนับพัน สิ่งนี้ทำให้ผู้คนมากมายที่มองดูอยู่ปรากฏอย่างชัดเจนอยู่เบื้องหน้าสายตา ในตอนนี้ถึงแม้จะไม่เห็นถึงเปิดของทางเข้าสู่สมรภูมิฮวงกู่ แต่ว่าในความเป็นจริงนั้น นับตั้งแต่ได้เข้ามายังเมืองฮวงกู่ก็ได้เริ่มต้นขึ้น เกรงว่าในเวลานี้ ก็ได้มียอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ไม่น้อยหรือว่าเผ่าพันธุ์อื่นที่มีปราณกำเนิด ต่างก็คิดที่จะตั้งตนเป็นเหมือนดั่งผู้นำที่แข็งแกร่ง จากนั้นก็จะได้เข้าไปสู่สมรภูมิฮวงกู่เพื่อกอบโกยผลประโยชน์
หลังจากที่ผู้คนทั้งคณะจากรัฐต้าโจวหวังเฉาได้มาถึงกลางเมืองฮวงกู่ก็ได้เข้าไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งแล้ว จึงถือได้ว่าได้พักผ่อนก็ว่าได้ ภายในโรงเตี๊ยมได้มียอดฝีมือเผ่าพันธุ์นั่งไว้กลุ่ม คิดว่าคงจะไม่มีปัญหาอันใดแน่นอน
“ ทุกท่าน เมื่อครู่นี้ที่ได้พบเจอกับความน่าหวาดกลัวของนกยวนยางสีเหลือง เพียงเพราะว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเขานั้นมิได้ให้ความสนใจต่อสมรภูมิฮวงกู่เทียบเท่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเรา ดังนั้น เมื่อถึงเวลาก็ขอให้ระมัดระวังต่อเผ่าพันธุ์แห่งดินแดนรกร้างอื่นๆเอาไว้ ภายใต้สมรภูมิฮวงกู่นี้ สมควรที่จะไม่มีอันตรายมากมายนัก “ หลังจากที่มีการปลอบโยนคณะ ซูเหล่าก็ได้ปลุกปลอบผู้คนทั้งห้า แล้วก็กล่าวออกมาอยู่หลายคำ
“ ซูเหล่า “ ในตอนนี้เมื่อเยี่ยจงไม่พบเห็นบุคคลภายนอก ต่อมาก็ได้เดินเข้ามาหาอย่างมีลับลมคมใน ใช้ความกล้าพูดออกมา “ ในเมื่อนกแก้วฮวางเหยียนมีความวุ่นวายถึงเพียงนี้ อย่างน้อยก็ต้องกลายเป็นผู้ช่วยเหลือแก่พวกเราในตอนนี้ อีกทั้งมันเองเมื่อครู่ก็ยังหาญกล้าที่จะทำบางอย่างต่อองค์หญิงหก ช่างหาที่ตายเสียจริง ซูเหล่าท่านเป็นถึงองค์รักษ์ของราชวงศ์ จะอย่างไรก็คงมิอาจที่จะเห็นชีวิตขององค์หญิงหกมีภัยแต่ไม่ช่วยเหลือได้ ? ถ้าหากว่าซูเหล่าไม่ลงมือด้วยตัวเอง จัดการไปซะ อย่าได้ให้ก่อเรื่องผีสางอีก ถือซะว่าเป็นการสั่งสอนแก่เผ่าพันธุ์ หากว่าข้าคาดเดาไม่ผิดแล้วละก็ ซูเหล่าท่านในตอนนี้สมควรที่จะมีพลังฝีมืออยู่ในระดับขั้นก่อฟ้าขอบเขตปราณหมุนรอบแล้ว หากว่าสามารถได้รับพลังเซินทงของเผ่าพันธุ์นี้แล้ว เทียบกับวันหน้าของท่านที่จะบรรลุเข้าสู่พลังยุทธ์ขั้นก่อฟ้าขอบเขตเซินทงก็นับเป็นความก้าวหน้าที่ใหญ่หลวงแล้ว “
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของเยี่ยจงก็ได้ทอประกายสว่างขึ้น นกแก้วฮวางเชวียนนั้นเป็นเผ่าพันธุ์ระดับเซินทงที่ในเวลานี้แม้แต่เขาก็มิอาจที่จะทำอะไรได้ หากว่าสามารถทำได้ ก็ต่อให้ในตอนนี้ยังไร้วิธีที่จะฝึกฝน เพียงแค่วิชาดวงตามายา ไม่แน่ว่าก็สามารถได้รับประโยชน์มากมายกายกองแล้ว
ซูเหล่าเมื่อได้ยินก็ต้องกรอกตาไปมาวุ่นวาย ท้ายที่สุดก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความตกใจ แล้วก็ได้พกพาอารมณ์ที่เจ็บปวดตอบกลับไป “ เยี่ยจง เจ้าอย่าได้ไร้เดียงสาจนคิดว่า กับพลังฝีมือของเผ่าพันธุ์หนึ่ง กับเบื้องหลังของพวกมันจึงได้หาญกล้าที่จะให้พวกมันมายังสมรภูมินี้ จะไม่มีการเตรียมการอย่างงั้นหรือ ? หากว่าข้าคาดเดาไม่ผิดแล้วละก็ หากว่ามีผู้ใดที่หาญกล้าที่จะลงมือต่อมันภายในเมืองฮวงกู่แห่งนี้ พรุ่งนี้เผ่าพันธุ์นั้นก็จะต้องมอดไหม้ไปทั้งเก้าชั่วโครต “
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ หลังจากนั้นซูเหล่าก็ได้รีบตัดรอนการตัดสินใจของเยี่ยจง จากนั้นก็ได้แสดงความเห็นแล้วกล่าว “ แต่ว่า ถ้าเป็นภายในดินแดนขนาดเล็กของสมรภูมิฮวงกู่ ก็จะไม่มีผู้ใดทราบได้ ที่ด้านในไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น พวกเขาที่อยู่ทางด้านนอกก็นี้ต่างก็ไม่สามารถสัมผัสรับรู้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ที่ด้านในยังมีกฎเกณฑ์ประหลาดอยู่ นั้นก็คือการจำกัดพลังฝีมือของผู้ที่เข้าไปอยู่ภายในขั้นก่อเกิดทั้งเก้าขั้น สหายน้อยเยี่ยจงเจ้าในตอนนี้มีพลังฝีมืออยู่ในขั้นก่อเกิดระดับที่แปดซานกวานเทียนทงขอบเขตปฐพีแล้ว ทั่วทั้งดินแดนซีฮวงของแต่ละเผ่าพันธุ์การจะเสาะหาผู้คนที่เป็นแบบเจ้าได้นั้นเรียกได้ว่ายากเสียยิ่งกว่ายาก ต่อให้เป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่รกร้าง คาดว่าก็คงจะมิอาจที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้ หากว่าเจ้ามีความเสนาะสนใจแล้วละก็ เมื่อถึงเวลาที่ได้เข้าไปยังสมรภูมิฮวงกู่แล้วลงมือต่อมัน อย่างน้อยก็จะได้รับพลังเซินทงประเภทต่างๆได้ พวกเราตระกูลราชวงศ์ต่างก็มีขอบเขตที่จำกัด ขอเพียงแค่เจ้าสามารถที่จะนำเอาพลังเซินทงออกมาได้ ข้ายังสามารถนำไปบอกต่อฝ่าบาตร เพื่อที่จะเสนอรางวัลที่เจ้านำทักษะยุทธ์ระดับเซียนมาได้ เอาเป็นสมบัติระดับเซียนเป็นอย่างไร ? “
หลังจากที่เงียบงัน เยี่ยจงก็ได้พลิกดวงตาทั้งคู่คราหนึ่ง ความจริงแล้วเขาคิดที่จะยุยงให้ชายชราซูเหล่าผู้นี้ลงมือ แต่ว่าในตอนนี้ กลับกลายเป็นว่าชายชราผู้นี้กลับคิดที่จะเอาเปรียบเขาซะเองงั้นหรือ ?
“ ถ้าอย่างนั้น พวกเราทั้งหลายก็ขอลองออกไปเดินดูรอบๆเป็นอย่างไร ? อีกทั้งยังสามารถสอดส่องคู่กรณีว่าเป็นเช่นไรด้วย ? “ เยี่ยจงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา มองไปทางด้านลั่วเฉิงและพวกแล้วกล่าว
ลั่วเฉิงและพวกเมื่อเห็นว่าเยี่ยจงเป็นเช่นนี้ก็ไม่รู้จะกล่าวเช่นไร คงจะมีแต่เพียงเด็กน้อยที่มากความสามารถเช่นนี้จึงมีความหาญกล้าที่จะกล่าววาจาเช่นนี้ต่อหน้าซูเหล่าผู้นี้ พวกเขาเหล่านี้ต่างก็มิกล้าที่กล่าวอันใดเช่นนี้ต่อซูเหล่าแม้ซักคน
ซูเหล่าก็มิได้ต้องการที่จะให้เยี่ยจงไปช่วงชิงวิชาเซียนจากนกแก้วฮวางเชวินจริง ต่อมาก็ได้หัวเราะแล้วตอบ “ พวกเจ้าจะออกไปข้างนอกก็ดีเหมือนกัน เพียงแต่ว่าภายในเมืองฮวงกู่นี้อันตราย พวกเจ้าสมควรที่จะมีการเตรียมความพร้อมไว้ก่อน ยังไงเสียก็ระวังเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน “
จนกระทั่ง หลังจากที่ทั้งห้าคนได้จากซูเหล่าไปแล้ว ก็ได้กลับมายังถนนหนทางที่คุ้นเคยเมื่อครู่นี้อีกครั้ง กวาดสายตาจ้องมองไปทางด้านถนนหนทางอย่างช้าๆ
“ ใช่แล้ว แล้วคนอื่นของต้าโจวละ ? ยังมิได้เห็นเลย ? “ เยี่ยจงจู่ๆก็ราวกับนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นได้กะทันหัน ยังมีผู้คนที่มาจากต้าโจวอยู่กลุ่มหนึ่ง แล้วก็ยังมีเหล่าเทียนจื่อเจวียวจื่อ เพราะเหตุใดถึงยังไม่พบเห็นนับตั้งแต่ได้เข้ามายังเมืองฮวงกู่แห่งนี้
“ พวกเขาสมควรที่จะมาถึงก่อนพวกเราสิ แต่ว่าคนเหล่านี้ต่างก็มิใช่คนของทางราชวัง ต่างก็เป็นการเดินทางมาด้วยตนเอง ยกตัวอย่างเช่นเหล่าเทียนจื่อเจวียวจื่อ หากว่าพบเห็นยังคงต้องระวังไว้หน่อยเป็นดี ถึงแม้ว่าในตอนนี้อยู่นอกดินแดนพวกเขาจะมิกล้าที่จะทำอะไร แต่ว่าหลังจากที่ได้เข้าไปยังสมรภูมิฮวงกู่แล้ว ทุกผู้คนต่างก็ต้องถูกจำกัดขอบเขตเอาไว้ พี่เยี่ยท่านก็คงมีความเป็นไปได้จะต้องถูกจำกัดขอบเขตของพลัง ไร้หนทางที่จะใช้ออกด้วยไพ่ตาย ยังไงเสียก็ระวังเอาไว้เป็นดี “ กงซุนจวินกล่าวออกมาด้วยคำพูดเตือนสติ
“ ขอบคุณมาก “ เยี่ยจงพยักหน้า เกี่ยวกับเหล่าจื่อเจวียวจื่อ ยังไงเสียเขาก็ยังต้องเตรียมความพร้อมเอาไว้หลายส่วนอยู่ดี เขาไม่เชื่อว่า เรื่องที่เกิดขึ้นที่ตึกจักรพรรดิทองคำจะสิ้นสุดลงอย่างง่ายดายเช่นนั้นได้ อย่างน้อย ก็คงต้องได้พบเจอกับเหล่าคนของสำนักเสวียนหวินอย่างแน่นอน ยังไงก็คงต้องเตรียมลงมือจัดการ
ตลอดเส้นทางบนท้องถนน ก็ได้มีกลุ่มคนลี้ลับมากมาย แต่ว่าทันใดนั้นเอง ก็ได้พบเห็นภายในกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ได้ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ ผู้คนที่หลั่งไหลก็ได้แบ่งแยกออกไปตามสองข้างทางในทันที ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างก็ยืนอยู่แทบจะติดกับขอบกำแพง
เยี่ยจงและพวกที่มิได้มีการเตรียมรับมือ ก็ได้ถูกผู้คนที่หลั่งไหลพลักดันไปตามทางบริเวณทั้งสองข้าง
“ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน ? “ เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา จ้องเขม็งไปทางด้านบริเวณทางด้านหน้า
ไม่นานนัก ก็ได้พบเห็นคนแปดคนที่กำลังนั่งอยู่ในรถม้าขนาดใหญ่ค่อยๆออกมาทางด้านหน้า บริเวณทางด้านหน้าของรถม้า ก็ได้มีหญิงสาวสวมชุดผ้าไหมสีขาวสิบหกคน คอยเปิดทางเดินตลอดมา ในทุกๆก้าว พวกนางก็จะหยิบดอกไม้ที่อยู่ภายในตระกร้าโปรยลงไปบนพื้น จนเปลี่ยนถนนหนทางจนกลายเป็นส่งกลิ่นหอมชนิดหนึ่งออกมา
และที่บนรถม้านั้น ก็ได้มีทหารสวมชุดเกราะศึกเกือบร้อยนายเป็นอย่างน้อยก้าวเดินออกมาอย่างช้าๆ อีกทั้งยังทำเหมือนมองไม่เห็นกลุ่มผู้คนที่อยู่ทั่วทั้งสี่ทิศ ราวกับว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาก็มิปาน
“ นี้เป็นคนอะไรกัน ? “ เยี่ยจงจ้องมองออกไปคราหนึ่ง ภายในดวงตาในตอนนี้ได้ทอประกายความตื่นตกใจขึ้นมาเล็กน้อย การที่จะสามารถกระทำเรื่องที่สูงส่งเช่นนี้ภายในเมืองฮวงกู่ที่ลี้ลับเช่นนี้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ย่อมต้องเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ต่อมา ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายก็ได้ทอดมองไปทางด้านบนรถม้าอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ว่าบนรถม้านั้นกล้าส่งพลังกดดันออกมาครอบคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศ ทำให้ผู้คนมองเห็นไม่ชัดว่าที่แท้มีอันใดอยู่
เพียงแต่ว่า บุคคลที่อยู่บนรถม้าเบื้องหน้านี้ ในตอนนี้กลับไม่มีผู้ใดที่กล้าขยับเคลื่อนไหว
หลังจากที่ได้คนและม้าเหล่านี้ได้หายสาบสูญไปแล้ว บรรยากาศของทั่วทั้งสี่ทิศก็ได้ผ่อนคลายลงมาหลายส่วน
“ สถานการณ์เช่นนี้ อย่างน้อยก็สมควรที่จะเป็นดั่งเช่นองค์ชายองค์หญิงของกลุ่มเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณ ไม่เช่นนั้นคงมิอาจที่จะแสดงปราณโบราณขุนเขาต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ได้ ไม่เช่นนั้นก็คงต้องเป็นบุคคลสูงศักดิ์มาเยือนแน่นอน ? “
ท่ามกลางกลุ่มผู้คนก็ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมาไม่น้อย ต่อมาก็ได้กลายเป็นเสียงดังออกมาเป็นสายไม่หยุด
เผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณ ถือได้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีพลังไม่เหมือนกับขุมกำลังรัฐหวังเฉา เผ่าพันธุ์มนุษย์ของรัฐหวังเฉา โดยส่วนมากแล้วจะมีการผลัดเปลี่ยนตามยุคสมัย มีทั้งร้อยปีไปจนถึงพันปี หรือก็คืออำนาจของราชวงศ์จะมีการผลัดเปลี่ยนไปตามตระกูลแต่ละตระกูล แต่ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณนั้นไม่เหมือนกัน การที่ถูกเรียกขานว่ารัฐโบราณเหล่านี้ ย่อมต้องมีกลิ่นอายโบราณจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งรัฐนี้ยังกล่าวได้ว่ายังไม่เคยถูกขาดรอน เป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งรัฐหนึ่งที่ถือได้ว่ามีสมบัติที่มากมายมหาศาล อีกทั้งรัฐโบราณนี้ ยังมีความลี้ลับที่ยากจะคาดเดาเอาไว้ได้
และพลังปราณขุนเขาโบราณเหล่านี้ เล่าขานกันว่าเป็นพลังปราณโบราณที่มีมาแต่เก่าก่อน ความแข็งแกร่งของพลังปราณโบราณนั้นถือได้ว่ามีมาแต่กำเนิด อีกทั้งยังสามารถฝึกฝนวิชาเซินทง หากว่าเติบใหญ่จนเป็นผู้ใหญ่ อย่างน้อยๆก็สามารถที่จะจัดอยู่ในพลังยุทธ์ขั้นก่อฟ้าขอบเขตเซินทงได้ เพียงแค่มองในข้อนี้ ก็ทราบได้แล้วว่าพลังปราณขุนเขาโบราณนั้นมีความน่ากลัวเพียงใด
หลังจากที่เงียบงัน ดวงตาของเยี่ยจงก็ได้ค่อยๆทอเป็นประกาย ไม่ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณจะมีพลังปราณโบราณดั่งขุนเขา อีกทั้งยังมีอยู่ภายในดินแดนแห่งนี้ ต่างก็นับได้ว่าเป็นสิ่งที่หามีค่ายิ่ง เผ่าพันธุ์มนุษย์โบราณนับได้ว่าเป็นสิ่งที่หลงเหลือจากโบราณกาลจวบจนปัจจุบัน ความแข็งแกร่งมิใช่สิ่งที่รัฐต่างๆจะสามารถเทียบเคียงได้ อีกทั้งยังสามารถที่มีชีวิตรอดจากยุคโบราณกาลจวบจนถึงตอนนี้ได้ จึงได้หลงเหลือพลังปราณขุนเขาโบราณจวบจนถึงตอนนี้ อีกทั้งพลังและความน่ากลัวยังยากที่จะคาดเดาเอาไว้ได้
“ ตูม “
ท่ามกลางอากาศ ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงดังขึ้นออกมาสายหนึ่ง ผู้คนภายในเมืองฮวงกู่แต่ละคนต่างก็หันกายกลับไปมองดู ยังบริเวณท่ามกลางอากาศที่เกิดเสียงดังขึ้นนั้น
หลังจากนั้นก็พบเห็นว่า แล้วก็ได้พบเห็นกรงเล็บอันเก่าแก่ขนาดใหญ่เกือบเท่าเมืองฮวงกู่นี้กรีดลงบนอากาศคราหนึ่ง ปรากฏอยู่ท่ามกลางภายในเมืองฮวงกู่
พลังความน่าหวาดกลัวที่ยากจะคาดคิดได้ถาโถมเข้ามา ครอบคลุมไปทั่วทั้งเมืองในตอนนี้
“ ซวบซวบซวบ “
เงาร่างที่คล้ายกับแมลงก็มิปานได้ลอยอยู่เหนือบริเวณเมืองฮวงกู่ คนเหล่านี้ของแต่ละฝ่ายต่างก็จัดกำลังป้องกันเอาไว้อยู่ตามเมืองฮวงกู่ แต่ว่าผู้คุ้มกันเหล่านี้ในตอนนี้กลับได้แต่เหม่อมองไปยังฉากเบื้องหน้า จนสีหน้าปั้นยากจนถึงที่สุด
นี้ แท้ที่จริงแล้วจัดอยู่ในระดับใดกันแน่ ? หากว่ากรงเล็บนั้นกดทับลงมา เกรงว่าทั่วทั้งเมืองก็ยากที่จะมีคนหลบรอดได้แล้ว ?
เพียงแต่ว่า การปรากฏตัวของกรงเล็บอันน่าหวาดกลัวนั้นก็มิได้มีความเคลื่อนไหวที่พิเศษแต่อย่างไร เพียงแต่ว่าได้ค่อยๆขยับเล็กน้อย เมื่อได้เป็นเห็นกรงเล็บนั้นได้ปรากฏประกายแสงขึ้น จากนั้นก็ได้กดทับไปยังบริเวณส่วนปลายของเมืองฮวงกู่ จากนั้น กรงเล็บขนาดใหญ่นั้นก็ได้ค่อยๆเลือนหายไป
.
.
.
.

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset