เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 356 เคล็ดวิชาดั่งเดิม

ตอนที่ 356 เคล็ดวิชาดั่งเดิม

 

 

คัมภีร์กฎแห่งสวรรค์ ทั้งเรียบง่ายและเก่าแก่ ดุจดั่งหยกศิลาธรรมดาชิ้นหนึ่งก็มิปาน แต่ว่าก็ครอบคลุมไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง เชื่อมโยงกันอย่างมากมาย บรรยายถึงวิถีวิทยายุทธ์รวมไปจนถึงความลี้ลับซ่อนเร้นของระหว่างฟ้าดิน

 

สิ่งของเช่นนี้ ความจริงด้วยพลังขอบเขตของเยี่ยจงในตอนนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจที่จะทดทานรับได้ เพียงแค่เมื่อมองไปอยู่หลายครา ก็เกือบที่จะทำให้ร่างกายแตกสลายได้

 

แต่ว่าเยี่ยจงที่ได้ก้าวเข้ามายังพลังขั้นก่อเกิดระดับที่เก้าในแบบที่ผู้คนในสมัยโบราณกาลยังมิอาจที่จะเข้าถึงได้ อีกทั้งยังแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด กระนั้นเขาก็ยังเพียงแค่กระอักโลหิตออกมาหลายคำ ก็พอที่จะทานรับบรรยากาศอันมหาศาลชนิดนี้เอาไว้ได้

 

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ในขณะที่เยี่ยจงดูไปแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องหลับตาลง ค่อยๆปรับสภาพขึ้นช้าๆ เพื่อที่จะให้ตนเองมีความเหมาะสม เพราะว่าด้านในคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์นี้ได้บันทึกถึงความน่าหวาดกลัวจนมากเกินไปส่วนหนึ่ง

 

นอกเสียจากจะบรรยายถึงวิถีวิทยายุทธ์ที่อยู่ในจุดสูงสุดแล้ว ยังมีการยกตัวอย่างการต่อสู้โบราณส่วนหนึ่ง ใช้อักขระที่ง่ายในการพรรณนา เพียงแค่มองไปคราหนึ่ง ห้วงสมองของเยี่ยจงปรากฏภาพขึ้นมาเป็นฉากๆ ราวกับว่าตนเองเห็นการต่อสู้ด้วยตาตนเองก็มิปาน

 

ท่ามกลางการต่อสู้ มีทั้งมังกรเทวะ มีทั้งพยัคฆ์ขาวสวรรค์ มีทั้งหงส์กลืนจันทร์ มีเผ่ามนุษย์พิชิตดวงอาทิตย์ แต่ละฝ่ายก็มีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน แต่ว่ากลับเป็นสิ่งที่ง่ายที่จะอธิบายออกมาได้ นับตั้งแต่เริ่มต้นของการลงมือ ก็ได้อธิบายเกี่ยวกับการต่อสู้ที่เกิดขึ้นและส่วนสำคัญต่างๆ จนทำให้เยี่ยจงสัมผัสและเข้าใจได้

(เผ่ามนุษย์พิชิตดวงอาทิตย์ คือ โฮ้วอี้ที่ยิงธนูทำลายดวงอาทิตย์ในเรื่องไซอิ๋ว ครับ จำกันได้ไหม)

 

ช่วงเวลาที่ได้เริ่มต้นขึ้น เยี่ยจงยังคงเตรียมการที่จะทำการฝึกวิชาของคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์ก่อน เพื่อที่จะให้ตนเองได้เข้าสู่การฝึกปรือ เข้าสู่ขอบเขตพลังยุทธ์ขั้นก่อฟ้าพลังปราณแต่เนิ่นๆ

 

แต่ว่าหลังจากผ่านไปสักพักเมื่อได้ศึกษาอยู่สักพัก เยี่ยจงเหมือนดั่งโง่งมขึ้นมา เขาได้ลืมเลือนเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของตนเองไป ในทางกลับกันในขณะนี้ก็ได้หันไปสังเกตศึกษาอักขระเก่าแก่ส่วนหนึ่ง

 

มีอยู่บางช่วงเวลาร่างกายของเขาก็ได้ขยับไปมาอยู่เล็กน้อย กระอักโลหิตออกมาหนึ่งคำ แต่ว่ามีบางเวลาที่ฝ่ามือของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปมาด้วยท่าทางที่ประหลาด ดุจดั่งกำลังลูบคลำอะไรอยู่ก็มีปาน กล่าวได้ว่า ทุกช่วงเวลาทุกขณะของเยี่ยจงที่ยังคงกำลังทำความเข้าใจ และครุ่นคิด ด้วยการชี้นำของคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์ เมื่อเทียบกับเส้นทางการฝึกปรือของตนเอง ก็ได้เข้าใจและทดลองขึ้นมา

 

หากว่าตอนนี้สามารถพบเจอกับฉากเบื้องหน้านี้จริงแล้วละก็ แน่นอนว่าย่อมต้องเกิดหวาดหวั่นอย่างเต็มเปี่ยม เพราะว่าด้วยพลังของเยี่ยจง ความจริงที่แน่นอนว่าไม่อาจค้นหาจริงแท้ของหลักวิทยายุทธ์ได้ ตนเองที่มาจนถึงขั้นนี้ได้ แต่ว่าตอนนี้ เขาก็ยังคงก้าวเดินต่อไป ถึงแม้จะช้าเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าก็ยังก้าวเดินต่อไปทีละน้อย

 

ในบางครั้ง เยี่ยจงก็ได้วางคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์ในมือลง แล้วก็ได้นำโอสถปราณที่อยู่ในแหวนจักรวาลมาทำการรักษาอย่างลวกลวก จากนั้นก็ได้ทำการสังเกตและศึกษาต่อ และหินปราณขนาดใหญ่และเล็กที่อยู่รอบตัวเขาอยู่มากมายนับไม่ถ้วน พลังปราณท่ามกลางหินปราณเหล่านี้ต่างก็ได้สูบพลังไปจนหมดจด เห็นได้ชัด เพื่อที่จะทำการสังเกตและศึกษาสิ่งของอย่างคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์ที่อยู่ในมือนี้ เยี่ยจงยังจำเป็นต้องมีความสามารถอันมากมายมหาศาล

 

ในบางครั้งร่างกายของเขาก็ได้ทอประกายแสงคมกล้าออกมาชั้นหนึ่ง อีกทั้งยังได้รวมพลังปราณที่อยู่ภายในร่างขึ้นมา แต่ว่าไม่นานนักก็ได้ดับลง นี้ได้ทำให้เขาได้เข้าสู่การทะลวงพลังจากสัญลักษณ์นี้ แต่ว่า เขาก็ยังคงแข็งขืนกดมันเอาไว้ และตัดสินใจคิดที่จะเตรียมทำสิ่งที่ดีกว่านี้

 

เป็นเหมือนกับอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับในรูปแบบหนึ่ง เหมือนดั่งตกอยู่ภายใต้มนต์สะกด เยี่ยจงในเวลานี้เหมือนกับได้ลืมเลือนอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง ลืมเลือนขอบเขตและเป้าหมายของตนเอง เขาเพียงแต่ตั้งอกตั้งใจอ่าน ดุจดั่งลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างไป

 

“ นี้คือ กิเลนกับจูเยียน! ”

 

ไม่นานนักเยี่ยจงก็ได้พบเจอกับการต่อสู้ที่เป็นดั่งตำนานบทหนึ่ง กล่าวไว้ถึงในช่วงเวลาเมื่อครั้นโบราณกาล มหาราชันแห่งเผ่ากิเลน ได้เผชิญหน้าทำสงครามกับผู้ปกครองอันโหดเหี้ยมแห่งจูเยียน ซึ่งเป็นดุจศัตรูคู่อาฆาตไม่อาจอยู่ร่วมฟ้ากับเผ่ากิเลน เมื่อมีการปรากฏตัวของจูเยียน จะเป็นดั่งสัญญาณการฆ่าฟันขึ้น

 

การต่อสู้ของครั้งนี้ของกิเลนและจูเยียน มักเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ว่าก็ยังถือได้ว่าเป็นวิธีการที่เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด เยี่ยจงความจริงก็กระจ่างต่อวิชาแห่งเผ่ากิเลนอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อยิ่งได้อ่าน ยิ่งกว่านั้นที่ตนเองมีความรู้ความเข้าใจต่อวิชากิเลนแล้ว จนเมื่อท้ายที่สุด เยี่ยจงก็ได้เกิดอาการสั่นเทาขึ้นเล็กน้อย บริเวณบนร่างกายก็ได้ปรากฏประกายแสงสีม่วงคมกล้าขึ้นมา เห็นได้ชัด วิชากิเลนที่เขาฝึกฝนได้มีความก้าวหน้าขึ้นมา

 

จากนั้น เรื่องเล่าของการต่อสู้ก็ได้บ่งชี้ถึงจุดสำคัญของทั้งสองฝ่ายออกมา พรรณนาออกมาเป็นเหมือนดั่งภาพที่น่าเวทนาขึ้นชนิดหนึ่ง ทำให้ผู้คนต่างก็กระจ่างและเข้าใจ ถึงจุดสำคัญที่แท้จริงแห่งการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย ที่มีความลึกซึ้งอย่างถึงที่สุด

 

ควรทราบว่า เกี่ยวกับรากฐานวิทยายุทธ์ที่ได้กล่าวขึ้นมา จากการสังเกตการต่อสู้ของยอดฝีมือทั้งสอง ก็ได้เกิดเงาลักษณ์ขึ้นอยู่บนสมองของเขาเอง แท้จริงที่ถือได้ว่าเป็นการทำความเข้าใจที่ดีที่สุด แต่ว่าโดยทั่วไปแล้ว จะมีใครกันบ้างที่สามารถสังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้จากการต่อสู้ของยอดฝีมือทั้งสอง ? และตอนนี้เยี่ยจงไม่เพียงแต่สังเกตเห็น อีกทั้งยังเหมือนมีคนอธิบายถึงจุดสำคัญจากการต่อสู้ของสองยอดฝีมือให้แก่เขาก็มิปาน จนทำให้เขาเหมือนต้องมนต์สะกดอย่างไรอย่างนั้น

 

หลังจากผ่านไปสักพัก เยี่ยจงก็ได้ขยับร่างกายเล็กน้อย กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ฟื้นคืนสติจากการจากการถูกสะกดเอาไว้กลับมา ในครั้งนี้เพราะว่าเขาทราบถึงที่มาของวิชากิเลนอยู่แล้ว จึงทำให้ยิ่งมีความลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม แล้วก็ได้ค่อยๆขยายเพิ่มขึ้นจนกระทั่งหยุดลง

 

ทว่าเขาก็มิได้เสียเวลาอีก หลังจากนั้นเขาก็ได้นำโอสถปราณออกมาหลายเม็ดเพื่อกินเข้าไป แล้วก็มองดูต่ออีกครั้ง

 

สิ่งทำให้เยี่ยจงหวั่นไหวก็คือ ต่อจากนี้เขายังพบเรื่องเล่าของการต่อสู้ของยอดฝีมือของเผ่ามังกร ท่ามกลางการต่อสู้ กับยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ที่ได้ใช้ออกมาด้วยมนต์ตราเทพประจำเผ่าที่ถูกคิดค้นขึ้นมาจนก่อเกิดความลึกล้ำของพลังเทพขึ้น ทว่าน่าเสียดายอย่างยิ่ง เยี่ยจงเพียงเข้าใจได้แค่ส่วนเล็กส่วนน้อยเท่านั้น แต่ที่ลึกซึ้งก็คงจะมีแต่ตราแห่งราชาแดนมนุษย์ และดำดินรุกคืบ ทว่า ก็ยังถือได้ว่าได้รับประโยชน์มาไม่น้อยเลยที่เดียว จนทำให้เขายิ่งมีความกระจ่างแจ้งลึกซึ้งต่อทั้งสองวิชานี้ยิ่งกว่าเดิม

 

ต่อจากนี้ ยังมีการต่อสู้แต่ละแบบอีก เยี่ยจงคิดคำนวณภายในใจ กลับค้นพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในแดนเทพ เพียงแต่ว่ามีการต่อสู้อยู่ส่วนหนึ่งที่อธิบายออกมาถึงความซับซ้อนที่เกิดขึ้น เยี่ยจงเพียงแค่ดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้เกิดอาการเวียนหัวตาลาย ไม่อาจไม่ปล่อยลงได้

 

“ พลังยุทธ์ยังถือว่ามีไม่เพียงพอ แม้ว่าจะไม่อาจจับจุดได้จดหมด แต่การคิดที่จะสังเกตการณ์ต่อสู้ทั้งหมดนั้น สิ่งเหล่านี้สมควรที่จะเป็นการฝึกปรือจากการวิเคราะห์ แต่ก็ไม่ใช่เส้นทางที่ตัวข้าเองได้เลือกเอาไว้ ”

 

แล้วหลังจากที่ได้กระอักโลหิตออกมาคำโต ในที่สุดเยี่ยจงก็ได้คืนสติกลับมา ไม่กลับเข้าไปสู่การเคลิบเคลิ้มอีก ในข้อนี้หากว่ามีผู้อื่นทราบ แน่นอนว่าคงจะต้องถูกทำให้ตกใจอย่างแน่นอน เพราะว่าเยี่ยจงเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ที่มีแปลกประหลาดจนเกินไป ถึงกับมีสามารถดึงสติกลับมาด้วยวิธีการเช่นนี้ตั้งหลายครั้งหลายครา จนไม่ตกเข้าสู่การเคลิบเคลิ้มอีก

 

“ ฮูว —— ”

 

จากนั้นก็ได้หายใจออกมายาวๆอีกคำ เยี่ยจงก็ได้อ่านคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์ด้วยความรวดเร็วที่สุดอีกรอบหนึ่ง ในครั้งนี้เขากลับมิได้ต้องมนต์สะกดจนเคลิบเคลิ้มไป เพียงแต่ตั้งสติและสงบจิตจิตใจมองเข้าไป ในที่สุด ในจุดสำคัญเหล่านี้ เขาก็ค้นพบวิธีในการฝึกปรือขึ้นมาได้

 

เมื่อได้นั่งสมาธิอย่างสงบอยู่บนหินศิลา ร่างกายของเยี่ยจงก็ได้ทอประกายแสงสีทองออกมาอย่างแรงกล้า นี้คือสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา ท่ามกลางของประกายแสงก็ได้มีการไหลเวียนของอักขระไปมาอย่างช้าๆ อีกทั้งโลหิตเลือดเนื้อก็ได้มีการผสมผสานกัน จนทำให้กล้ามเนื้อบนร่างกายของเขาทวีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

 

เมื่อในชาติที่แล้ว เยี่ยจงที่เคยเข้าสู่เส้นทางวิทยายุทธ์ไปไกลลิบ สามารถกล่าวได้ว่าถือเป็นหนึ่งในสุดยอดแห่งยุค ผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุด แต่ว่า ตอนนี้เมื่อได้เข้าใจในสิ่งที่ได้ถูกบันทึกอยู่ภายในคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์ เยี่ยจงจึงได้ค่อยเข้าใจว่า ตนเองเมื่อในสมัยก่อนถือได้ว่าเริ่มต้นได้อย่างผิดพลาด จนมิอาจที่จะย้อนกลับสู่เส้นทางวิทยายุทธ์ที่แท้จริงได้

 

เพียงแต่ว่า ในครั้งนี้ทางที่เข้าเลือกย่อมไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน เพราะเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เขาต้องใช้วิธีสูงสุดคืนสู่สามัญหลายต่อหลายครั้ง เพื่อเข้าสู่พลังขั้นก่อเกิดระดับที่เก้า เขาจึงได้ฝึกปรือจนถึงขอบเขตที่เต็มเปี่ยม เพื่อที่จะไม่เกิดความผิดพลาดต่อกายเนื้ออีก สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการทะลวงเข้าไปยังจุดสูงสุดของขอบเขตที่ยิ่งใหญ่แล้วก็ว่าได้ แล้วจึงเข้าสู่พลังยุทธ์ขั้นก่อฟ้าขอบเขตพลังปราณ

 

หลังจากที่ได้ครุ่นคิดใคร่ครวญแล้ว เยี่ยจงก็ได้ทดลองหมุนเวียนพลังเพื่อเข้าสู่จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของวิชาที่อยู่ภายในคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์ วนเวียนความคิดอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ได้พบว่าทุกๆอนุของกล้ามเนื้อ ก็ได้มีประกายแสงสีทองเล็กๆปรากฏขึ้น ประกายแสงสีทองเหล่านี้ก็ได้สลับสับเปลี่ยนไปมา อยู่ภายในร่างกายของเยี่ยจง ดุจดั่งมีอักขระลอยไปมาอยู่รอบกายก็มิปาน

 

“ เมื่อเงื่อนไขพร้อมสมบูรณ์ ก็จะเป็นไปตามธรรมชาติของมัน ? ”

 

เยี่ยจงพูดอยู่กับตนเอง เขาค่อยๆหลับตาลง ประกายแสงสีทองก็ได้ไหลเวียนไปมา อักขระลอยรายล้อม กายเนื้อของเขาก็ได้เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ว่าในครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เบาบางอย่างถึงที่สุด ราวกับมิอาจที่จะตรวจสอบพบได้

 

“ โครม —— ”

 

ไม่ทราบนับตั้งแต่เมื่อไหร่ ท่ามกลางตำหนักโบราณปรากฏประกายอัสนีคมกล้าขึ้นมา สายอัสนีส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนก่อเกิดสายฟ้าฟาดวนเวียนอยู่ภายในท่ามกลางตำหนักโบราณ ดุจดั่งอสรพิษสีเงินก็มิปาน ดูไปแล้วงดงามจนน่าหวาดหวั่น ก่อเกิดเสียงระเบิดดังเสียดหูขึ้นมา

 

แต่ก็คิดไม่ถึงว่าสายฟ้าเหล่านี้จะมุ่งเป้าเข้ามาทางด้านของเยี่ยจงอย่างชัดเจน ราวกับว่าสายฟ้ามีความคิดเป็นของตัวเอง ตอนนี้พวกมันราวกับเกิดความหวาดกลัวชนิดหนึ่งต่อเยี่ยจงก็มิปาน เพียงแต่ไหลเวียนออกไป มิได้เข้าจู่โจมเข้าหาอีก

 

เยี่ยจงสงบนิ่งอย่างถึงที่สุด เขานั่งสมาธิอยู่บนหินศิลา มิได้ก่อเกิดความหวาดระแวงใดๆ แล้วก็มิได้มีความเคลื่อนไหวอันใดแม้แต่น้อย เขาสาดประกายสายตาคมกล้าขึ้น แต่ก็มิได้เกิดความร้อนรน ทั้งมิได้เกิดความวุ่นวายใจ เขาเพียงแต่รอคอย รอยคอยให้ถึงช่วงเวลาที่เงื่อนไขพร้อมสมบูรณ์

 

และในเวลาเดียวกันนี้ เขาก็ได้ค่อยๆจดจ้องพร้อมครุ่นคิดไปที่จุดเริ่มต้นของวิชาคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์อย่างสงบ เปรียบเทียบระหว่างคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์กับการทะลวงพลังยุทธ์ขั้นก่อฟ้าพลังปราณเมื่อครั้งที่แล้ว และทั่วทั้งร่างก็ได้ไหลเวียนไปตามพลังยุทธ์ขั้นก่อฟ้าที่ถือเป็นบันทึกขอบเขตอันยิ่งใหญ่นี้ จนก่อเกิดประทับรูปลักษณ์ที่ชัดเจนขึ้นมาอย่างช้าๆ

 

เยี่ยจงในตอนนี้ ก็ได้ตกอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่ามีความประหลาดอย่างถึงที่สุดชนิดหนึ่ง ราวกับว่าเขามารถที่จะทะลวงพลังได้ทุกเมื่อ จนทำให้พลังฝีมือของตนเองอยู่ในระดับที่สูงขึ้น เข้าสู่ระดับขั้นใหม่ในอีกรูปแบบหนึ่ง

 

แต่ว่าท่ามกลางการผ่านเลยไปในช่วงเวลานี้ เขาราวกับได้ลืมเลือนเวลาที่ผ่านเลยไป ลืมเลือนความอันตรายที่จะเกิดขึ้น ตลอดทั้งร่างไม่ขยับเคลื่อนไหว ไม่มีการรับบรู้ใด มีแต่เพียงการรอคอย

 

เพียงชั่วพริบตาเดียว ไม่ทราบว่าได้ผ่านพ่นไปนานเท่าไหร่ ใจกลางฝ่ามือของเยี่ยจงก็ได้ปรากฏคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์ขึ้นอีกครั้ง เขามองเข้าไปเป็นครั้งคราว แต่ว่าเวลาโดยส่วนมากแล้วจะอยู่แต่ภายใต้การคิดวิเคราะห์ สิ่งที่อยู่ภายในคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์นั้นมีอยู่มากมาย ไม่อาจที่จะใช้เวลาเพียงที่มีในการศึกษาสิ่งที่มีอยู่จำนวนมากเช่นนี้ได้ เขาในตอนนี้ได้แต่เพียงแค่ดูสิ่งที่พอจะสามารถนำมาใช้ได้เท่านั้น

 

การรอคอยเช่นนี้ ทั้งยังไม่จำเป็นที่จะต้องร้อนใจ แล้วก็ยังมิใช่ความหยิ่งผยองแม้แต่น้อย จะมีก็เพียงแต่ความเงียบสงบของการรอคอยเท่านั้น

 

ทันใดนั้น ช่วงเวลานั้นเอง ร่างกายของเยี่ยจงก็ได้สาดประกายแสงสีรุ้งแห่งเทพเซียนขึ้นมา ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งร่างกายของเขาอย่างช้าๆ ก่อเกิดพลังปราณขึ้นมาเป็นสาย เริ่มต้นก่อเกิดขึ้นอยู่ภายในร่างกายของเขา

 

ในวินาทีนี้เอง เยี่ยจงที่มีพลังร่างกายในระดับสูงสุด ดุจดั่งทรราชมหาราชันเยาว์ที่จุติลงมาก็มิปาน ร่างกายทุกอนุของเขาก็ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยอักขระสีทองห่อหุ้มเอาไว้ ดุจดั่งการตีเหล็กกล้า ที่ผ่านความร้อนที่สูง แล้วก็ถูกตีจนสำเร็จขึ้นมาในที่สุดในเวลาเดียวกัน

 

ขอบเขตพลังยุทธ์ขั้นก่อฟ้าพลังปราณ ถือเป็นการฝึกปรือในระดับขึ้นที่สองของวิทยายุทธ์ ภายในดินแดนแห่งนี้ ผู้ฝึกยุทธ์จำเป็นที่จะต้องมีประสบการณ์ในการปรับสภาพร่างกาย เพื่อที่จะเข้าสู่ระดับชั้นขั้นก่อฟ้า ในเวลาเดียวกัน การเบิกทางสู่ขอบเขตก่อฟ้าในตัวเอง ภายในร่างกายจึงจะสามารถสร้างพลังฟ้าดินขนาดเล็ก เขตแดนขนาดเล็ก ความรู้ความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงของกฏตามธรรมชาติเป็นต้น เพื่อที่จะได้หยิบยืมพลังปราณสายนี้มาใช้ได้

 

“ โครม —— ”

 

ประกายสายอัสนีสีเงินนับไม่ถ้วนดุจดั่งอสรพิษสีเงินในที่สุดก็ระงับเอาไว้ไม่อยู่ พวกมันเกิดการบ้าคลั่งมุ่งหน้าเข้ามาทางด้านของเยี่ยจง วินาทีนั้น ดุจดั่งประกายสายธารอัสนีปากคลุมไปทั่วก็มิปาน จนห่อหุ้มร่างกายของเยี่ยจงเอาไว้อยู่ภายในกึ่งกลาง

 

แต่ว่า อักขระสีทองผืนหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นมาในตอนนี้ อีกทั้งยังวุ่นวาย แวววับและละลานตา จนเกิดตราประทับทั่วทั้งร่างกายของเยี่ยจง

 

ในขณะนี้เอง สิ่งที่ไม่คาดคิดก็ได้ปรากฏขึ้นมาจากสายฟ้าเหล่านี้ เรียกได้ว่ามิได้ส่งผลอันใดต่อเยี่ยจงแม้แต่น้อย ในทางกลับกันภายในกลับปรากฏพลังสองชนิดเพิ่มขึ้นมา พลังชนิดแรกก็คือพลังปราณของเยี่ยจงเอง และอีกอย่างก็ได้ปรากฏขึ้นมาจากภายในร่างกายอย่างช้าๆ ……

.

.

.

.

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset