เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 383 คำเชิญ

ตอนที่ 383 คำเชิญ

 

ในขณะนี้เอง ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างก็กลอกตาไปมา บนใบหน้าก็ได้ปรากฏความยากที่จะเชื่อได้ขึ้นมา แม้แต่ผู้ที่เป็นถึงผู้พิทักษ์ของหุบเขาเมฆาม่วง ยังถึงกับถูกคนตบจนเลือดกบปากได้ นี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่เลยก็ว่าได้! ควรทราบว่า ผู้ที่เป็นผู้พิทักษ์ ไม่ว่าจะมองเช่นไรต่างก็ถือได้ว่ามิใช่บุคคลธรรมดา แต่ว่าตอนนี้ยังถึงกับมีบทสรุปออกมาเช่นนี้ได้ เรียกได้ว่าอยู่นอกเหนือการคาดเดาได้เลย

 

โดยเฉพาะเหล่ายอดฝีมือที่มาจากดินแดนหนานฮวงยิ่งทอประกายความตื่นตกใจยิ่งขึ้น ทราบว่าเด็กหนึ่งเบื้องหน้าสายตาผู้นี้คงจะเกิดความยุ่งยากขึ้นมาอย่างมากแล้ว นั้นก็เพราะว่า ความแข็งแกร่งในระดับของหุบเขาเมฆาม่วง ถึงกับถึงคนตบเข้าไปที่หน้าฉาดใหญ่ ก็เหมือนกับไม่เหลือหน้าเอาไว้ให้ยืนหยัดได้อีกแล้ว

 

“เจ้า……” จื่อเฮ่าโกรธเคืองขึ้นมา จากนั้นก็หัวเราะฮ่าฮ่าอย่างบ้าคลั่ง” เจ้าตายแน่ เจ้าตายแน่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ไม่อาจที่จะสามารถปกป้องเจ้าเอาไว้ได้อีกแล้ว!”

 

“สามหาว——”

 

เยี่ยจงพลิกมือ ฝ่ามือที่ตบออกไปในครั้งนี้ ก็ได้ตบเข้าไปจนจื่อเฮ่าผู้นี้หัวหมุนไปมาในทันที จากนั้นก็ในช่วงเวลาต่อมาก็ได้ถูกโยนกระเด็นออกไป จนกระแทกเข้ากับเจ้าเด็กน้อยอีกคนล้มลงกับพื้นเข้าอย่างแรง

 

“หยุดมือ! นี้ก็ได้สร้างความยุ่งยากลำบากให้แก่สำนักของเจ้าและตระกูลของเจ้าเองแล้ว ในตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจที่จะสามารถช่วยเหลือเจ้าได้อีกแล้ว!”

 

ยอดฝีมือที่ได้ถูกตบจนกระเด็นออกไปหลายคนก่อนหน้าในตอนนี้ต่างก็ได้เกิดอาการตกใจขึ้นมาบนใบหน้า แต่ว่าพวกเขาก็ยังพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นมา แต่ละคนพุ่งหมายฆ่าสังหารเข้าไป

 

เยี่ยจงเงยหน้าขึ้นมา ทอสายตาอันเย็นเยียบขึ้นมา จากนั้นเขาก็ได้ฟาดออกไปอีกหนึ่งฝ่ามือ แล้วก็ได้ยินเสียง” ตูม” ดังขึ้นมา ร่างกายของคนเหล่านี้ก็ได้กระเด็นออกไปดุจดั่งว่าวสายป่านขาดก็มิปาน พริบตานั้นเองก็ได้กระเด็นลอยออกไปทางด้านหลัง กระอักโลหิตออกมาคำโตในเวลาเดียวกัน กระดูกบริเวณทรวงอกก็ได้เกิดเสียงแตกขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าถูกทำให้พิการไปกว่าครึ่งแล้ว

 

“อ๊าก——”

 

ยอดฝีมือหลายคนนี้ก็ได้ล้มฟุบกองอยู่บนพื้น กระอักโลหิตออกมาคำโต จากนั้นก็มีสีหน้าปั้นยากอย่างถึงที่สุด พวกเขาที่แท้ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวหาเรื่องกับคนที่ไม่ทราบที่มาที่ไปจากที่ใดกัน? ถึงกับมีความแข็งแกร่งได้จนถึงเพียงนี้? ไม่แต่เพียงสามารถตบพวกเขาที่เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มผู้มีพรสวรรค์กระเด็นลอยออกไป อีกทั้งยังมิได้เกิดความหวาดเกรงต่อหุบเขาเมฆาม่วงเลยแม้แต่น้อย เรียกอย่างง่ายๆ ก็คือมิได้มีความหวาดกลัวเลย

 

“พยุงเขาขึ้นมาแล้วไสหัวไปซะ” เยี่ยจงก็ได้กวาดสายตามองเข้าไปยังกลุ่มคนเหล่านี้ ด้วยสีหน้าที่เย็นชาอย่างยิ่ง ราวกับว่าเมื่อครู่เขาพึ่งจะตบแมลงวันไปหลายตัวก็มิปาน” พวกเจ้านับได้ว่าโชคดีแล้ว เพราะที่นี้คืออานาจักรไฟ”

 

แล้วก็ได้กล่าวคำนี้ออกมาอีกครั้ง จนทำให้ผู้คนรู้สึกสั่นเทาไปทั่วทั้งร่าง โดยเฉพาะเหล่ายอดฝีมือที่พบเห็นการลงมือของเยี่ยจงถึงสองครั้งสองครา ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแต่ละคนกลับรู้สึกว่าหนังตาเกิดอาการกระตุกขึ้นมา พวกเขาเมื่อได้ฟังคำพูดที่เรียบเฉยของเยี่ยจงนี้แล้ว ก็ทำให้นึกถึงศพกองเท่าภูเขาโลหิตไหลดั่งมหาสมุทร

 

ยังดีที่สถานที่แห่งนี้คืออาณาจักรไฟ ดังนั้นเด็กน้อยที่โชคร้ายเหล่านี้ก็เพียงแต่แค่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น ถ้าหากในสถานที่แห่งนี้มิใช่อาณาจักรไฟเล่า? เช่นนั้นผลสุดท้ายเกรงว่าคงจะน่าหวาดกลัวเกินกว่าที่จะคาดคิดเอาไว้ได้แล้ว

 

ยอดฝีมือของหุบเขาเมฆาม่วงหลายคนนั้นในตอนนี้ต่างก็ได้ทอสีหน้าประหลาดออกมา พวกเขามองเข้าไปยังเยี่ยจงอย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง พยายามลุกขึ้นยืนจากพื้น เพื่อที่จะได้พยุงจื่อเฮ่าจากไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่คำพูดที่โหดเหี้ยมก็ไม่กล้าที่จะทิ้งเอาไว้ นั้นก็เพราะว่าพวกเขาย่อมต้องเข้าใจเป็นอย่างดี บุคคลเบื้องหน้าสายตาผู้นี้ มีที่มาที่ไปที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หากว่ายังจะเอาแต่อาลาวาดต่อไปแล้วละก็ อีกฝ่ายอย่างน้อยคงต้องสังหารพวกเขาลงไปในทันทีอย่างแน่นอน

 

ท่ามกลางตึกหลังใหญ่แห่งนี้ ก็ได้เงียบสงบอยู่เป็นเวลานาน ผู้คนไม่น้อยต่างก็ไม่กล่าววาจา เหม่อมองไปยังทางด้านของเยี่ยจงด้วยสายตาประหลาดอย่างถึงที่สุด

 

ช่วงเวลาเพียงสั่นๆ ที่ผ่านไปเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น ก็ได้ตบจนอัจฉริยะแห่งสำนักหวู่หว่างและเหล่าผู้พิทักษ์แห่งหุบเขาเมฆาม่วงลอยกระเด็นไป นี้ถือได้ว่าเป็นระดับความแข็.แกร่งและโหดเหี้ยมถึงระดับใดกัน ท่ามกลางภายในอาณาจักรไฟ เกรงว่าแม้แต่คนของทางราชวงศ์รัฐไฟก็ยังไม่ทราบว่ามีความหาญกล้าที่จะกระทำเช่นนี้หรือไม่? เด็กหนุ่มนามซิงผู้นี้ ที่แท้มาจากสถานที่แห่งใดกัน ถึงกับมีความแข็งแกร่งกล้าหาญได้ถึงเพียงนี้?

 

องค์หญิงจื่อหวินทอสีหน้าประหลาด ขนตาคู่งามก็ได้ขยับไปมา หลังจากที่นางมองไปที่เยี่ยจงแล้ว พริบตานั้นก็จึงได้ค่อยยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าวออกไป” พี่ท่านซิง ในครั้งนี้ต้องลำบากให้ท่านลงมือแล้ว คนเบี๊ยล่างของบ้านข้าเหล่านั้นช่างไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ อีกทั้งยังก็ยังรู้สึกไม่ดีที่จะต้องลงมือ รบกวนสหายทั้งหลายไปก็ไม่น้อย การลงมือของท่านในครั้งนี้ ก็เหมือนกับการออกหน้าให้แก่หน้า ท่านวางใจเถอะ เรื่องในครั้งนี้ข้าจะอธิบายกับท่านพ่อเอง คนของหุบเขาเมฆาม่วงย่อมไม่ไปรบกวนท่านอย่างแน่นอนฃ”

 

คำพูดที่แฝงอยู่ภายในคำพูเดขององค์หญิงจื่อหวิน ที่กล่าวอย่างขออภัยด้วยความจริงใจ

 

เยี่ยจงพยักหน้าให้ มิได้กล่าวถามอะไรมากมาย ไม่สนว่าเรื่องจะเป็นเช่นไร สิ่งเหล่านี้ก็มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนเองมากมายนัก อีกทั้งเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับทางหุบเขาเมฆาม่วง เยี่ยจงยังคงไม่มีกระจิตกระใจที่จะสนใจสิ่งเหล่านี้

 

“น่าเสียดายที่ถูกเจ้าเด็กน้อยกลุ่มนี้รบกวนการทำสมาธิไป วันนี้อย่างไงเสียก็มิได้มีกระจิตกระใจที่จะทำสมาธิต่อไปอีกแล้วละ” เยี่ยจงถอนหายใจ นั่งลงไปอีกครั้ง สายตาจ้องมองไปยังทางด้านบนของศิลาดวงตะวันบริสุทธิ์

 

เมื่อได้ยินเขากล่าวออกมา ยอดฝีมือของบริเวณโดยรอบต่างก็ส่งเสียงดังจี๊ออกมา คนผู้นี้ก็โหดร้ายจนเกินบรรยายได้เลยจริงๆ พึ่งจะตบจนกระเด็นลอยไปคนสองกลุ่ม ทว่าเขากลับไม่เห็นอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง ยังถึงกับถอนหายใจออกมาว่าไม่มีเวลาทำสมาธิอีก

 

“การทำสมาธิเช่นนั้น ความจริงแล้วก็ต้องดูตามโอกาส แข็งขืนฝืนไปก็ไม่ช่วยอะไร” องค์หญิงจื่อหวินยิ้มขึ้นมาเบาๆ สายตาทอดมองไปยังท่ามกลางของศิลาดวงตะวันบริสุทธิ์” ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนนี้ต่อให้สามารถตีความอันใดที่อยู่ภายในศิลาดวงตะวันบริสุทธิ์แล้วละก็ ก็เป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ เท่านั้น……ท่ามกลางศิลาดวงตะวันบริสุทธิ์นั้น ก็สามารถที่จะเข้าถึงการปรากฏของตำนานหงสาไม่สูญสลายได้ จึงจะเรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จที่แท้จริงแล้วกระมั่ง?”

 

“พี่ท่านมีท่าทางองอาจผ่าเผย อยู่ในระดับขั้นของอัจฉริยะแห่งเผ่าเลยก็ว่าได้ น่าจะมีที่มาที่ไปที่ไม่ธรรมดา เพียงแต่ว่าผู้น้องมีประสบการณ์อยู่น้อย ยังมิเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของพี่ท่าน ถือได้ว่าเป็นที่น่าผิดหวังยิ่งนัก บุคคลช่นอย่างพี่ท่าน สมควรที่จะมีชื่อเสียงกระเดืองเกรียงไกรไปทั่วทั้งสี่ดินแดน” องค์หญิงจื่อหวินหันกลับมามอง ดวงตาทอประกายระยิบระยับ จ้องมองไปที่เยี่ยจง ไม่ทราบว่ากำลังคิดอันใดกันอยู่

 

“หากข้าบอกว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของการเดินทางเข้ามายังดินแดนแห่งนี้ องค์หญิงจะเชื่อหรือไม่?” เยี่ยจงยิ้มขึ้นมาน้อยๆ ราวกับกำลังกล่าววาจาล้อเล่น

 

แต่ว่า องค์หญิงจื่อหวินที่เงียบงันกลับมีจิตใจที่สั่นไหวขึ้นมา สีหน้าทอเป็นประกายประหลาดขึ้น นั้นก็เพราะว่า ท่ามกลางสี่ดินแดน ย่อมต้องมีอยู่ส่วนหนึ่งที่ชื่นชอบผู้ที่มีพรสวรรค์อยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อช่วงเวลาที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นมา ออกเดินไปในยุทธภพ จนสร้างชื่อเป็นที่น่าตกใจ และจากมุมมองขององค์หญิงจื่อหวินในตอนนี้ เยี่ยจงถือได้ว่ามีคุณสมบัติที่เพรียบพร้อมแล้ว

 

เหล่ายอดฝีมือรอบด้านนั้นเงียบงัน แต่ละคนต่างก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความตกใจ หากมองเช่นนี้แล้วละก็ ชายหนุ่มเบื้องหน้าผู้นี้ย่อมต้องมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดาสามัญ ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่อาจหาญอาลาวาดได้มีความลำพองถึงเพียงนี้ กระทำเรื่องราวได้จนเป็นที่น่าตื่นตกใจได้ถึงเพียงนี้

 

“ที่พี่ท่านมาครั้งนี้ก็มาเพราะเพื่อตำนานหงสาไม่สูญสลายอย่างงั้นหรือ?” องค์หญิงจื่อหวินอมยิ้ม ภายในดวงตาก็ได้เกิดความเคร่งเครียดขึ้นมาเป็นสาย

 

“แม้จะมิได้ตั้งใจมาเพื่อการนี้ เพียงแต่ว่าก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่กำลังสนใจอยู่” เยี่ยจงหยักไหล่ไปมา” ข้าเพียงแค่ผ่านทางเข้ามายังอาณาจักรไฟก็เท่านั้น แต่ว่าหลังจากที่เกิดเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ หากไม่เข้าร่วมสักหน่อย เข้าสู่วังวนการแย่งชิงซักรอบ ก็คงจะดูไม่ดีเท่าไหร่?”

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” องค์หญิงจื่อหวินพยักหน้า จากนั้นหลังจากที่นางได้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ล้วงบัตรเชิญหยกแผ่นหนึ่งออกมา วางเอาไว้อยู่ด้านบนโต๊ะ ยื่นไปจนถึงทางด้านหน้าของเยี่ยจง อมยิ้มแล้วกล่าวออกมา” นี้คือบัตรเชิญที่เข้าร่วมมายังวังหลังขององค์หญิงภายในอาณาจักรไฟ งานเลี้ยงสังสรรค์ขององค์หญิงแห่งอาณาจักรไฟในครั้งนี้จะดำเนินด้วยกันทั้งสิ้นสามวันสามคืน กล่าวกันว่าจัดขึ้นมาเพื่อที่จะเป็นการร่วมตัวของเหล่าวีรบุรุษสี่ดินแดนเข้าพบปะกัน ในวันเวลาเดียวกันภายในงานเลี้ยงก็เรียกได้ว่าจะเปิดเผยข่าวที่เกี่ยวข้องกับตำนานหงสาไม่สูญสลายอีกด้วย พี่ซิงท่านหากว่ามีความสนใจ ก็สามารถที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงได้”

 

เยี่ยจงขมวดคิ้วไปมา มิได้กล่าวอันใดออกมา

 

“แน่นอนว่า เมื่อกล่าวถึงงานเลี้ยง ก็มิใช่มีแต่เพียงแค่การพบปะเท่านั้นแน่ กล่าวกันว่าสมาคมการประมูลที่ใหญ่ที่สุดภายในอาณาจักรไฟก็ได้นำสมบัติประหลาดส่วนหนึ่งมาอีกด้วย เพื่อที่จะจัดการการประมูลขึ้นภายในงานเลี้ยงพบปะ กล่าวกันว่าสิ่งที่นำมาวางประมูลนั้นถือได้ว่าจัดอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด ร่วมไปทั้งยังมีสมบัติเซียน、ทักษะเซียนปรากฏขึ้นมา พี่ซิงท่านอย่าได้พลาดไปละ”

 

สีหน้าของเยี่ยจงมีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย สิ่งที่ก่อความยุ่งยากให้แก่เขามากที่สุดในตอนนี้ก็คือ ไม่อาจที่จะทำให้ตนเองสามารถใช้ออกมาด้วยทักษะยุทธ์และมนต์ตราเซียนที่มีอยู่ได้ นั้นก็เพราะว่าจะเป็นการเปิดเผยออกมาได้อย่างง่ายดาย และหากว่าในตอนนี้สามารถที่จะฝึกฝนทักษะเซียนของสำนักใดสำนักหนึ่งได้แล้วละก็ เช่นนั้นเมื่อกล่าวออกมาจากในมุมมองของเขาเองในตอนนี้ ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างแน่นอน

 

เพราะว่าในครั้งนี้ หลังจากที่คิดได้เช่นนั้น เยี่ยจงจึงได้พยักหน้าไปมา หัวเราะออกมาแล้วกล่าว” ในเมื่อองค์หญิงจื่อหวินเชื่อเชิญได้อย่างอบอุ่นถึงเพียงนี้ ผู้นั้นก็ขอรับบัตรเชิญใบนี้เอาไว้ เมื่อถึงเวลาจะต้องไปยังงานเลี้ยงอย่างแน่นอน ยังคง้องขอให้องค์หญิงจื่อหวินและเหล่าผู้กล้ารุ่นเยาว์ทั้งหลายชี้แนะให้มาก เพื่อที่จะทำให้ผู้น้อยได้เปิดโลกทัศน์”

 

“นี้ย่อมต้องแน่นอน” องค์หญิงจื่อหวินเผยร้อยยิ้มที่มีเสน่ห์ออกมา ด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่ง

 

“อย่างนั้นก็มาสนทนากันต่อเถอะ” เยี่ยจงหัวเราะขึ้นมา จ้องมองไปยังท่ามกลางภายในศิลาดวงตะวันบริสุทธิ์อีกครั้ง เพียงแต่ว่า พึ่งจะละสายตากลับมา เขาก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที สีหน้าในตอนนี้ก็เปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นเย็นเยียบขึ้นมาหลายส่วนฃ

 

“ตูม——”

 

ท่ามกลางตึกใหญ่ ทันใดนั้นก็ได้เกิดสายลมบ้าคลั่งโชยพัดเข้ามา จากนั้นก็ได้พบเห็นเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นอยู่บริเวณทางเข้าของตึกใหญ่หลังนี้ คนผู้นี้เป็นผู้ที่มีอายุน้อยผู้หนึ่ง บนร่างกายสวมเอาไว้ด้วยชุดเกราะสีดำ ในตอนนี้ก็ได้ก้าวเข้ามาภายในตึกใหญ่ บนร่างกายก็ได้แผ่พุ่งพลังการต่อสู้ขึ้นมา

 

“นี้คือหนึ่งในผู้มีพรสวรรค์แห่งสำนักหวู่หว่าง หยี่หม่า” องค์หญิงจื่อหวินขมวดคิ้วขึ้นมาเบาๆ เปิดเผยสถานะของผู้ที่มาออกมา

 

“หนึ่งในสี่อัจฉริยะสำนักหวู่หว่าง?” ยอดฝีมือไม่น้อยต่างก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความตกใจ ทราบว่าสถานะของคนผู้นี้แห่งสำนักหวู่หว่างนั้นไม่ธรรมดา ในตอนนี้อย่างน้อยก็พอที่จะทราบได้ว่าเรื่องราวก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร เมื่อได้เข้ามายังสถานที่เกิดเหตุ

 

“เมื่อครู่ เป็นเจ้าเองที่ทำร้ายคนในสำนักข้างั้นหรือ?” หยี่หม่าทอดสายตามองไปยังร่างกายของเยี่ยจง ภายในดวงตาก็ได้ปรากฏรังสีฆ่าฟันขึ้น แววตาของเขานั้นเย็นชาอย่างยิ่ง อีกทั้งยังแฝงเอาไว้ด้วยความดุร้ายอย่างถึงที่สุด

 

เยี่ยจงกวาดสายตาจ้องมองไปยังคนผู้นี้อย่างเย็นชา ไม่ได้มีเครื่องบ่งบอกอันใด คนของแดนลับแลแห่งนี้ก็เป็นบ้ากันเกินไปแล้ว คิดว่าตนเองมักจะอยู่เหนือกว่าผู้อื่น แต่ว่าในด้านของพลังฝีมือกลับงั้นๆ เท่านั้นเอง

 

“คุณชายกำลังพูดคุยกับเจ้า เจ้าไม่ทราบว่าสำควรกระทำเช่นไรงั้นหรือ?” หยี่หม่าพบว่าเยี่ยจงไม่กล่าววาจา อดไม่ได้ที่จะร้องออกมา ในเวลาเดียวกันบนร่างกายของเขาก็ได้แผ่พลังความบ้าคลั่งปะทุขึ้นมา จนทำให้ยอดฝีมือไม่น้อยที่สัมผัสได้ต้องถอยรนไปหลายทางด้านหลังอยู่หลายก้าว ทราบว่าตนเองยากที่จะต้านทานได้

 

องค์หญิงจื่อหวินขมวดคิ้วไปมา คิดจะกล่าวอันใด แต่ว่ากระนั้นก็ยังมิได้เอ่ยปากกล่าวอันใดออกมา

 

เยี่ยจงยกกาน้ำชาที่อยู่เบื้องหน้าขึ้น จากนั้นก็ได้ค่อยๆ โค้งตัวลงรินน้ำชา แล้วจึงได้ค่อยลุกขึ้นยืน ขมวดคิ้วแล้วกล่าว” คนของสำนักหวู่หว่างพวกเจ้ามักชมชอบมาหาที่ตายกันอย่างงั้นหรือ? คนหนึ่งมาทำลายสมาธิของข้ายังไม่พอ ตอนนี้ยังจะมาอีกคนอีกงั้นหรือ? เจ้าคิดที่จะลงมือต่อข้าหรือยังไงกัน?”

 

“เจ้าทำร้ายศิษย์น้องของข้า แน่นอนว่าย่อมต้องมารับโทษแต่โดยดี ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด! ตอนนี้ เจ้าต้องการที่จะลงมือก่อนเอง หรือว่าให้ข้าเริ่มเอง?” หยี่หม่าหัวเราะอย่างเย็นชา ภายในน้ำเสียงแฝงเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบและไม่แยแส

 

“ตัวข้าเองนั้นเรียกได้ว่าเป็นคนที่ไม่ชมชอบลงมือต่อผู้อื่นก่อน ยังไงเสียเจ้าก็เข้ามาเถอะ” เยี่ยจงถอนหายใจ สีหน้าเย็นชาอย่างยิ่ง เกี่ยวกับบุคคลผู้นี้ เขาก็มิได้มีความสนใจที่มากมายนัก

 

“เจ้า——หาที่ตาย!”

 

หยี่หม่าโกรธเคืองขึ้นมา ในระหว่างที่พูดคุย แล้วก็ได้พบกับพลังปราณสีดำลอยครอบคลุมอย่างท่ามกลางอากาศ กลายเป็นประกายสายฟ้าสายหนึ่ง มุ่งหน้าเข้าปกคลุมยังบริเวณที่ๆ เยี่ยจงอยู่

 

เพียงแค่ชั่วเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว ทั่วทั้งอารามใหญ่ก็ได้เกิดอาการสั่นไหวขึ้นมาอย่างช้าๆ ใช้ออกมาด้วยพลังที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง หยี่หม่าผู้นี้ถึงแม้จะยังมิได้เข้าสู่ระดับพลังขั้นราชัน แต่ว่าพลังขอบเขตก็มิได้อยู่ห่างกันมากอีกมากนัก นั้นก็เพราะว่าเขานั้นถือได้ว่ามีพลังฝีมือในขั้นวิทยายุทธ์ขั้นก่อฟ้าขอบเขตลมปราณสูงสุด ไม่แปลกเลยที่จะมีความบ้าคลั่งได้จนถึงระดับขั้นนี้ได้

 

“ร้ายกาจมาก! หนึ่งในสี่อัจฉริยะสำนักหวู่หว่าง ที่แท้ก็มีพลังที่เกินกว่าธรรมดาจนน่าตกใจ!” ยอดฝีมือท่ามกลางสนามต่างก็เกิดอาการตกใจ ไม่เพียงแต่เป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์ที่ก้าวเข้าไปยังขอบเขตกายเนื้อไม่สูญสลายเท่านั้น ทอดตามองทั่วทั้งแผ่นดิน ก็ยากที่จะหาคู่ต่อสู้ที่อยู่ในช่วงวันเดียวกันได้ยากอย่างถึงที่สุดแล้วฃ

 

แต่ว่า ไม่นานนัก กลุ่มผู้คนก็ได้มองเข้าไปยังบนตัวของเยี่ยจง

.

.

.

.

กลุ่มละ 80ตอน/กลุ่ม/100บาทครับ
โปรโมชั่น กลุ่ม 5-11 ราคา 600

VIP5 https://goo.gl/ekcF7V

VIP6 https://goo.gl/4rqw89

VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA

VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x

VIP9 https://goo.gl/1jPZtn

VIP10 https://goo.gl/L8awva

VIP11 https://goo.gl/rojEiG

ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ INBOX ในเพจเลยครับ

https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset