เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 413 สภาวะดั่งดวงจันทร์ทอแสง

ตอนที่ 413 สภาวะดั่งดวงจันทร์ทอแสง

 

“รับกระบวนท่า—— “

 

เยว่จิ่งส่งเสียงร้องขึ้นมา บริเวณทางด้านหลังก็ได้ปรากฏเงาขึ้นมาสายหนึ่ง เมื่อเวลาไหนก็ได้มีเมฆหมอกปกคลุมไปทั่วแสงจันทร์ ทำให้เกิดภาพสลัว บดบังจนแสงเดือนสาดส่องไม่ชัดเจน มุ่งหน้าหมุนวนกวาดออกไปทางด้านหน้า หมายที่จะสังหารเยี่ยจงลง

 

“พลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะ พลังวิชากาลแสงจันทรางั้นหรือ!? “

 

เยี่ยจงสั่นเทาขึ้นมา ภายในดวงตาก็ได้เกิดอาการหวาดหวั่นขึ้นมา เยว่จิ่งไม่แต่เพียงเป็นแค่อัจฉริยะหญิงงามของเผ่าซือเท่านั้น ยังถึงกับได้รับพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะได้ ในเวลาเดียวกันที่แปรสภาพออกไป ถึงแม้ว่าพลังวิชากาลเวลาแสงจันทราจะจัดอยู่ในพลังที่เป็นหนึ่งในพลังเทวะในตำนานเลยก็ว่าได้ ถึงแม้จะดูธรรมดาอยู่หลายส่วน แต่ว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สามารถฝึกฝนพลังจากพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะได้ต่างก็ถือได้ว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะว่า หลังจากนี้จะต้องมีบุคคลเช่นนี้อยู่อย่างแน่นอน จึงจะสามารถท้องยุทธจักรได้ จัดการกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน

 

ภายใต้แสงจันทราที่สาดส่องลงมา ก็ได้ปกคลุมทั่วทั้งร่างกายของเยี่ยจง หมายที่จะเข้ากดดันไปทั่วทั้งบริเวณท่ามกลางสนามของเขา แต่ว่าเยี่ยจงก็ได้เผยรอบยิ้มออกมาน้อยๆ อย่างรวดเร็ว ภายในพลังปราณสมุทรที่จุดตันเถียนของเขา ก็ได้เริ่มต้นหมุนวนเคลื่อนไหวไปมาอย่างช้าๆ หมายที่จะจัดการเก็บแสงจันทราเหล่านี้เอาไว้อยู่ภายในร่างกายให้มากที่สุด

 

แสงจันทร์ส่องผิวสมุทร ถึงแม้จะมีลักษณะเดียวกันกับแสงจันทราของเยว่จิ่ง ที่แฝงเอาไว้ด้วยพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะ แต่ว่า แสงจันทร์ส่องผิวสมุทร เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในพลังเทวะชนิดที่มีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น มีพลังในการเปลี่ยนแปลงเทวะที่มีเฉพาะบุคคลนับตั้งแต่กำเนิดเกิดมา หากทว่าพลังนี้ของเยว่จิ่งเป็นดั่งการหยิบยืมแล้วละก็ คงจะต้องพ่ายแพ้ลงไปอย่างแน่นอน

 

“ตูม—— “

 

เยี่ยจงพลิกมือซ้ายออกไป ในครั้งนี้ก็ได้คว้าจับไปที่บริเวณข้อมืออีกข้างของเยว่จิ่ง เขาใช้ทั้งสองมือลูบคล้ำไปมา บนใบหน้าก็ได้ปรากฏรอยยิ้มอันใกล้ชิดขึ้น: “นางเซียนเยว่จิ่งเหตุใดต้องอำมหิตเช่นนี้ ถึงกับใช้ออกมาด้วยพลังการเปลี่ยนแปลงเทวะจากกาลแสงจันทราเพื่อจะสังหารข้า เช่นนี้ถือได้ว่าไม่ดียิ่งนัก……ใช่แล้ว อาภรณ์ศึกของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว หากว่านางเซียนมอบให้แก่ข้าด้วยตนเอง พวกเขาก็หยุดกันแค่นี้ดีหรือไม่? “

 

เยว่จิ่งเกิดความตกใจขึ้นมาภายในใจ ภายในดวงตาก็ได้ปรากฏอาการไม่อยากที่จะเชื่อขึ้นมา การที่ตนเองใช้ออกมาด้วยกาลแสงจันทราถือได้ว่าเป็นความลับอย่างยิ่ง แต่ว่าบุคคลเบื้องหน้าสายตา “ซิง “ผู้นี้ยังถึงกับย้อนถามกลับมาได้ เด็กน้อยผู้นี้ หรือว่าจะมีพลังในระดับการเปลี่ยนแปลงระดับเทวะแล้วก็ไม่เชิง?

 

เพียงแต่ว่า ตอนนี้เยี่ยจงกลับมิได้ใช้ออกมาด้วยพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะ ซึ่งแม้แต่เยว่จิ่งเองก็ยังมองไม่ออกถึงความตื้นลึกหนาบางของเขาได้

 

ในเวลาเดียวกัน ความเคลื่อนไหวของเยี่ยจงนั้น ได้ทำให้ทั่วทั้งร่างกายของเยว่จิ่งสั่นเทาไปมา นางที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอัจฉริยะหญิงแห่งเผ่าพันธุ์ ตามปกติมีศักดิ์ฐานะสูงลิบลับ ไม่ว่าจะเดินไปยังที่ใด ต่างก็มีแต่กลุ่มคนจะคอยไล่ตาม อีกทั้งยังมีชายหนุ่มที่คอยไล่ตามนางเองอยู่ก็ไม่น้อย ต่างก็เป็นเหมือนสายลมที่โชยพัดผ่าน ร้ายกาจมากความสามารถ แต่กลับคิดไม่ถึงว่ากลับต้องมาถูกเด็กน้อยเบื้องหน้าสายตาผู้นี้เล่นตลกเช่นได้ ถึงแม้ว่าจะมีอาภรณ์ศึกคลุมเอาไว้อยู่ชั้นหนึ่ง แต่ว่าก็ยังคงทำให้บุคคลเยี่ยงนางเกิดความเขินอายจนแทบบ้าตายอยู่แล้ว

 

“เจ้าทำเกินไปแล้ว! “เยว่จิ่งซิงสาดประกายดวงตาเจิดจ้า บนร่างกายก็ได้แฝงเอาไว้ด้วยรังสีสังหารไม่เสื่อมคลาย จดถึงกับแสดงใบหน้าเย็นเยียบอันงดงามออกมาสายหนึ่ง

 

เยี่ยจงหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย สีหน้ามิได้มีความเปลี่ยนแปลงมากมายนัก เพียงแต่ว่าส่วนลึกภายในดวงตากลับพยายามหลบเลี่ยงรังสีสังหาร เขาแทบจะไม่ใส่ใจกับการฆ่าสังหารในสถานที่แห่งนี้โดยทั้งสิ้น ขอเพียงกระทำได้ก็พอแล้ว

 

“เป็นเจ้าบีบคั้นข้าเองนะ ในเมื่อเห็นกระบวนท่าของข้าไปแล้ว ก็ตายไปเสียเถอะ! “เยว่จิ่งส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ พริบตานั้นเอง ก็ได้พบเห็นแสงจันทราปรากฏขึ้นบริเวณทางด้านหลังของนาง แล้วก็ได้มีเงาของดาบอยู่เล่มหนึ่งทอประกายสาดเข้ามา แฝงเอาไว้ด้วยพลังความโหดเหี้ยมอันน่าหวาดกลัวอยู่ชนิดหนึ่ง

 

“สมบัติเซียน!? “

 

เยี่ยจงสีหน้าเปลี่ยนไป การโจมตีในครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความอันตรายอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ ในขณะนี้เอง เขาก็ได้คลายมือขวาออก ยกขึ้นกวาดออกไป

 

“เคร้ง—— “

 

เสียงกระจ่างใสดังออกมา แต่ว่าสีหน้าเยี่ยจงเรียกได้ว่าเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เพราะว่าถึงแม้เขาจะสามารถต้านทานการโจมตีเอาไว้ได้ แต่ว่า บริเวณฝ่ามือก็ได้ปรากฏคราบเลือดออกมา เห็นได้ชัดว่า คมดาบนี้ถือได้ว่ามีความคมกริบอย่างถึงที่สุด ที่แม้แต่พลังกายเนื้อไม่สูญสลายก็ยังถูกทลายได้

 

เมื่อได้พบเห็นผลลัพธ์จากกระบวนท่านี้ สีหน้าของเยว่จิ่งก็ได้ทอแววตาเย็นชาขึ้นมา แผ่ประกายแสงจันทราปกคลุมไปบนตัวของดาบเล่มนี้ พวยพุ่งออกไปไม่ขาดสาย คมดาบได้ฟาดฟันลงไปอย่างรุนแรงไปทางด้านของเยี่ยจง

 

เยี่ยจงแปรเปลี่ยนมือขวาไม่หยุด พร้อมกับตบไปที่ไหล่ หมายที่จะต้านทานการโจมตีที่พุ่งเข้ามามากมายนับไม่ถ้วนของเยว่จิ่ง แต่ว่าสีหน้าของเขากลับยิ่งมาก็ยิ่งจริงจังขึ้นมา เพราะว่า พลังการโจมตีนี้ถือได้ว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง เขาแทบจะมิได้ลงมืออย่างอื่นออกมาแต่อย่างไร หากไม่ใช่ว่าตอนนี้มือซ้ายคว้าจับไปที่ข้อมือของเยว่จิ่งอยู่ เกรงว่าคงจะแยกออกจากกันไปนานแล้ว

 

“ตูม—— “

 

ทันใดนั้นเอง เยว่จิ่งอ้าปากขึ้นมา ภายในปากก็ได้มียันต์ปราณขนาดเล็กพุ่งออกมา มุ่งหน้าเข้าไปทางหว่างคิ้วของเยี่ยจง ภายในยันต์ปราผรแฝงเอาไว้ด้วยพลังอันน่าหวาดกลัว หมายที่จะสังหารเยี่ยจงลงภายในคราเดียว

 

“นางเซียนช่างโหดเหี้ยมอำมหิตเสียจริงนะ! “ร่างกายเยี่ยจงก็ได้เบี่ยงไปทางด้านข้าง ในตอนนี้เขาก็ได้ใช้ออกมาด้วยวิชาดำดินรุกคืบอย่างไม่มีสุ่มมีเสียง จึงค่อยหลบรอดออกมาจากกระบวนท่าสังหารนี้เอาไว้ได้ แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ตาม บนแก้มซ้ายของเขาก็ได้เกิดร่องรอยเฉี่ยวขึ้นมา มีโลหิตไหลรินออกมา

 

“ดูเหมือนว่าคิดที่จะช่วงชิงอาภรศึกของนางเซียนในวันนี้กลับไปเป็นของฝาก อย่างน้อยคงจะยากสักหน่อยแล้ว! “

 

เยี่ยจงส่งเสียงเย็นชาขึ้นมา บีบมือซ้ายแน่นขึ้น อ้าปากออก แล้วก็ได้มีประกายสายฟ้าสายหนึ่งพวยพุ่งออกมา มุ่งหน้าเข้าไปยังบริเวณทางด้านหัวไหล่ของเยว่จิ่ง เห็นได้ชัดว่า เขาได้เตรียมพร้อมที่จะจัดการกับแขนของเยว่จิ่ง

 

“เจ้า……ไสหัวไปซะ! “

 

เยว่จิ่งอึ้งขึ้นมาเล็กน้อย จนเกือบที่จะโกรธจนบ้าขึ้นมา เจ้าเด็กที่น่ารังเกียจเบื้องหน้าสายตานี้ปากกลับเรียกนางเซียนนางเซียน แต่ว่ากลับลงมือได้อย่างเผ็ดร้อนถึงเพียงนี้ เพียงเพื่ออาภรณ์ศึกเพียงชุดเดียว ถึงกับคิดที่จะตัดแขนของตนเองลงมา จิตใจเช่นนี้ ได้ทำให้เยว่จิ่งกล่าวอะไรไม่ออกอย่างถึงที่สุด

 

“เจ้าตายไปเสียเถอะ! “

 

เยว่จิ่งโกรธจัดขึ้นมา พลังแสงจันทราก็ได้ส่องเป็นประกายทั่วทั้งร่างกาย มุ่งหน้าปะทุออกไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน นางตอนนี้ไม่สนใจสิ่งใดอีก เพียงแต่คิดจะหลบหนีออกจากข้างกายของเยี่ยจง เพราะว่าถ้าหากยังคงถูกเด็กน้อยผู้นี้จับข้อมือต่อไปแล้วละก็ นางจะต้องเป็นบ้าขึ้นมาอย่างแน่นอน

 

“นางเซียน เจ้าทำเช่นนี้ก็ไม่ถูกนะ รักที่มีต่อเจ้านั้นร้อนแรงยิ่งนัก ข้ายากที่จะทนทานเอาไว้ได้แล้ว! “เยี่ยจงยิ้มเล็กน้อยขึ้นมา มือซ้ายก็ได้คล้ายออกไปเล็กน้อย ในเวลาเดียวกันบริเวณทางด้านหลังก็ได้ปรากฏเงาของพลังเทวะของจูเชวียนขึ้นมา ในตอนนี้เขาก็ได้ใช้ออกมาด้วยพลังการเปลี่ยนแปลงขั้นที่สามของไท่กูจูเชวียนออกมา มุ่งหน้าเข้าไปบริเวณหว่างคิ้วของเยว่จิ่ง

 

“วิชาจูเชวียน!? “

 

เยว่จิ่งร้องเสียงหลงขึ้นมาในทันที พริบตานั้นเอง นางร่างกายสั่นเทาไปทั่วทั้งร่าง แขนซ้ายประดุจดั่งปลาไหลที่ไหลออกไปเป็นทางออกจากใจกลางฝ่ามือของเยี่ยจง หลุดรอดออกจากข้างกายเยี่ยจง

 

เยี่ยจงตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็สัมผัสได้ว่าที่มือของตนเองนั้นได้มีปลอกคลุมไหล่เพิ่มขึ้นมา เห็นได้ชัดว่า เพื่อที่จะยับยั้งการจับกุมของตนเอง เยว่จิ่งนั้นถึงกับสะบัดถอดกระดูก อีกทั้งยังทิ้งอาภรณ์ศึกอีกส่วนหนึ่งเอาไว้

 

“นี้มัน—— “

 

เยี่ยจงเหม่อมองไปที่อาภรศึก เงียบงันไม่พูดจา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็คือชุดกระโปรงส่วนแขนของหญิงสาว เพียงแต่ว่าวัตถุชิ้นนี้กลับโปร่งใสอย่างยิ่ง ประดุจดั่งผ้าม่านก็มิปาน อีกทั้งยังมีพลังในการป้องกันอย่างน่าตกใจ

 

“นี้เกรงว่าคงจะต้องเป็นเกราะแห่งหิมาลัยในตำนานแล้ว อีกทั้งยังเป็นอาภรณ์ศึกที่ถักทอมาจากหยกหิมาลัยโดยทั้งสิ้นด้วย เยว่จิ่งผู้นี้ อย่างน้อยคงจะต้องพบเจอกับวาสนาอันยิ่งใหญ่แล้ว ถึงกับได้รับสิ่งที่เป็นดั่งตำนานแห่งดินแดนเช่นนี้ได้ “เสี่ยวหลุนส่งเสียงขึ้นมา เพื่อบ่งบอกที่มาของวัตถุชิ้นนี้

 

“เกราะแห่งหิมาลัย!? “เยี่ยจงขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายในดวงตาก็ได้ปรากฏอาการตกใจขึ้นมาเป็นสาย

 

เกราะแห่งหิมาลัย กล่าวกันว่าถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากตำนานทั้งเก้าแห่งราชาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าทลายตะวันที่ถักทอมาเพื่อภรรยาของตนเอง อีกทั้งภรรยานางเซียนแห่งหิมาลัย ก็เป็นดั่งตำนานหนึ่ง ที่ถือได้ว่าเป็นบุคคลในระดับตำนานเฉกเช่นเดียวกัน

 

เมื่อครุ่นคิดได้เช่นนี้ เยี่ยจงก็ได้ทอประกายสายตาเปลี่ยนแปลงเป็นประหลาดมองดูไปที่เยว่จิ่ง บุคคลเบื้องหน้าสายตาผู้นี้ คงจะมิใช่ได้รับตำนานของนางเซียนแห่งหิมาลัยหรอกกระมั่ง?

 

หลังจากที่มองไปที่เยว่จิ่งหลายครา เยี่ยจงก็ได้หัวเราะฮิฮะออกมา คิดว่าวัตถุชิ้นนี้ช่างไม่เหมาะสมกับหญิงสาวไว้ใช้เสียเลย จากนั้นก็ปลดผ้าลงมา สวมใส่เกราะแห่งหิมาลัยนี้อยู่บนร่างกายอย่างไม่เอียงอาย ถึงแม้จะสามารถสวมใส่ได้แต่เพียงแต่ส่วนแขนซ้ายและไหล่ซ้ายเท่านั้น แต่ว่าเยี่ยจงก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าหากเป็นเช่นนี้แล้วละก็ ตนเองก็เหมือนดั่งมีอาวุธสังหารเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง

 

เยี่ยจงมองไปที่เกราะแห่งหิมาลัยที่ตนเองสวมใส่เอาไว้อยู่อย่างถูกอกถูกใจ หว่างคิ้วของเยว่จิ่งก็ได้ทอแววดำมืดขึ้นมาเป็นสาย “ซิง “เบื้องหน้าสายตาผู้นี้ก็ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ถึงกับสวมใส่เอาไว้จริงๆ ในเวลาเดียวกัน ภายในแววตาของนางก็ได้ปรากฏรังสีฆ่าฟันขึ้นมา เกราะแห่งหิมาลัยถือเป็นสิ่งที่นางยากจะพบพาน ตนเองจึงมีความรักและเสียดายเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ในวันนี้กลับถูกผู้คนแย่งชิงไปส่วนหนึ่ง ความรู้สึกเช่นนี้ ได้ทำให้จิตใจของนางเริ่มที่จะดุร้ายขึ้นมาอยู่หลายส่วน

 

จากที่เยว่จิ่งมอง ตนเองในวันนี้ยากที่จะหลับตานอนได้อย่างสบายแล้ว การระมัดระวังไม่ให้ผู้คนมาแย่งชิงบัวเพลิงก่อฟ้าก็ว่าไปแล้ว แต่ยังถึงกับยังต้องมาสูญเสียเกราะแห่งหิมาลัยไปชิ้นหนึ่ง สิ่งนี้ได้ทำให้นางแทบจะร่ำไห้อย่างไร้น้ำตาออกมาได้

 

“ซิง เจ้าทำเกินไปแล้ว! “เยว่จิ่งทอสีหน้าเย็นชาขึ้นมา พลิกกางฝ่ามืออันขาวผ่องขึ้น บริเวณใจกลางฝ่ามือก็ได้ปรากฏคมดาบเสี้ยวขึ้น ในเวลาเดียวกันก็ได้รวมพลังแห่งจันทราเอาไว้อยู่บริเวณบนฝ่ามือ พร้อมที่จะลงมือทุกเวลา

 

“นางเซียนที่แท้ก็ทราบความในใจของข้าแล้ว “เยี่ยจงหัวเราะเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นดูน่ารังเกียจอย่างถึงที่สุด “หลังจากที่ได้รับเกราะแห่งหิมาลัยชิ้นนี้แล้ว หลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นยามกลางวันยามค่ำคืนก็เปรียบเสมือนมีนางเซียนคอยเคียงข้างก็มิปาน ผู้น้อยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง “

 

เยว่จิ่งเกิดซวนเซเล็กน้อย ในตอนนี้จนเกือบที่จะตกเข้าไปยังบ่อมายาเพลิง เด็กน้อยผู้นี้ ถือได้ว่าน่าชังจนเกินจะเยียวยาแล้วจริงๆ

 

“นางเซียน สมบัติวัตถุเช่นนี้แย่งชิ้นไปก็ใช่ว่าจะดีนัก หรือไม่ก็นางเซียนจะทำความดีก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ที่หลงเหลืออีกส่วนหนึ่งก็มอบให้แก่ข้าดีหรือไม่? อย่างมากข้าก็คืนบัวเพลิงก่อฟ้าที่พึ่งช่วงชิงไปเมื่อครู่คืนให้แก่เจ้า เช่นนี้เจ้าก็ไม่ขาดทุนแล้วละ “เยี่ยจงโบกมือขึ้นคราหนึ่ง ท่าทีใจกว้างเป็นอย่างยิ่ง แทบจะไม่เห็นสิ่งของที่ตกมาอยู่ในมือเมื่อครู่อยู่ในสายตา

 

ภายในดวงตาของเยว่จิ่งก็ได้เดือดไปด้วยรังสีฆ่าฟัน เด็กน้อยผู้นี้ก็ทำจนเกินไปแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นการจงใจเพื่อที่จะยั่วยุตนเองให้ตกหลุมพรางอย่างแน่นอน

 

“ตูม—— “

 

นางกวาดดาบออกไปคราหนึ่ง คมดาบประดุจประกายจันทราที่รวมเข้าด้วยกันก็มิปาน น่าหวาดกลัวอย่างไร้ที่เปรียบ ในเวลาเดียวกันบริเวณทางด้านหลังของนางก็ได้ส่องทอเป็นประกายแสงจันทราขึ้นมา จนทำให้ทั่วทั้งตัวของนางในตอนนี้เองประดุจนางเซียนที่ลงมาจากดวงจันทร์ก็มิปาน

 

เยี่ยจงหัวเราะเหอะเหอะขึ้นมา ทอดวงตาเคร่งเครียด ถอยกายออกไปอย่างรวดเร็ว พลังฝีมือของเยว่จิ่งถือได้ว่าอยู่นอกเหนือความคาดเดาของเขาไปแล้ว ดาบนี้ถือได้ว่ารวมเอาไว้ด้วยพลังสภาวะชนิดหนึ่ง น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะผู้โดดเด่นที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยพบเจอมา เมื่อครู่หากว่ามิใช่เพราะว่าเยี่ยจงเสแสร้ง ที่คอยจับข้อมือของเยว่จิ่งเอาไว้อยู่ตลอดเวลาแล้วละก็ อย่างน้อยคงจะไม่อาจที่จะได้รับกำไรอันใดมากนัก

 

ในขณะนี้ เยี่ยจงย่อมไม่เข้าต่อสู้กับเยว่จิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายแน่ เพราะว่า ในช่วงเวลา ณ ขณะนี้เอง ยังไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น รอคอยจนมีโอกาสมาถึง จึงไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นในตอนนี้ ที่อาจจะกลับกลายเป็นถูกผู้อื่นได้เปรียบไปเสียเปล่า

 

“ดาบจันทร์เต็มดวง! “

 

เยว่จิ่งร้องออกมาเสียงเจือแจว ดาบเสี้ยวในมือในตอนนี้ก็ได้ถูกชักออกมา จันทร์เต็มดวงและดาบเสี้ยวจันทร์กลายเป็นร่างเดียวกันในเวลาเดียวกัน มุ่งหน้าเข้าปะทะออกไปทั่วทุกบริเวณ ประดุจดั่งประกายแสงจันทร์ที่สะท้อนออกมาก็มิปาน

 

ในขณะนี้เอง เยี่ยจงยังคงใช้ความรู้สึกในการต้านทานทั้งห้าออกมา เขาตัดสินใจพลิกทั้งสองมือฟาดออกไปบริเวณทางด้านหน้า เมื่อได้ยินเสียงดัง “ติง “ขึ้นมา พลังสภาวะของดวงจันทร์เต็มดวงที่ส่องเป็นประกายสายหนึ่งก็ได้พุ่งเข้ามายังบริเวณตรงหน้าอกของเขา

 

“ตูม—— “

 

พลังความน่าหวาดกลัวได้แผ่กระจายออกไป ร่างกายของเยี่ยจงก็ได้ถูกฟาดฟันจนเกิดรอยแตกที่พื้นแอ่งเพลิง พวยพุ่งขึ้นมาท่ามกลางอากาศ หลังจากนั้นสักพัก เยี่ยจงก็ได้กวาดทั้งสองมือออกไป จนก่อเกิดพลังการโจมตีออกมาสายหนึ่ง ในเวลาเดียวกันร่างกายก็ได้ค่อยๆ ทอดตัวลง

 

ฉากที่เกิดขึ้น วินาทีนี้ก็ทำให้เกิดอาการตกใจขึ้นมาต่อเหล่าผู้คนทั้งหมดที่กำลังแย่งชิงสมบัติกันอยู่โดยรอบทั้งหมด ราวกับว่าผู้คนทั้งหมดต่างก็จ้องมองเข้ามาในจุดเดียวกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นสีหน้าก็ได้เปลี่ยนเป็นประหลาดใจขึ้นมาอยู่หลายส่วน

 

“ซวบ—— “

 

เยว่จิ่งที่เมื่อครู่ได้พุ่งเข้าสังหารเข้ามา ก็ได้พลิกทั้งสองมือฟาดออกไป พลังกาลแสงจันทราประดุจดั่งคมดาบที่พุ่งเข้าสังหารออกมา หมายที่จะซัดเยี่ยจงกระเด็นออกไป เยี่ยจงพลิกใช้พลังดัชนีออกมาทั้งสองมือติดต่อกัน จนก่อเกิดเสียงเคร่งครังดังเสียดใบหู สลายทุกการโจมตีที่เข้ามาสายนี้มากมายนับไม่ถ้วน

.

.

.

.

กลุ่มละ 80ตอน/กลุ่ม/100บาทครับ

โปรโมชั่น กลุ่ม 5-12 ราคา 600

VIP5 https://goo.gl/ekcF7V

VIP6 https://goo.gl/4rqw89

VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA

VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x

VIP9 https://goo.gl/1jPZtn

VIP10 https://goo.gl/L8awva

VIP11 https://goo.gl/rojEiG

VIP12 https://1th.me/o9CD

ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่

INBOX m.me/ZuiQiangWuShen

#####Fanpage#####

https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset