เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 363 กระบี่ตัดตะวันจันทรา

ตอนที่ 363 กระบี่ตัดตะวันจันทรา

 

 

“จะพลิกฟ้าแล้วสินะ”อันหงเจินจู่ๆก็ได้ยิ้มขึ้นมา ภายในคำพูดแฝงไว้ด้วยคำเย้ยหยันอยู่หลายส่วน ยังคงมีอยู่หลายส่วนที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดขึ้นมาอยู่ภายใน

 

“ท่านเจ้าลัทธิ ต่อจากนี้พวกเราจะทำอย่างกันต่อ ?”ผู้อาวุโสหลิงเหว่ยเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เกิดอาการปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่หลายส่วน

 

“เริ่มแยกย้ายกันเถอะ”อันหงเจินหลังจากที่ครุ่นคิดใคร่ครวญ จึงค่อยได้เอ่ยปากขึ้นกล่าวเสียง”ให้ศิษย์สาขาในทั้งหมดนำตำรา ทักษะยุทธ์ทั้งหมดขนย้ายออกไป อีกทั้งวัสดุที่ใช้ไว้เพื่อฝึกฝน ให้นำสิ่งของเหล่านี้ทิ้งเอาไว้ พวกเรายังคงถือว่าประวิงเวลาได้บ้าง อีกทั้งศิษย์สาขานอก ให้รีบส่งข่าวออกไป และศิษย์สาขาใน ให้แบ่งเป็นกลุ่มจากไป ลัทธิแห่งดวงดาวพวกเราอยู่ภายใต้ความดูแลของรัฐต้าโจวถึงสามรุ่นมานานนับหลายปี ยังคงพอที่จะสามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเหล่านั้นได้อยู่ ยังไงก็ยังพอที่จะสามารถส่งคนออกไปอยู่ส่วนหนึ่ง

 

“ขอรับ !”ผู้อาวุโสหลิงเหว่ยถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ได้กล่าวด้วยเสียงที่เบาบาง

 

เยี่ยจงจ้องมองไปยังเหล่าเจ้าตำหนัก ผู้อาวุโสที่อยู่ท่ามกลางสถานที่แห่งนี้ อีกทั้งสีหน้าของพวกเขายังแฝงไว้ด้วยความลำบากใจอยู่หลายส่วน กำลังอยู่ในอาการถอนหายใจ หรือไม่ก็สิ้นหวัง เห็นได้ชัดว่าเสียดายลัทธิแห่งดวงดาวที่มีถูกก่อตั้งขึ้นมานานนับพันปี เพียงแต่ว่าในหมู่พวกเขากลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่มองมาที่เยี่ยจงด้วยสายตาแค้นเคืองแต่อย่างไร เห็นได้ชัดว่า ในสายตาของพวกเขาเยี่ยจงยังคงถือได้ว่าเป็นศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวอยู่ เพื่อที่จะคุ้มครองเยี่ยจง จึงถือว่าเป็นเรื่องที่สมควรกระทำอย่างแน่นอน

 

หลังจากที่เกิดความสงสัย เยี่ยจงก็ได้กล่าวออกมาอย่างลังเล:”ท่านเจ้าลัทธิ เรื่องในครั้งนี้ยังคงเป็นข้าที่ก่อเรื่องขึ้นมา หรือไม่พวกท่านส่งก็มอบข้าออกไป ถือว่าเป็นการตัดความสัมพันธ์ระหว่างเราและลัทธิแห่งดวงดาว เช่นนี้ก็จะยิ่งสามารถปกป้องรักษาได้มากขึ้นกว่าเดิม”

 

“ที่สำนักอยู่ในขั้นวิกฤตในตอนนี้ก็เป็นเพราะว่าข้า ดังนั้นจะต้องทิ้งเจ้าที่เป็นศิษย์อัจฉริยะหนึ่งเดียวเช่นนี้อย่างงั้นหรือ ?”เจ้าตำหนักกองทัพเฮ่าตงก็ได้ยิ้มขึ้นที่มุมปากในทันที บนใบหน้าเผยให้เห็นความเชื่อมั่นในตัวเองอยู่”เรื่องราวเช่นนี้ ลัทธิแห่งดวงดาวข้าไม่เคยกระทำมาก่อน ลัทธิแห่งดวงดาวถึงแม้จะมิได้อยู่ในขั้นระดับเดียวกับแดนลับแลหรือแดนอมตะอะไรนั้น แต่ว่าการขายศิษย์ของตนเองออกไปเพื่อแลกกับความปลอดภัยเพียงชั่วคราว ยังคงถือเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดจะสามารถกระทำออกมาได้”

 

“เยี่ยจง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงมากไป เรื่องราวจำพวกนี้ ยังไงเสียก็ได้เกิดขึ้นมาอีกหลายครั้ง ดังนั้นทางสาขาในก็ได้มีการเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ขอเพียงศิษย์จำนวนมากสามารถจากไปได้ เช่นนั้นถ้าศิษย์ไม่ตายตก ลัทธิแห่งดวงดาวก็จะไม่สูญสลาย โดยเฉพาะ ในดินแดนแห่งนี้มีแดนลับแลที่ไม่ดับสูญด้วยงั้นหรือ ก็ยังทำได้เพียงแค่มีชีวิตรอดไปได้ก็พอ ต่อให้ต้องลองแลกด้วยชีวิตก็ตาม เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดจนเกินไป……”อันหงเจินเผยยิ้มออกมา สีหน้ายังคงสงบนิ่ง”ยิ่งไปกว่านั้น ในครั้งนี้ต่อให้ส่งมอบเจ้าออกไป แดนลับแลเหล่านั้นยังไงก็ไม่ปล่อยพวกเราแน่ นั้นก็เพราะว่าเจ้ามีความแข็งแกร่งจนมากเกินไป จึงอันตรายจนเกินไป พวกเขาก็ย่อมที่จะเกรงกลัว หากว่ายังคงมีการมีอยู่ของลัทธิแห่งดวงดาวแล้วละก็ เช่นนั้นก็คงอาจจะมีการเกิดเยี่ยจงคนที่สองขึ้น”

 

“ดังนั้น ในครั้งนี้ ท่ามกลางลัทธิแห่งดวงดาว ข้ายังสามารถตายได้ หรือแม้แต่เจ้าตำหนักก็ยังสามารถตายได้……ทว่าเจ้าและศิษย์มากมายไม่อาจที่จะตายตกลงได้ ขอเพียงพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ จะสิบปีหรือร้อยปีหลังจากน้ ลัทธิแห่งดวงดาวข้าแน่นอนว่าย่อมต้องถูกฟื้นฟูขึ้นมาได้ เมื่อถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าอาจจะสามารถเป็นสุดยอดแห่งดินแดนซีฮวง เยาะเย้ยชนชาวนับพันหมื่นสาย !”อันหงเจินหัวเราะฮาฮาเสียงดังขึ้นมา แต่ว่าภายในเสียงหัวเราะยังได้แฝงไว้ด้วยความคาดหวังอยู่สายหนึ่ง เพียงแค่ลัทธิแห่งดวงดาวแห่งเดียว ถึงกับสามารถถูกกดดันถึงขนาดนี้ได้ ก็เพราะพอที่จะบอกได้ว่าขุมกำลังเหล่านั้นมีความแข็งแกร่งในระดับใด

 

“หากว่าเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพอที่จะสามารถให้ศิษย์อยู่ในสถานที่ด้วย”เยี่ยจงเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปยังอันหงเจินด้วยความเรียบเฉย เรื่องในครั้งนี้ถึงแม้จะเป็นเขาก่อขึ้นมา หากว่าเขาต้องจากออกไปก่อน ก็คงจะไม่มีหน้าที่จะยืนอยู่ในยุทธภพนี้แล้ว

 

อันหงเจินงงงันขึ้น หลังจากนั้นสักพักก็ได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา”ลัทธิแห่งดวงดาวเรามีบริเวณแห่งหนึ่งเป็นที่ตั้งของศาลบรรพบุรุษ มีแต่ไป ไม่อาจกลับมาได้ แต่ว่าศาลบรรพบุรุษที่ตั้งของค่ายกลเคลื่อนย้าย สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น อีกทั้งแม้แต่ข้าก็ยังไม่ทราบเหมือนกัน ว่าศาลบรรพบุรุษนั้นจะส่งไปยังสถานที่ใด ความจริงแล้วได้ตัดสินใจที่จะส่งเจ้าและศิษย์ที่มีความสามารถส่วนหนึ่งไปยังศาลบรรพบุรุษด้วยกัน เพื่อที่จะได้เหลือสิ่งที่เป็นลัทธิแห่งดวงดาวที่แท้จริงเอาไว้……แต่ว่า ถ้าหากเจ้าต้องการจะอยู่ต่อแล้วละก็ เช่นนั้นก็ไม่อาจที่จะใช้ศาลบรรพบุรุษได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เจ้ายังคงแน่ใจที่จะอยู่ต่อหรือ”

 

เยี่ยจงพยักหน้าตอบรับ กล่าวออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา”ข้ามีแต่เพียงคำขอร้องเพียงหนึ่งเดียว สามารถที่จะให้น้องสาวข้าเยี่ยจงไปยังศาลบรรพบุรุษด้วยกันได้หรือไม่ อีกทั้งข้า แน่นอนว่าต้องอยู่ต่อ เพื่อที่จะเป็นสักขีพยานในครั้งสุดท้าย……ผลสุดท้าย ข้าจะหาวิธีไปยังศาลบรรพบุรุษเอง แน่นอนว่าต้องเสาะหาพบ”

 

“ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ตอบรับเจ้า ข้าไม่อาจที่จะฝืนเจ้าได้ ข้าเองก็เชื่อว่า เด็กหนุ่มสุดยอดรุ่นเยาว์ที่สามารถต่อกรกับผู้คนมากมายมหาศาลท่ามกลางสมรภูมิฮวงกู่ได้ คงไม่มาตายตกกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้แน่”อันหงเจินพยักหน้า จากนั้นก็ได้โบกมือขึ้นมา เป็นสัญญาณให้เยี่ยจงถอยลงไป ลัทธิแห่งดวงดาวในตอนนี้ต้องทำการจัดวางตำแหน่งทั้งหมด คนนับพันรับมือการเปลี่ยนแปลงนับหมื่น ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจเพียงชั่วครู่เท่านั้นอย่างแน่นอน

 

เยี่ยจงออกไปจากตำหนักหลัก เขาทราบว่าตนเองไม่อาจที่จะจากไปได้ นั้นก็เพราะว่าที่ลัทธิแห่งดวงดาวกระทำมาโดยตลอดนี้เอง ต่างก็เพียงเพราะเพื่อตัวของเขาเอง หากว่าจากไปแล้ว วันข้างหน้าคงจะไม่มีหน้าไปพบเจอผู้คนแล้ว

 

ไม่นานนัก เยี่ยจงก็ได้มาถึงยังตำหนักทักษะยุทธ์ เพื่อที่จะเสาะหาหลิงเยว่และเยี่ยถง

 

เขามิได้บอกออกไปว่าตนเองจะไม่จากไป และเตรียมที่จะนำวิชากิเลน ตราแห่งราชาแดนมนุษย์ วิชาดำดินรุกคืบและทักษะเซียนอื่นๆ มนต์ตราเทพ ทั้งหมดทั้งมวลมอบให้กับหลิงเยว่และเยี่ยถงทั้งสองคน

 

แน่นอนว่า เป็นเพราะระดับขั้นของพลัง เยี่ยจงจึงไม่อาจที่จะฝึกฝนทักษะยุทธ์และมนต์ตราเทพเหล่านี้ให้แก่พวกนางได้ในทันที ได้แต่เพียงแค่บอกเคล็ดวิชาให้ทราบ เพื่อที่จะให้พวกนางสามารถฝึกฝนขึ้นมาในวันข้างหน้าได้

 

“เจ้าไม่จากไปงั้นหรือ ?”

 

ภายในห้องรับรองของตำหนัก หลิงเยว่ก็ได้จ้องมองเยี่ยจง สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่เยี่ยจงกำลังส่งมอบทักษะยุทธ์และมนต์ตราเทพเหล่านี้ให้ นางก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ไม่ดีขึ้นมา

 

“ไม่ใช่ไม่จากไป แต่จะเพื่อเป็นสักขีพยาน เรื่องในครั้งนี้ยังคงเป็นข้าเองที่ก่อขึ้นมา ยังไงข้าก็จำเป็นที่จะต้องจากไปเป็นคนสุดท้าย”เยี่ยจงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เขายื่นมือเข้าไปลูบที่ศีรษะของเยี่ยถงเบาๆ เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา”ศิษย์พี่ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นห่วง ท่านและเยี่ยถงและพวกก็กลับไปยังศาลบรรพบุรุษเราก่อน ตั้งใจฝึกฝนให้ดี ที่ข้ามอบให้ทั้งหมดนั้นก็เป็นพวกวิชากิเลน กล่าวได้ว่าง่ายดายที่จะฝึกฝน……หลังจากที่ข้ากลับไปยังศาลบรรพบุรุษแล้ว ควรทราบว่า พวกเจ้าหากยังอยู่แล้วละก็ ข้าก็ไม่อาจที่จะไม่เป็นห่วงได้”

 

“แต่ว่า ขุมพลังเหล่านั้น……”หลิงเยว่ถอนหายใจออกมา ด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง

 

“วางใจเถอะ มีท่านเจ้าลัทธิ อีกทั้งยังมีเจ้าตำหนักตั้งมากมาย แล้วยังมีผู้อาวุโสอยู่ ข้าต้องไม่เป็นไรหรอก ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าอย่าได้ลืมไปว่า ข้าได้สังหารยอดฝีมือชนชั้นราชันมาก่อน”เยี่ยจงกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา ทั้งยังเป็นชนิดที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแน่นอน

 

“เชื่อข้าเถอะ ข้าจะกลับมาหาพวกเจ้าไม่นานนักหรอก !”เยี่ยจงยิ้มขึ้นเล็กน้อย ด้วยความเชื่อมั่นอย่างไร้ที่เปรียบ

 

ในที่สุดหลิงเยว่และเยี่ยถงทั้งสองคนและศิษย์ลัทธ์แห่งดวงดาวสาขาในกลุ่มหนึ่งก็ได้ออกเดินทาง มุ่งหน้าเข้าไปยังการเคลื่อนย้ายศาลบรรพบุรุษของลัทธิแห่งดวงดาว เพียงแต่ว่าในขณะที่พวกเขากำลังจะจากไปนั้น ค่ายกลเคลื่อนไหวก็แตกกระจายลง ไม่อาจมีผู้ใดทราบได้ว่าร่างกายของพวกเขาไปอยู่ในสถานที่แห่งใด

 

“นี้ก็คือแผนที่ของศาลบรรพบุรุษเรา วันข้างหน้าหลังจากนี้เจ้าคงจะสามารถใช้ได้”อันหงเจินส่งแผนดีแผ่นหนึ่งยื่นให้แก่เยี่ยจง

 

เยี่ยจงไม่แม้แต่จะมอง เพียงแต่เก็บแผนที่เอาไว้อย่างระมัดระวังเป็นอย่างดี หลิงเยว่และเยี่ยถงจากไปอย่างไร้กังวล เพื่อที่จะทำให้สามารถปล่อยวางได้ทุกสิ่ง แต่ว่าต่อจากนี้ ใจของเขาจะอยู่ที่การฝึกปรือแล้ว ในเวลาเดียวกันที่จะได้เป็นประจักษ์พยานในตอนสุดท้าย ก็ถือได้ว่าเป็นการเตรียมการที่สามารถทำได้ทุกเวลาแล้ว

 

บริเวณจุดที่สูงที่สุดของลัทธิแห่งดวงดาวจุดภาวนาสมาธิ ไร้ผู้คนมารบกวน เยี่ยจงผนึกรอยตราอย่างตั้งใจ แสดงพลังจากทักษะเซียนและมนต์ตราเทพออกมาจากภายในมือของเขาในตอนนี้ จนสามารถแสดงกาควบคุมพลังในขอบเขตของตนเองจนถึงระดับสูงสุดขึ้นมาได้

 

จากนั้นสักพัก เยี่ยจงก็ได้นำกำไรข้อมือนั้นของตระกูลถังที่ก่อนหน้านี้ได้มาจากสมรภูมิแห่งดวงดาว เริ่มต้นผนึกจิตสู่สำนึก กำไรข้อมือของผู้ที่มาจากเผ่าวิหคทอง ทั้งลี้ลับและแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ภายในก่อรวมเอาไว้ด้วยสำนึกกระบี่อันน่าตกใจ หากว่าสามารถควบคุมได้ ในมุมมองเของเยี่ยจง ก็เหมือนดั่งสามารถเพิ่มพลังในการต่อสูงขึ้นมาได้

 

เพียงแต่ว่า หลังจากที่ได้เคลื่อนไหวไปมา เยี่ยจงเพียงแต่พบว่า นี้เป็นกระบี่ระดับสมบัติเซียนเล่มหนึ่ง ที่รวมรั้งเอาไว้ด้วยสำนึกกระบี่ แต่ว่ากลับมิอาจที่จะสามารถไปถึงสิ่งของชิ้นนี้ได้ แต่ว่าไม่นานนัก เยี่ยจงก็ได้ใช้สำนึกทั้งหมด เขาก็ได้นำคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์ออกมาดูอยู่อีกทางด้านหนึ่งที่เป็นแก่นแท้ของทักษะยุทธ์เล็ก แล้วก็ได้ซ้อนกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ได้พบเจอกับจารึกที่อยู่ภายในแต่เดิมของกำไรข้อมือนี้

 

เห็นได้ชัดว่า สุดยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์วิหคทองเมื่อครั้งก่อน ได้พยายามที่จะใช้พลังฝีมือเช่นนี้ก่อนที่จะตายตกลงไป จนกำไรข้อมือนี้ได้ก่อรวมเอาไว้ด้วยแก่นแท้ที่หนาแน่น และที่มาของเผ่าวิหคทองคำและยอดฝีมือหนึ่งเดียวของตระกูลถัง ก็ไม่คิดว่าเยี่ยจงจะสามารถทราบถึงความนัยน์ได้มาจากแก่นแท้ของทักษะยุทธ์น้อยนี้ ดังนั้นจึงได้นำวัตถุสิ่งนี้มาใช้แทนสมบัติเซียนมาโดยตลอด ที่ทำให้ทราบได้ถึงความหมายของจิตสำนึกกระบี่ที่อยู่ภายในที่ไม่มีผู้ใดเคยถามไถได้มาก่อน

 

“นี้คือ กระบี่แห่งจื่อหยางจื่อกัง !”

(ความหมายที่ผู้แปลไปค้นมานะครับ*จื่อหยางจื่อกัง =

1.คือชื่อที่ใช้ไว้สำหรับการเรียกขานวิชายุทธ์ที่เกิดจากการกระทำ แต่ว่าไม่อาจที่จะนำไปใช้แทนหลักการเรียน ตย. เช่น สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร

2.อีกความหมายก็คือสิ่งที่เป็นดั่งภาพหยินหยางแต่มีลักษณะที่พลังหยางมีมากกว่าหยิน)

 

หลายวันหลังจากนี้ เยี่ยจงก็ได้ค่อยๆที่จะลืมตาขึ้นมา ภายในดวงตาก็ได้สาดประกายประหลาดขึ้นมา

 

สำนึกกระบี่ไม่เพียงแต่แฝงไว้ด้วยการมีอยู่อันน่าหวาดกลัวของเผ่าวิหคทองผู้นั้นเอาไว้ นั้นก็เพราะว่า ภายในกระบี่เล่มนี้ เยี่ยจงตรวจพบว่ามีเครื่องหมายอยู่มากมาย กว่าครึ่งนั้น มีโครงสร้างคล้ายดั่งผู้ใช้กระบี่ เพื่อกระบี่นี้ไม่ทราบว่าได้เสาะหาไปมากมายเท่าไร จนท้ายที่สุดจึงพอที่จะสามารถเปิดกระบี่นี้ได้ และกระบี่จื่อหยางจื่อกังเล่มนี้ ได้ก่อรวมพลังวิญญาณที่ไร้การหวนกลับเอาไว้ ที่สามารถทำให้ก่อเกิดความตื่นตระหนกไปทั่วทั้งแดนดินได้

 

เยี่ยจงเริ่มที่จะใส่ใจมากยิ่งขึ้น จิตใต้สำนึกก็ได้ครุ่นคิดถึงกำไรข้อมือนี้ ทำความเข้าใจครั้งแล้วครั้งเล่า จนท้ายที่สุดก็ได้พบกับภาพเหตุการณ์บางอย่างขึ้น

 

สถานที่แห่งนั้นเป็นพื้นที่โล่งกว้างใหญ่ไพศาล คมกระบี่สายหนึ่งได้พุ่งขึ้นไปบนฟ้า มุ่งหน้าเข้าไปยังทางด้านที่เป็นดั่งดวงตะวัน

 

“ตูม ——”

 

กระบี่ได้ฟาดฟันออกไป เสือกแทงออกเป็นสายยาว ท่ามกลางท้องนภาเต็มไปด้วยดวงอาทิตย์นับสิบดวง มีทั้งหมดเก้าดวงที่อยู่เบื้องหน้ากระบี่เล่มนี้ เกิดการตายตกเสียหายไปเป็นจำนวนมาก และท้ายที่สุดก็เหลือดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียว แล้วผู้ใช้กระบี่ก็ได้กวาดกระบี่ลงไปอย่างเด็ดขาด

 

กระบี่นี้ สามารถที่จะตัดผ่าอากาศได้ แทงทะลุตะวันจันทรา ทั้งแข็งแกร่งและน่าหวาดกลัวอย่างมาก

 

“กระบี่ที่ดีเล่มหนึ่ง นี้ก็คงจะเป็นการกระทำครั้งยิ่งใหญ่ของท่านผู้มากความสามารถผู้นี้แล้วงั้นหรือ ?กระบี่เดียวถึงกับสามารถทะลวงสังหารดวงอาทิตย์ทั้งเก้าดวงได้ ช่างมีพลังทำลายที่ไร้ขีดจำกัดเสียจริง !”เยี่ยจงถอนลมหายใจ

 

จุดสูงสุดของกระบี่สายนี้ กระบี่เดียวฟาดฟันตะวันจันทรา ถือเป็นความน่ากลัวที่แม้แต่เผ่าวิหคทองและตระกูลถังเองก็ยังมิอาจทราบได้ ท่ามกลางภายในกำไรข้อมือนี้ที่ก่อรวมเอาไว้ด้วยตำนานในระดับนี้

 

กระบี่นี้เรียกได้ว่ามิได้อยู่ในระดับมนต์ตราเทพได้อีกแล้ว และเป็นขีดจำกัดที่อยู่ในระดับที่สูงยิ่งกว่าที่เข้าใกล้ระดับเทวะอันมีพลังไร้ขีดจำกัดไปแล้ว

 

เพียงแต่น่าเสียดาย กระบี่เล่มนี้มีพลังธาตุหยาง(หยางกัง)มากจนเกินไป นี้ถือได้ว่าเป็นข้อด้อยอย่างแท้จริงของมันเอง แต่ว่าเพราะว่ามีข้อด้อยนี้เอง กลับยังมีสิ่งที่ชดเชยเข้ามา เพียงแต่ว่าในตอนนี้เยี่ยจงกลับไม่มีพลังความสามารถเช่นนั้นก็เท่านั้นเอง

 

ในที่สุด เยี่ยจงก็ไม่คิดมากอีกต่อไป เพียงแต่นำจิตใจเข้าสู่สำนึกของกระบี่ แปรเปลี่ยนรูปร่างของกระบี่นี้อย่างระมัดระวังแต่หนักแน่น ก่อนที่จะเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นมา จำเป็ฯที่จะต้องมีวิชาที่ใช้ไว้รักษาชีวิตเพิ่มอีกสักอย่างหนึ่ง

 

“กระบี่เดียวตัดตะวันจันทรา เหตุใดถึงเป็นเพียงแค่สำนึกกระบี่ได้”

 

หลังจากที่ได้ผ่านเลยไปครึ่งเดือน เยี่ยจงก็ได้เริ่มลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาเริ่มที่จะสามารถควบคุมกระบี่นี้ได้แล้วท่ามกลางภายในดวงตาในตอนนี้กระจ่างสดใส ในเวลาเดียวกันก็ตั้งใจจะตั้งนามของกระบี่นี้ หลังจากนี้แน่นอนว่าจะสามารถใช้มาเพื่อเย้ยแดนซีฮวงแห่งนี้ นั้นก็เพราะว่ากระบี่นี้ ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ แต่ว่ายังคงเพียงพอที่จะทำให้สะท้านแดนดินได้

 

“การฝึกปรือก็ถือว่าสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้แล้ว”

 

เยี่ยจงลุกขึ้น สายตากวาดเข้าไปยังภายในของลัทธิแห่งดวงดาว ดวงตะวันลอยขวักไขว่อยู่เหนือลัทธิแห่งดวงดาว หลังจากที่ได้ผ่านไปเกือบจะหนึ่งเดือนมาแล้ว แม้แต่เสียงที่ได้ยินก็โรยรินไป ศิษย์ด้วยส่วนมากกว่าสองในสามต่างก็ได้ถูกส่งออกไปจากลัทธิแห่งดวงดาวแล้ว ไปยังสถานที่ลัทธิแห่งดวงดาวได้ตระเตรียมเอาไว้อยู่หลายแห่งในตอนแรก ในที่แห่งนั้นจึงพอที่จะทำการปกป้องเอาไว้ได้

 

เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ยังคงมีศิษย์กว่าหนึ่งในสามส่วนที่ยังมิได้จากไป นั้นก็เพราะว่ามีเวลาไม่พอ สถานที่ก็ยังไม่เพียงพอเช่นเดียวกัน

.

.

.

.

กลุ่มละ 80ตอน/กลุ่ม/100บาทครับ
โปรโมชั่นพิเศษ เข้ากลุ่ม 4/5/6/7/8/9/10/11 ราคา 500

VIP4 https://goo.gl/ESwaou

VIP5 https://goo.gl/ekcF7V

VIP6 https://goo.gl/4rqw89

VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA

VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x

VIP9 https://goo.gl/1jPZtn

VIP10 https://goo.gl/L8awva

VIP11 https://goo.gl/rojEiG

ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ INBOX ในเพจเลยครับ

https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset