เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 392 ความเด็ดขาด

ตอนที่ 392 ความเด็ดขาด

 

“ผู้น้อยจางเฟ่ยเฉิน เป็นเพียงผู้คุ้มกันธรรมดาของหุบเขาเมฆาม่วงเท่านั้น”ชายหนุ่มท่าทางองอาจก็ได้เอ่ยปากแล้วยิ้มน้อยๆ ออกมา ภายในรอยยิ้มเป็นไปอย่างธรรมชาติ ราวกับทำให้ผู้คนได้รับความสดชื่นท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิก็มิปาน

 

แต่ว่า เยี่ยจงไม่ส่งเสียงอันใดเพียงแต่ขมวดคิ้วไปมา นั้นก็เพราะว่าเขาตรวจพบได้อย่างกระจ่างแจ้งว่า จางเฟ่ยเฉินผู้นี้มีจิตสังหารต่อตนเองที่มากขึ้นกว่าเดิมอยู่หลายส่วน หรือจะกล่าวได้ว่า จิตสังหารที่เขามีต่อตนเองนั้นมิได้ลดทอนลงเลยแม้แต่น้อย

 

“พี่ใหญ่ซิงท่านช่างเป็นวีรบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ อีกทั้งยังมีคุณลักษณะของยอดคน แต่ว่า สถานที่แห่งนี้เป็นถึงเขตแดนของรัฐเหลียน การลงมือภายในสถานที่แห่งนี้ ย่อมไม่เป็นสิ่งที่ดีอย่างแน่นอน”จางเฟ่ยเฉินอมยิ้มขึ้นมา จากนั้นสายตาของเขาในตอนนี้ก็ได้มองไปยังทางด้านของหยินจวอที่กระอักเลือดถอยออกไปผู้นั้น แล้วก็ได้กล่าวต่อ”ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนต่างก็เป็นคนที่อยู่ในยุทธภพเฉกเช่นเดียวกัน การฝึกปรือขึ้นมาได้นั้นย่อมไม่ง่ายดาย เพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ร้องจะฆ่าจะแกงกัน เช่นนี้มันดีแล้วอย่างงั้นหรือ”

 

“ถ้างั้นความหมายของน้องจาง ก็คือมีคนคิดที่จะลงมือต่อข้า ข้าก็ยังต้องปล่อยให้เขาทุบตีใช่หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็อย่าได้ลงมือกลับใช่หรือไม่ ? ”เยี่ยจงกล่าวออกมาพร้อมกับจ้องมองไปทางด้านของจางเฟ่ยเฉินด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ในเวลาเดียวกันเอ่ยวาจาปะทะคารมกลับไป”หากว่าน้องจางเจ้าพยักหน้าแล้วละก็ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ทำอะไร ขอเพียงเจ้าปล่อยให้ข้าสะบัดตบไปที่ปากของเจ้าซักสิบครา ข้ายินดีที่จะสะบัดแขนข้างหนึ่งของตนเอง แล้วขอขมาเจ้าไร้ประโยชน์ผู้นั้น”

 

“เหอะเหอะ พี่ใหญ่ซิงท่านเกรงว่าจะเข้าใจความหมายของข้าผิดไปแล้ว ข้าเพียงแต่บอกกล่าวต่อท่านว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีก็เท่านั้นเอง กลับมิได้ต้องการที่จะชี้แนะหรือกระทำอันใดต่อท่าน เพียงแต่ต้องการจะบอกต่อท่าน ว่าการกระทำของท่านเช่นนี้ ข้าอยู่ในหุบเขาเมฆาม่วงพบเห็นมาก็ไม่น้อย”สีหน้าของจางเฟ่ยเฉินมิได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก ยังคงอมยิ้มแล้วมองไปทางด้านของ เยี่ยจง

 

“จะเห็นมามากหรือไม่มาก แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้ากัน ? น้องจางไม่รู้สึกว่าตนเองยุ่งเรื่องของผู้อื่นมากเกินไปอย่างงั้นหรือยังไง ? ”เยี่ยจงขยับปากอย่างเกียจคร้าน สีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง ภายในสายตากได้แฝงเอาไว้ด้วยความเหยียดหยาม

 

“ความจริงมันก็มิได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับหุบเขาเมฆาม่วงข้าอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ท่านถึงกับมีความสัมพันธ์ที่ดีกับองค์หญิงแห่งหุบเขาเมฆาม่วงข้า เช่นนั้นย่อมต้องมีความเกี่ยวข้องกันอย่างมากแน่นอน บุคคลเยี่ยงฝ่าบาทหุบเขาข้า หากมีกลุ่มเจ้าแมวเจ้าสุนัขเข้ามาใกล้แล้วละก็ แน่นอนว่าย่อมต้องสะอาดหมดจดเสียหน่อย มิใช่หรือ ? ”จางเฟ่ยเฉินยังคงกล่าวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม เพียงแต่ว่าเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกขาน ภายในคำพูดแฝงเอาไว้ด้วยรสชาติบางอย่าง ที่ทำให้รู้สึกดูต้อยต่ำอย่างไร้ที่เปรียบ

 

ท่ามกลางห้องโถงใหญ่ในตอนนี้ก็ได้เงียบสงบลง มีผู้คนไม่น้อยต่างก็จ้องมองไปยังฉากเบื้องหน้าด้วยสายตาที่สงบเสงี่ยม ความจริงผู้คนมากมายยังคิดไว้ว่า ทั้งสองฝ่ายยังไงเสียก็ต้องเข้าประหัตประหารกันขึ้นมา แต่ว่าเมื่อดูมาจนถึงตอนนี้ การออกหน้าของจางเฟ่ยเฉินแห่งหุบเขาเมฆาม่วงผู้นี้ ก็ได้มิได้เตรียมการที่จะยั้งมือเอาไว้อยู่แล้ว

 

“จางเฟ่ยเฉิน เจ้าเกินไปแล้ว ! ”

 

องค์หญิงจื่อหวินร้องขึ้นมา ภายในน้ำเสียงประดุจกลองที่ดังสนั่น ภายในดวงตาก็ได้ปรากฏโทสะขึ้นมา

 

“ฝ่าบาท ควรสำรวมในวาจาของตนเองด้วย ท่านมิได้แต่เพียงแค่ของท่านผู้เดียวเท่านั้น ท่านยิ่งเป็นถึงองค์หญิงของสำนักข้า ต้องระมัดระวังทุกช่วงเวลา อย่าได้ทำตัวเหมือนกับเจ้าเด็กน้อยที่ไม่ทราบที่ไป จะทำให้กลายเป็นคนไร้มารยาทไปได้”จางเฟ่ยเฉินอมยิ้มขึ้นมา จากนั้นเขาก็ได้หันหน้ากลับไป กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา”จื่อเฮ่า พวกเจ้าหลายคนส่งฝ่าบาทจากไป อย่าได้ให้อยู่ในสถานที่ที่เหมือนดังกรงนกที่เปี่ยมด้วยกลิ่นโสมมเช่นนี้ มันจะดูไม่ดี”

 

ในครั้งนี้ ไม่แต่เพียงแค่องค์หญิงจื่อหวิน แม้แต่เหยียนหลิงหลงและชาวยุทธ์รัฐเหยียนส่วนหนึ่ง ในตอนนี้ก็ได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนอยู่เล็กน้อย ดูไปแล้วปั้นยากอยู่หลายส่วน

 

“ข้าจะดูว่าพวกเจ้าคนใดจะกล้ากัน ! ”องค์หญิงจื่อหวินยืนขึ้น ทอสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยโทสะปรากฏขึ้นมาอยู่บนใบหน้า นางไม่เคยแม้แต่จะคิดว่า จางเฟ่ยเฉินถึงกับที่จะกระทำเช่นนี้ต่อตนเอง

 

“ฝ่าบาท ก่อนที่จะออกเดินทางในครั้งนี้ จ้าวหุบเขาได้กำชับเอาไว้ ให้ข้าทุ่มเททุกสิ่งเข้าปกป้องท่าน ดังนั้นขอฝ่าบาทอย่าได้เข้าใจผิด”จางเฟ่ยเฉินยิ้มขึ้นมาน้อยๆ จากนั้นก็ได้โบกมือคราหนึ่ง

 

จื่อเฮ่าและพวกต่างก็พยักหน้า จากนั้นก็ได้พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าเข้าไปยังบริเวณทางด้านที่องค์หญิงจื่อหวินอยู่

 

เยี่ยจงก็ได้หันหน้ากลับมาในทันที มองไปที่องค์หญิงจื่อหวินคราหนึ่ง อดที่จะหัวเราะกล่าวออกมามิได้:”น้องจื่อหวิน ในเมื่อเจ้าเรียกขานข้าว่าพี่ใหญ่ซิง ข้าผู้นี้ก็จะเป็นพี่ใหญ่ให้ แน่นอนว่าย่อมต้องปกป้องเจ้าจากภยันตรายทั้งปวง เพียงแค่เจ้าในตอนนี้พยักหน้าเพียงคราเดียว เช่นนั้นข้าก็ขอรับประกันว่า จะไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้เจ้าได้ในรัศมีร้อยลี้”

 

องค์หญิงจื่อหวินงงงันวูบขึ้นมาเล็กน้อย มองไปยัง”พี่ใหญ่ซิง”ของตนเองด้วยความตื่นตกใจ เห็นได้ชัดว่านางก็คิดไม่ถึงว่า เขาถึงกับเอ่ยออกมาเช่นนี้ ทว่าไม่นานนักนางก็ค่อยมีปฏิกิริยากลับคืนมา ในตอนนี้นางก็ได้เกิดจิตขัดแย้งกันขึ้นอยู่ภายในจิตใจ การตัดสินใจของนางในตอนนี้ถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง อีกทั้งยางยังมองออกว่า”ซิง”เบื้องหน้าสายตาผู้นี้ ย่อมมีความภาคภูมิใจในตนเองเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังไม่ลงมือโดยสุ่มสี่สุ่มห้า นอกเสียจากตนเองจะเอ่ยปากขึ้นมา ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะไม่เข้าช่วยเหลือ

 

ชั่วเวลาเพียงแค่อึดใจเดียว องค์หญิงจื่อหวินก็ได้ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันไปมา จากนั้นก็ได้พยักหน้าเบาๆ

 

เยี่ยจงยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มอันน่าดูก็ได้ปรากฏขึ้นมาอยู่บนใบหน้าอันหล่อเหลา หลังจากพริบตานั้น เขาก็ได้ฟาดฝ่ามือออกไปทางด้านหลัง

 

“ผลัวะ——”

 

ตามการฟาดฝ่ามือของเยี่ยจงนี้ ร่างกายของจื่อเฮ่าและยอดฝีมือคนอื่นๆ ก็ได้สั่นไหวขึ้นมาในเวลาเดียวกัน บนใบหน้าก็ได้มีรอยประทับของฝ่ามือขึ้นมา จากนั้นร่างกายก็ได้ลอยกระเด็นลอยออกไป จนเข้ากระแทกกับกำแพงแล้วร่วงลงสู่พื้นดิน

 

“เจ้า——”จื่อเฮ่าอ้าปากตาค้าง ไม่คาดคิดเลยว่าบุคคลเบื้องหน้าสายตาผู้นี้ยังถึงกับสามารถที่จะตบตัวเองลอยกระเด็นออกไปได้อย่างง่ายดายได้ถึงเพียงนี้ ในตอนนี้บนใบหน้าของเขาก็ได้ปรากฏความเจ็บปวดอันแสบร้อนขึ้น จนทำให้เขาเกือบที่จะลุกขึ้นมาจากพื้นไม่ได้ ในหุบเขาเมฆาม่วง เขาถือได้ว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งก็ว่าได้ แต่คิดไม่ถึงว่าในวันนี้กลับต้องเสียท่าได้อย่างหมดจดเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นความอัปยศที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้

 

รวมไปทั้งยอดฝีมือที่หลงเหลืออีกหลายคนของหุบเขาเมฆาม่วงต่างก็อ้าปากตาค้าง บนใบหน้าก็ได้ปรากฏความตกใจขึ้นมา ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดว่าคนของสำนักหวูหว่างนั้นไม่เอาไหน แต่ว่าหลังจากที่ได้พบเจอกับการลงมือกับตัวของ”ซิง”ผู้นี้แล้ว จึงค่อยทราบว่าอีกฝ่ายนั้นมีคุณสมบัติที่ไร้ผู้ต้านอย่างแท้จริง ดุจดั่งตามที่ถูกเล่าขานกันก็มิปาน เขาปรากฏตัวขึ้นที่อาณาจักรเหลียนเพียงไม่กี่วัน แต่ว่าก็สะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนได้

 

“สหาย เจ้าสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องของภายในหุบเขาเมฆาม่วงเช่นนี้ ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง ? ”เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าของจางเฟ่ยเฉินไร้รอยยิ้ม เขาจ้องเขม็งไปทางด้านของเยี่ยจงอย่างเคร่งเครียด เอ่ยปากกล่าวออกมาด้วยความลังเล

 

“อะไรกันอยู่เล่า ? เพียงแต่ว่าคนกลุ่มที่น่าชังนี้มีไม่เพียงแต่ต้องการที่จะเข้ามาใกล้ทางด้านข้างของข้า จึงได้ถูกข้าตบจนลอยกระเด็นออกไป เจ้าจะบอกว่า ข้าทำอันใดเกินเลยไปกัน ? ”เยี่ยจงยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวออกมา

 

ยอดฝีมือมากมายท่ามกลางห้องโถงใหญ่ในตอนนี้แต่ละคนต่างก็ทอสีหน้าประหลาดใจออกมา การชิงชัยของบุคคลทั้งสองคนนี้ เห็นได้ชัดว่าคงมาถึงจุดที่ต้องลงไม้ลงมือกันแล้ว

 

“ศิษย์คุ้มกันแห่งหุบเขาเมฆาม่วงข้า เพียงแค่ต้องการที่จะคุ้มครองฝ่าบาทจากไปเท่านั้น หากเจ้าขัดขวาง ก็คือคิดที่จะเป็นปรปักษ์กับหุบเขาเมฆาม่วงข้าอย่างงั้นหรือ ? ”จางเฟ่ยเฉินทอสีหน้าเย็นชาขึ้นมา แต่ว่าภายในคำพูดกลับประดุจดั่งคมมีดก็มิปาน คมกริบเป็นอย่างยิ่ง

 

“ตาข้างไหนของเจ้ากันที่เห็นว่าข้าคิดที่จะเป็นปรปักษ์กับหุบเขาเมฆาม่วงเจ้ากัน ? ยิ่งไปกว่านั้น ก็เพียงแค่สุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น มีคุณสมบัติใดที่จะสามารถเป็นตัวแทนของหุบเขาเมฆาม่วงได้กัน ? ”เยี่ยจงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ แล้วก็ยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวออกมา แต่ว่าทุกๆ คำพูดที่ได้กล่าวออกมาแฝงเอาไว้ด้วยแรงกระทบจิตใจอย่างถึงที่สุด

 

ควรทราบว่า กล่าวกันโดยทั่วไปแล้ว หุบเขาเทพและแดนลับแลโดยทั่วไปแล้วนั้นแตกต่างกัน ท่ามกลางหุบเขาเทพ มีเพียงแค่สายโลหิตของจ้าวหุบเขาที่เป็นผู้ปกครอง ส่วนบุคคลอื่นๆ นั้น สามารถกล่าวได้ว่าเป็นศิษย์ แล้วก็สามารถที่จะกล่าวได้ว่าเป็นคนของสำนัก แต่ว่าต่อให้ต้องออกศึก ก็ไม่อาจที่จะแสดงออกมาเช่นนี้ และการที่เยี่ยจงกล่าวออกมาว่าจางเฟ่ยเฉินเป็นได้แต่เพียงแค่สุนัขของหุบเขาเมฆาม่วงเท่านั้น ย่อมต้องมีความหมายบางอย่างแฝงเอาไว้ กลับมิผิดอันใด เพียงแต่ กลับทำให้รู้สึกเหมือนกับถูกคนเหยียดหยามแล้วตบเข้าไปที่ใบหน้าก็เท่านั้นเอง

 

ท่ามกลางสถานที่แห่งนี้ ยอดฝีมือส่วนใหญ่ที่มาจากดินแดนซีฮวงในตอนนี้ต่างก็เปี่ยมไปด้วยความสุข นับตั้งแต่จางเฟ่ยเฉินผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นมา ก็ไม่เห็นแก่หน้าของรัฐเหยียน อีกทั้งยังไม่เห็นทั่วทั้งดินแดนซีฮวงอยู่ในสายตา ตนเองสามารถทอดตามองไปทั่วทั้งดินแดนซีฮวง แต่ว่าตอนนี้กลับถูกเยี่ยจงตบเข้าไปที่ใบหน้า จะอย่างไรก็ย่อมต้องทำให้คนเหล่านี้เกิดความยินดีขึ้นอย่างแน่นอน

 

“สหาย นี้เจ้ายังยืนกรานที่จะคิดเป็นปรปักษ์กับหุบเขาเมฆาม่วงเราอย่างงั้นหรือ ? ”สีหน้าของจางเฟ่ยเฉินก็ได้ทอประกายเย็นเยียบออกมา เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

“ข้าได้กล่าวออกมาแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ข้าทวนอีกครั้งหรอกนะ ? ”เยี่ยจงกล่าวออกมา ภายในคำพูดแฝงเอาไว้ด้วยความเย้ยหยันและไม่แยแสอยู่แบบหนึ่ง

 

“ศิษย์พี่ใหญ่ ยังจะต้องกล่าววาจาไร้สาระมากมายอันใดกับเขาไปทำไมอีกกัน ? จัดการกับเขาในทันที ! จะได้ไม่ต้องมีสิ่งวุ่นวายใจเข้าไปรบกวนภายในจิตใจของฝ่าบาทอีก ! ”จื่อเฮ่ากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาทราบถึงพลังความสามารถของศิษย์พี่ใหญ่ของตนเองผู้นี้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าสามารถที่จะฆ่าสังหารเยี่ยจงผู้นี้ได้ ในตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขึ้นมา

 

“ผู้ใหญ่กำลังคุยกัน ใช่ที่ที่เด็กอมมือจะมาสอดงั้นหรือ ? ”เยี่ยจงลงมือ ยังคงฟาดฝ่ามือตบออกไป แล้วก็ได้ยินเสียง”ผัวะ”ดังขึ้นมา ตลอดทั่วทั้งร่างกายของจื่อเฮ่าก็ได้ลอยกระเด็นออกไป โลหิตก็ได้ไหลออกมาเป็นทางยาวดุจดั่งกำลังร่ายรำอยู่ท่ามกลางอากาศ

 

“เจ้าทำตัวไร้มารยาทต่อหน้าองค์หญิงจื่อหวิน ความจริงแล้วนั้นมิได้มีความเกี่ยวข้องกับข้าอยู่แล้ว กระนั้นการที่สุนัขแว้งกัดเจ้านายนั้น อีกทั้งเจ้ายังได้ท้าทายข้าถึงสามครั้งสามคราว ยังคงเห็นคำเตือนของข้าเป็นเพียงลมผ่านหูเท่านั้นอีก ! ”

 

หลังจากที่สุดเสียง ในครั้งนี้เยี่ยจงก็ได้ยื่นนิ้วออกไปใช้ออกมาด้วยพลังดัชนี แล้วก็ได้ปรากฏประกายแสงสายฟ้าพวยพุ่งออกไปภายในพริบตา แล้วก็ได้ยินเสียง”ผลัวะ”ดังขึ้นมา จนปรากฏรูทะลุทะลวงขึ้นบริเวณหน้าอกของจื่อเฮ่า จนทำให้ไม่อาจที่จะแม้แต่ขยับเขยื้อน

 

“เห็นแก่สถานะขององค์หญิงจื่อหวิน ข้าจะไม่สังหารเจ้า ทว่าเจ้าก็กลับกลายเป็นคนสามัญธรรมดาอย่างว่าง่ายเสียเถอะ หากต้องมาเดินอยู่ในเส้นทางวิทยายุทธ์ต่อไป จะช้าจะเร็วก็คงต้องถูกคนสังหาร นี้เป็นข้าหวังดีต่อเจ้าเชียวนะ”เยี่ยจงกล่าวพร้อมอมยิ้มขึ้นมา ถึงแม้ว่าเขากำลังยิ้มอยู่ แต่ว่าภายในน้ำเสียงกลับเย็นเยียบอย่างยิ่ง จนทำให้ยอดฝีมือที่ล้อมรอบอยู่ต่างก็มีร่างกายสั่นเทาขึ้นมา

 

และบนใบหน้าของจางเฟ่ยเฉินก็ได้แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นปั้นยากขึ้นมาอย่างถึงที่สุด เขาคิดไม่ถึงว่าการลงมือของเยี่ยจงจะมีความรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้ เพียงแค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้นก็สามารถที่จะทำให้จื่อเฮ่าพิการลงไปได้ ต่อให้เขาคิดที่จะขัดขวางก็ยังไม่ทัน

 

ร่างกายของจื่อเฮ่าก็ได้ล้มลงอยู่บนพื้น จมลึกลงไปบนพื้นดิน ส่งเสียงอู้อี้ติดต่อกัน เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจน จุดตันเถียนของตนเองนั้นได้ถูกพลังทะลวงเข้าไป ถึงแม้ว่าจะไม่ส่งผลถึงชีวิต แต่ว่าพลังที่ฝึกปรือตลอดมาทั่วทั้งร่างกาย รวมทั้งพลังปราณภายในร่างกายก็ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น ตลอดทั่วทั้งร่างกายก็ได้เกิดความหวาดกลัวขึ้นมา

 

บนใบหน้าขององค์หญิงจื่อหวินก็ได้ปรากฏความตกใจขึ้นมาอย่างขมกลั่นเอาไว้ไม่ได้ แต่ว่านางถึงแม้จะมิได้เอ่ยอันใดออกมา ถึงแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเป็นการชิงชัยเพื่อนางเท่านั้น แต่ว่าเรื่องราวในเมื่อดำเนินมาจนถึงขั้นนี้ แทบจะเรียกได้ว่ามิได้มีความเกี่ยวข้องกับนางมากนัก นางย่อมต้องมีความเข้าใจในความรู้สึกของศิษย์พี่ใหญ่ของตนเองผู้นี้ ในตอนนี้อย่างน้อยก็คงจะได้ผูกอาฆาตกับ”ซิง”เอาไว้แล้ว ดังนั้น การปะทะของทั้งสองฝ่ายถือได้ว่ายากนักที่จะหลีกเลี่ยงได้

 

และทั้งสองฝ่ายต่างก็ถือได้ว่าเป็นชนชั้นระดับผู้กล้า ในช่วงเวลาเช่นนี้ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายอันใดออกไปอีกแล้ว

 

หรือแม้แต่ชิงหญิงเองก็ยังต้องเกิดอาการตกใจขึ้นมาเล็กน้อย เพราะการลงมือและความเคลื่อนไหวในตอนนี้ของ”ซิง”ผู้นี้ นั้นก็เพราะ”ซิง”นับตั้งแต่ปรากฏตัวจนถึงบัดนี้ ถึงแม้ว่าการกระทำจะเด็ดขาดไปบ้าง แต่ว่าก็ยังเป็นเพราะการถูกบีบบังคับถ้ามิใช่เขาเองก็เป็นเขาหาเรื่องเอง แต่ว่าคิดไม่ถึงว่าการลงมือออกมาภายในวันนี้ พริบตาเดียวก็สามารถทำให้ผู้คนพิกลพิการได้แล้ว

 

กระนั้นเหลียนหลิงหลงและโหยวเหลียนนั้นกลับมิได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายนัก จื่อเฮ่าเห็นอยู่ว่าทราบดีอยู่แก่ใจแล้ว ยังเอาแต่ท้าทายเยี่ยจงนับครั้งไม่ถ้วน บทสรุปเช่นนี้ก็ถือได้ว่าดีอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นต้องถึงกับเอาชีวิตผู้ใด

 

ท่ามกลางห้องโถงใหญ่ ก็ได้มีเสียงตื่นตกใจดังลอดออกมา ต่างก็ทอดตามองเข้าไปยังสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่ง”ซิง”ที่มีความแข็งแกร่งจนเป็นที่น่าตื่นตกใจ

 

“แทบจะไม่เห็นหุบเขาเมฆาม่วงอยู่ในสายตา ถือได้ว่าเป็นดวงดาว (ซิง) ที่น่าหวาดกลัวเสียจริง ! ”

 

“เมื่อกล่าวมาจนถึงตรงนี้ เจ้าไม่เห็นว่าองค์หญิงจื่อหวินได้นั่งอยู่ทางด้านหลังของเขาอย่างงั้นหรือ ? นี้มิได้เป็นเพียงแค่ความแค้นส่วนตัวเท่านั้นแล้ว แต่อาจจะลุกลามไปจนถึงหุบเขาเมฆาม่วงก็เป็นได้ ! ”

 

“ทว่าการลงมือของเขาก็เรียกได้ว่าไว้ไมตรีอย่างมากแล้ว หากว่าเป็นสุดยอดรุ่นเยาว์เยี่ยจงผู้นั้น เกรงว่ากลุ่มคนของหุบเขาเมฆาม่วงในตอนนี้ คงจะกลายเป็นเศษเลือดเศษเนื้อไปแล้ว ! ”

 

“ข้ายังสงสัยอยู่เลยบุคคลผู้นี้จะใช่เยี่ยจงผู้นั้นหรือไม่ นั้นก็เพราะว่าผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดนั้นยากที่จะพบพาน แต่ว่าในตอนนี้สมควรที่จะไม่ใช่แล้ว ทั้งสองคนถึงแม้ว่าจะมีลักษณะนิสัยประเภทเดียวกัน แต่ว่าความอดทนอดกลั้นนั้นกลับแตกต่างกัน ! ”

 

ผู้คนมากมายต่างก็ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมาเสียงเบา สีหน้าทอแววตื่นตกใจ

.

.

.

.

กลุ่มละ 80ตอน/กลุ่ม/100บาทครับ
โปรโมชั่น กลุ่ม 5-11 ราคา 600

VIP5 https://goo.gl/ekcF7V

VIP6 https://goo.gl/4rqw89

VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA

VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x

VIP9 https://goo.gl/1jPZtn

VIP10 https://goo.gl/L8awva

VIP11 https://goo.gl/rojEiG

ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ INBOX ในเพจเลยครับ

https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset