เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 423 ตำนานโบราณที่ถูกเล่าขาน

ตอนที่ 423 ตำนานโบราณที่ถูกเล่าขาน

*เปลี่ยนจาก ป่ามรกต เป็นต้นไม้มรกตนะครับ เพราะมันใช้ตัวเดียวกัน ผู้แปลเลยเกิดความสับสน

 

ป่ามรกตประดุจดั่งต้นไม้เทวะสวรรค์ก็มิปาน ที่บริเวณปลายยอดของต้นไม้ก็ได้มีการจัดตั้งตำหนักโบราณเอาไว้ ประดุจดั่งตำหนักสวรรค์ก็มิปาน เรียกได้ว่าไม่เคยพบเจอมาก่อนก็ว่าได้

 

ในขณะนั้นเอง ราชาปีศาจมากมายนี้ก็ได้ทอดตามองเข้ามาหมายมั่นที่จะพุ่งเข้ามาสังหาร เพื่อที่จะปิดกั้นหนทางหลบหนีของเหล่าอัจฉริยะผู้โดดเด่น แต่ละคนต่างก็แบ่งกันใช้พลังฝีมือของตนเองออกมา ความเร็วของผู้คนเหล่านี้ก็ได้แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คนเหล่านี้ก็ได้หายออกไปจากที่เดิมไปในทันที เห็นได้ชัด ในช่วงเวลาคับขันเฉกเช่นนี้ ยังไม่มีผู้ใดคิดที่จะเก็บงำพลังเอาไว้แล้ว ทุกผู้คนต่างก็ลงมือออกมาด้วยพลังทั้งหมดในตอนนี้

 

“พวกเราก็จำเป็นที่จะต้องรีบขึ้นไปกันหน่อยแล้ว ทางด้านบนของป่ามรกตนี้จะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าในครั้งนี้แม้แต่ข้าเองที่ได้ติดค้างสมบัติเซียนจากเจ้าก็อาจจะสามารถคืนให้แก่เจ้าได้จนหมดสิ้น ไม่แน่ว่าอาจจะมากมายกว่านั้นก็เป็นได้ ” เยี่ยจงขยับร่างกายทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันก็ได้ส่งเสียงเรียกขานเสี่ยวหลุน

 

“บอกมา เจ้าคิดที่จะทำยังไง ” เสี่ยวหลุนราวกับกำลังกรอกดวงตาขาวขึ้นมา ราวกับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

 

“ไม่คิดยังไงหรอก เจ้าเพียงแค่อำพรางตัวข้าสักครู่ ข้าจะใช้ออกมาด้วยวิชาดำดินรุกคืบออกไป ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ คงจะไม่อาจที่จะรอดพ้นจากการไล่ฆ่าสังหารของราชาปีศาจเหล่านี้ ” เยี่ยจงหันกลับไปมองไปยังราชาปีศาจที่กำลังส่งสายตาฆ่าฟันคราหนึ่ง จนเกิดความรู้สึกขนลุกขึ้นมาอยู่หลายส่วน ต่อให้เป็นเขาถ้าหากถูกราชาปีศาจเหล่านี้ล้อมโจมตี ก็ยังคงจะพบกับจุดจบแห่งความตายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง นั้นก็เพราะว่าทั้งสองฝ่ายนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก ต่อให้เขาที่มีพลังในขอบเขตกายเนื้อไม่สูญสลาย ก็ใช่ว่าจะสามารถมีความได้เปรียบมากมายแต่อย่างไร

 

“ได้!” เสี่ยวหลุนก็ไม่กล่าววาจาไร้สาระออกมามากมาย ทอประกายแสงสีขาวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ห่อหุ้มไปทั่วทั้งร่างกายของเยี่ยจงเอาไว้

 

เยี่ยจงเคลื่อนไหวร่างกายคราหนึ่ง ในตอนนี้ก็ได้ใช้ออกมาด้วยวิชาดำดินรุกคืบ เขาใช้ออกไปหลายครั้งหลายคราในช่วงเวลาเพียงสั่นๆ พริบตานั้นเองก็ได้หลุดรอดจากราชาปีศาจทั้งหมดจนไม่เห็นแม้แต่เงา

 

“วิชาของเผ่ามนุษย์ ความจริงแล้วย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ” เยี่ยจงก็ได้ถอนหายใจออกมา ไม่ว่าจะเป็นวิชาตราแห่งราชาแดนมนุษย์หรือว่าจะเป็นวิชาดำดินรุกคืบ ต่างก็ถือได้ว่าเป็นวิชาของเผ่ามนุษย์ มีพลังอำนาจที่เรียกได้ว่าไม่แตกต่างกันมากนักจากวิชาเก้าเปลี่ยนแปลงไท่กู่จูเชวียนของตนเองในขณะนี้ แต่น่าเสียดายที่ตนเองตอนนี้จำเป็นที่จะต้องซ่อนเร้นสถานะ จึงไม่อาจที่จะใช้ออกมาด้วยวิชาเหล่านี้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า

 

“พวกเจ้าเผ่ามนุษย์ถือได้ว่าเป็นเผ่าที่ได้รับเงื่อนไขของพรสวรรค์มากเป็นพิเศษ เผ่ามนุษย์มีความสามารถอันยิ่งใหญ่ที่จะสามารถศึกษาวิชาในแขนงต่างๆ ย่อมมิได้ด้อยไปไหนกว่ากันตรงไหนอย่างแน่นอน ” เสี่ยวหลุนกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา

 

“เผ่ามนุษย์เป็นเผ่าที่ได้รับเงื่อนไขของพรสวรรค์มากเป็นพิเศษ หมายความว่ายังไงกัน?” เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา ท่ามกลางทั่วทั้งสี่ดินแดน เผ่ามนุษย์ถึงแม้ว่าจะถือได้ว่าเป็นผู้ที่ครอบครองดินแดนน้อยที่สุด แต่ว่าหากว่ามองในความหมายเช่นนี้ก็สามารถกล่าวได้ว่า เผ่ามนุษย์ถือได้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์เล็กๆ ที่อ่อนแอเท่านั้น หากมิใช่ว่าเป็นเพราะมีอยู่เป็นจำนวนมากแล้วละก็ แต่หากมองว่าท่ามกลางเผ่ามนุษย์เหล่านี้มักจะมีการปรากฏของวีรบุรุษผู้กอบกู้แล้วละก็ เช่นนั้นเผ่ามนุษย์ก็คงจะถูกสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ร่วมมือกันจัดการจนดับสูญไปจนหมดไปตั้งแต่ต้นแล้ว

 

“หากว่าข้าจดจำไม่ผิดแล้วละก็ ภายในการบันทึกในประวัติศาสตร์ สิ่งมีชีวิตแต่ละเผ่าหากฝึกปรือจนถึงจุดสูงสุดแล้วละก็ สุดท้ายโดยส่วนมากแล้วต่างก็จะกลายสภาพกลายมาเป็นมนุษย์ นั้นก็เพราะว่าความสามารถในการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ไพศาล……ถึงแม้ว่าสิ่งมีชีวิตแต่ละเผ่ามากมายที่ปรากฏขึ้นมาจะสามารถแปรรูปลักษณ์เป็นมนุษย์ได้ตั้งแต่แรก แต่ว่านี้ก็ยังคงเป็นที่บ่งบอกได้ว่า สภาวะร่างกายของเผ่ามนุษย์ ได้รวมเอาไว้ด้วยความลี้ลับมากมายนับไม่ถ้วน……ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด ก็คิดที่จะกลายเป็นอัจฉริยะแห่งเผ่าพันธุ์ ต่างก็ยินยอมที่จะสิ้นเปลืองพลังจิตใจและโอกาสไปไม่น้อยเพื่อที่จะกลายเป็นเผ่ามนุษย์เช่นพวกเจ้า……แต่ว่าเผ่ามนุษย์ที่กำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นเช่นนี้ เหตุใดถึงเรียกมิได้ว่าเป็นเผ่าที่ได้รับเงื่อนไขของพรสวรรค์มากเป็นพิเศษกัน?” เสี่ยวหลุนตอบกลับ

 

“ยังถึงกับมีเรื่องเช่นนี้อยู่ด้วยอย่างงั้นหรือ?” เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา เขาเมื่อชาติก่อนก็ได้เคยฝึกปรือจนถึงขอบเขตสูงสุดอันน่าหวาดกลัวมาก่อนย แต่กลับมิเคยจะได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน เพียงแค่มองในข้อนี้ ก็เพียงพอที่จะบ่งบอกถึงความที่มาที่ไม่อาจจะคาดเดาได้ของเสี่ยวหลุน

 

“จะจริงหรือไม่จริง เจ้ามองจากประวัติศาสตร์ไหนกัน ” เยี่ยจงถามออกไป อีกทั้งยังทอสีหน้าที่แฝงเอาไว้ด้วยความสงสัยอยู่หลายส่วน

 

“ตอนนี้ยังมิใช่เวลาที่จะมาถกกันถึงเรื่องนี้กันมิใช่หรือ? ข้าก็เพียงแค่มีความรู้สึกเช่นนั้นเองก็เท่านั้น……” เสี่ยวหลุนมิได้ตอบกลับไปตรงๆ จากนั้นมันก็ได้เกิดความประหลาดใจขึ้นมาอยู่หลายส่วน ขมวดคิ้วขึ้นมาติดต่อกันแล้วกล่าว “สถานที่แห่งนี้ อยู่นอกเหนือจากคำว่าปกติธรรมดาไปมากเลยนะ!”

 

“แน่นอนว่าย่อมไม่ปกติธรรมดา ” ร่างกายของเยี่ยจงในตอนนี้ก็ได้เข้ามาจนถึงบริเวณด้านบนของครึ่งลำตัวของต้นไม้มรกต ในที่แห่งนี้ เขาก็ยิ่งสามารถที่จะสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์ของพลังชีวิตอันเข้มข้นที่มาจากต้นมรกตนี้ได้ สามารถกล่าวได้ว่า ต้นมรกตนี้ไม่ว่าจะเป็นแม้เพียงใบไม้ใบเดียว ก็ถือได้ว่าเปรียบเสมือนผิวหนังของต้นไม้โบราณ ต่างก็ถือได้ว่าเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า หากว่าสามารถนำออกไปแล้วละก็ อย่างน้อยก็คงจะต้องหล่อหลอมพลังที่เทียบเท่าผืนฟ้าก็เป็นได้

 

“มาลองดูกัน ” เยี่ยจงขยับร่างกายคราหนึ่ง ใจกลางฝ่ามือก็ได้ปรากฏประกายของคมกระบี่ขึ้นมาเป็นสาย พริบตานั้นก็ได้ฟาดฟันพลังสำนึกกระบี่ตัดความว่างเปล่าออกไป กระทบเข้าไปยังด้านบนของกิ่งไม้

 

“เคร้ง——”

 

เสียงสดใสดังขึ้นมา พลังจากวิชาสำนึกกระบี่ตัดความว่างเปล่าในตอนนี้ก็ยังถึงกับไม่อาจที่จะทำอันใดได้ ไม่มีแม้แต่ริ้วรอยเกิดขึ้นมาจากกิ่งไม้ของต้นมรกตแม้แต่น้อย

 

“นี้คือกิ่งไม้ที่อยู่ทางด้านซ้ายสินะ ไม่ทราบว่ากิ่งไม้ทางด้านขวาจะสามารถที่จะตัดออกมาได้หรือไม่กัน?” เยี่ยจงทอดสายตามองออกไปอีกทางด้านหนึ่งของหมอกควัน กิ่งไม้ที่เปรียบเสมือนดั่งเขาลูกเล็กๆ ก็มิปาน ทอสายตาประหลาดออกมา

 

“ไม่จำเป็นที่จะต้องคิดมากแล้ว ต้นมรกตนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มาจากตำนานโบราณ ตอนนี้ถึงกับปรากฏขึ้นมาในบริเวณสถานที่แห่งนี้ เพียงพอที่จะกล่าวได้ว่ามันมีความไม่ธรรมดาสามัญแค่ไหนแล้ว เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องลงมืออีกต่อไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่มีประโยชน์ขึ้นมาก็เป็นได้ มิสู่ออกไปเสาะหาสิ่งที่สมควรจะเสาะหา……ภายในสถานที่อันไม่ปกติธรรมดาเหล่านี้ ย่อมต้องมีเรื่องราวอีกมากมายที่แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่อาจที่จะมองออกมาได้ ” เสี่ยวหลุนส่งเสียงเตือนสติขึ้นมา ภายในน้ำเสียงนั้นเคร่งเครียดอย่างยิ่ง

 

“หรือไม่ก็ เรื่องที่เกิดขึ้นมายุคแห่งตำนานเทพ จะเกิดขึ้นมาในสถานที่แห่งนี้ ” นี้เป็นเพียงการคาดเดาในอีกแบบหนึ่งของเสี่ยวหลุน ทว่าตัวของมันเองก็ยังไม่อาจแน่ใจได้

 

“ที่แท้ ดินแดนขนาดเล็กสายนี้จะเป็นการเปิดขึ้นมาอีกครั้งกัน กลายมาเป็นดินแดนที่แท้จริงอยู่ครั้งอย่างงั้นหรือ?” เยี่ยจงงงันขึ้นมา กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา การคาดเดาเช่นนี้ของเขา ถ้าหากว่าเป็นความจริงแล้วละก็ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหวาดกลัวไม่

 

“น่าจะมิใช่ ต้นไม้มรกตต้นนี้ อย่างน้อยก็คงจะต้องเป็นต้นที่อยู่ที่ดินแดนตงฮวงนั้น เพียงแต่ว่าไม่ทราบว่าเมื่อโบราณกาลนั้นแท้จริงแล้วได้เกิดอะไรขึ้นมากันแน่ ต้นมรกตนี้ถึงกับสามารถปรากฏขึ้นมาในสถานที่แห่งนี้ได้……” เสี่ยวหลุนถอนหายใจออกมา แฝงเอาไว้ด้วยความครุ่นคิดชนิดหนึ่ง “เช่นเดียวกัน ตำนานเล่าขานของคุนมู่ เจี้ยนมู่ เป็นต้น ตอนนี้ต่างก็ไม่อาจที่จะพบเจอได้แล้ว……ตอนนี้ข้ากำลังคิดว่า จะใช่ต้นไม้โบราณในตำนานเล่าขานเหล่านั้นหรือไม่ ที่เป็นเหมือนกับต้นมรกตก็มิปาน ที่หลบซ่อนเข้าไปยังท่ามกลางภายในดินแดนขนาดเล็กของแต่ละแห่ง ”

 

เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา ทอสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา ความนึกคิดของเขาถือได้ว่าอยู่เหนือความคิดมากกว่าผู้คนในวัยเดียวกัน แน่นอนว่าต้องทราบว่า คุนมู่และเจี้ยนมู่นั้นคืออะไร

 

ต้นคุนมู่ ถือได้ว่าเป็นต้นไม้โบราณเก่าแก่อย่างมากในตำนาน ผิวต้นไม้นั้นประดุจรอยสักมังกร เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งเทวะ ประดุจดั่งร่างของมังกรที่แท้จริงก็มิปาน ที่เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมสู่ดินแดนมนุษย์ฟ้าดิน เรียกขานกันว่าเป็นต้นไม้เทวะสู่สวรรค์

 

ต้นเจี้ยนมู่ เป็นดั่งตำนานที่ถูกเล่าขานกันมานับตั้งแต่ครั้งโบราณบรรพกาล บริเวณใจกลางที่ปกคลุมไปด้วยฟ้าดิน และราชันศักดิ์สิทธิ์ในสมัยโบราณ、จักรพรรดิใหญ่เป็นต้น ต่างก็ได้เคยเข้าสู่ดินแดนต่างๆ จากต้นเจี้ยนมู่ ถูกเรียกขานกันว่าเป็นเส้นทางสู่สวรรค์

 

ทั้งสองต้นนี้ต่างก็ถือได้ว่าเป็นต้นไม้โบราณเช่นเดียวกันกับต้นมรกต ต่างก็มีการคงอยู่ของตำนาน เพียงแต่น่าเสียดาย ที่พวกมันได้ดับสูญหายไปจากช่วงเวลาในสมัยโบราณกาลมาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่อาจที่จะสามารถเสาะหาจากท่ามกลางทั่วทั้งสี่ดินแดน

 

แต่ว่าตอนนี้ การปรากฏของต้นมรกต จะเป็นสิ่งที่คงเหลือมาจากยุคบรรพกาลอีกครั้งหรือไม่นั้น คงจะมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่จะเปิดมันขึ้นมาได้อีกครั้ง?

 

“เจ้าไม่ต้องมาคิดเรื่องเหล่านี้แล้ว ด้วยพลังฝีมือของเจ้า ต่อให้คิดเรื่องเหล่านี้ไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับมหาราชันจากสี่ดินแดน อย่างน้อยก็ยังไม่อาจที่จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะคิดถึงเรื่องเหล่านี้ นั้นก็เพราะว่ามันอยู่ยาวไกลจนเกินไป……เพียงแต่ว่า ผู้แต่เพียงผู้แข็งแกร่งยิ่งกว่า、เกิดความวุ่นวายไปทั่วผืนฟ้า ตอนนี้ทั่วทั้งสี่ดินแดนก็ได้มีบรรยากาศเช่นนี้อยู่แล้ว นอกเสียจากว่าวันข้างหน้าจะพบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคบรรพกาลเกิดขึ้นอีกครั้งก็ยังไม่แน่นอน ” เสี่ยวหลุนกล่าวออกมาประดุจชักแม่น้ำทั้งห้าสายเข้ามา แล้วก็ราวกับเป็นความคาดเดาชนิดหนึ่งเช่นเดียวกัน

 

เยี่ยจงเมื่อได้ฟังก็ได้เกิดอาการตกใจจนเสียวฟันขึ้นมา หลังจากนั้นก็ได้ส่ายหน้าไปมา ตนเองถึงกลับมีสภาวะจิตใจที่วุ่นวายเพราะว่าป่ามรกตนี้ เป็นไปอย่างที่เสี่ยวหลุนกล่าวออกมาก็มิปาน ตอนนี้ตนเองยังมีพลังฝีมือที่ยังห่างไกลอย่างมาก ต่อให้พะวงถึงเรื่องราวเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์อันใด ยังคงจดจ่อจิตใจสิ่งที่เกิดขึ้นที่อยู่เบื้องหน้าสายตาจะดีเสียกว่า

 

“เพิ่มความเร็วขึ้นเถอะ ข้าสามารถสัมผัสได้ว่า ราชาปีศาจเหล่านั้นกว่าครึ่งได้หยิบยืมพลังฝีมือบางอย่างในการเข้ามายังต้นมรกตนี้แล้ว หากว่าถูกพวกมันไล่ตามขึ้นมาได้แล้วละก็ อย่างน้อยก็คงจะต้องเกิดศึกครั้งใหญ่ขึ้นมาอย่างแน่นอน……และท่ามกลางตำหนักโบราณนั้น สมควรที่ต้องเป็นสถานที่ที่แฝงเอาไว้ด้วยโชคชะตาบางอย่าง อย่าได้พลาดไปได้เป็นอันขาด หากว่าสามารถได้รับมาแล้วละก็ วันข้างหน้าไม่แน่ว่าเจ้าจะสามารถเดินเข้าสู่จุดสูงสุดของทั่วทั้งผืนฟ้าแห่งนี้ก็เป็นได้ ” เสี่ยวหลุนกล่าวออกมา เพื่อเป็นการปลุกใจเยี่ยจง

 

“หากว่าเป็นช่วงเวลาคับขัน เจ้าข้าก็ค่อยร่วมมือกัน ใช้กำลังช่วงชิงสมบัติสูงสุดและโชคชะตามา ” เยี่ยจงพยักหน้าตอบรับ หากว่าเป็นเพราะโชคชะตาจริงแล้วละก็ เขาก็ย่อมไม่ยินยอมให้ผิดพลาดไปได้อย่างแน่นอน ต่อมา เขาพบว่าทางด้านล่างทั้งสี่ด้านไร้ซึ่งผู้คน จึงได้ใช้ออกมาด้วยวิชาดำดินรุกคืบขึ้นอีกครั้ง ลอยทะยานขึ้นมายังใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ขึ้นไปเป็นสาย มุ่งหน้าขึ้นไปทางด้านบน

 

เมื่อได้เข้ามาสู่ต้นมรกตโบราณเก่าแก่แล้ว เยี่ยจงก็ตรวจพบว่าต้นไม้นี้มีความไม่ธรรมดาสามัญ เมื่อยิ่งขึ้นสูงขึ้นไป กิ่งไม้ยิ่งมาก็ยิ่งมากขึ้น เพียงแค่ขนาดของกิ่งไม้ก็ถือได้ว่าใหญ่โตมากแล้ว ประดุจดั่งมีความสูงดั่งขุนเขาลูกหนึ่งก็มิปาน มุ่งหน้าแผ่กระจายออกไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน ไม่ยาจะเป็นหนึ่งในใบไม้ใดก็ตาม ก็ยังถือได้ว่ามีขนาดเทียบเท่ากับหุบเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งก็มิปาน ตลอดรายทางมานี้ ประดุจดั่งเข้ามาสู่แดนเทพก็มิปาน ทำให้ผู้คนราวกับไม่อาจที่จะเชื่อได้ลง

 

ระดับความเร็วของเยี่ยจงยิ่งมาก็ยิ่งเร็วขึ้น ถึงแม้ว่าตลอดทางมานี้เขาจะเป็นเห็นซากปรักหักพังที่น่าสงสัยของวัตถุส่วนหนึ่ง แต่ว่าเขาก็ยังขึ้นไปยังบนใบไม้เหล่านั้น เพียงแต่ทะยานขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้ง

 

หลังจากผ่านไปหลายวัน เยี่ยจงก็ได้พบว่า ตนเองได้ใช้ออกมาด้วยวิชาดำดินรุกคืบจนไม่อาจที่จะใช้ได้อีก จนไม่อาจที่โบยบินไปได้อีก นั้นก็เพราะว่าสถานที่แห่งนี้ได้ปรากฏสภาวะทิวทัศน์ที่แปลกประหลาดขึ้นมาต่างๆนานา ชนิดขึ้นมาอีกครั้ง ได้แต่เพียงใช้ความสามารถทางทั้งสองมือสองเท้าของตนเองในการปีนป่ายขึ้นไปอย่างไม่หยุดเท่านั้น

 

แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ระดับความเร็วของเยี่ยจงก็ยังถือได้ว่าเคลื่อนไหวได้ในระดับสูงสุด พลังยุทธ์ในหลายวันมานี้ ถือได้ว่าได้ก้าวห่างไกลออกไปมากแล้ว พอถึงตอนท้าย เขาก็รู้สึกได้ว่าสถานที่ที่ตนเองได้มาถึงเปรียบเสมือนดินแดนสวรรค์ก็มิปาน นั้นก็เพราะว่าหากมองดูจากที่สูงลงไปแล้วละก็ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ทางด้านล่างก็ไม่อาจที่จะพบเห็นสิ่งใดได้

 

“ตูม——”

 

ภายในดวงตาที่มองเข้าไปเหมือนกับพบเห็นหอสมุดอยู่แห่งหนึ่ง ทันใดนั้น กระบอกเหล็กเงินขนาดใหญ่ด้ามหนึ่งก็ได้กวาดเข้ามาจากอีกทางด้านหนึ่งออกมา มุ่งหน้าเข้าไปยังบริเวณข้างเอวของเยี่ยจง การโจมตีนี้ถือได้ว่าเผ็ดร้อนอำมหิตอย่างยิ่ง แฝงเอาไว้ด้วยพลังกดดันในระดับยอดฝีมือระดับราชันเอาไว้ หมายมั่นที่จะสังหารเยี่ยจงลงไปในทันที

 

พริบตานั้นร่างกายของเยี่ยจงก็ได้ใช้ออกมาด้วยความเร็วสูงสุด เพื่อที่จะหลบเลี่ยงจากกระบวนท่าที่กระทบเข้ามายังจุดตาย จากนั้นเขาก็หันหน้ากลับมา แล้วก็ได้พบกับราชาวานรร้ายเพลิงเทวะที่ในตอนนี้เต็มไปด้วยรังสีสังหาร ทอสีหน้าเย็นชาจ้องมองไปทางด้านของเขา

 

“ราชาวานรร้ายเพลิงเทวะ เป็นเจ้าอีกแล้วนะ!” ร่างกายเยี่ยจงหยุดนิ่งลง ทอสีหน้าเย็นชาอย่างถึงที่สุด คิดไม่ถึงว่าตนเองเร่งเดินทางมาด้วยระดับความเร็วสูงสุด ถึงกับในช่วงระยะเวลาที่คับขัน กลับถูกราชาปีศาจเหล่านี้ไล่ตามขึ้นมาได้ ดูเหมือนว่า ตนเองจะดูแคลนราชาปีศาจของแต่ละเผ่าพันธุ์ที่อยู่ภายในดินแดนขนาดเล็กแห่งนี้เกินไปแล้ว เด็กน้อยเหล่านี้แต่ละคนต่างก็มีพลังฝีมือที่เฉพาะตัว บวกกับพลังมีที่สูงล้ำ แน่นอนว่าย่อมต้องไม่ธรรมดาสามัญ

 

“เจ้าไม่เลวเลย ไม่แต่เพียงสามารถต้านทานกระบวนท่าจู่โจมของราชาเผ่าพันธุ์ควาฟู่ได้ ในช่วงเวลาคับขันยังถึงกับสามารถหลบเลี่ยงกระบวนท่าสังหารของข้าได้อีก ดูเหมือนว่า ต่อให้เป็นในกลุ่มของผู้ที่มาจากภายนอก เจ้าก็คงจะเป็นบุคคลอันดับหนึ่งสอง……ทว่า พวกเจ้าเหล่าผู้ที่มาจากภายนอกก็หาญกล้าเกินไปแล้ว พลังในระดับราชันก็ยังมีไม่ถึง ถึงกับยังกล้าที่จะมาสร้างความวุ่นวายที่ต้นมรกตนี้อีก ช่างไม่รู้จักหวาดเกรงความตายหรือยังไง? หรือว่าพวกเจ้าจะมีความเชื่อมั่นมากจนเกินไป?” ราชาวานรร้ายเพลิงเทวะหัวเราะออกมาเสียงเย็นชา สีหน้าแฝงเอาไว้ด้วยแววตาที่ดูแคลนอยู่ชนิดหนึ่ง ตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง “เจ้าหนูชนชั้นรุ่นหลัง ข้าไม่ต้องการที่จะฆ่าเจ้า ส่งมอบสมบัติทั้งหมดที่บนร่างกายออกมา รวมไปทั้งทักษะเซียน มนต์ตราเทพที่เจ้าทราบทั้งหมดออกมา ข้าอาจจะไว้ชีวิตเจ้า ปล่อยให้เจ้าจากไป ”

 

“อย่างเจ้างั้นหรือ!?” เยี่ยจงปรายตามองไปที่เขา ทอสีหน้าเย็นชาออกมาอย่างยิ่ง ราชาวานรร้ายเพลิงเทวะตนนี้ถึงแม้จะน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง มีพลังฝีมือที่ไม่ธรรมดา แต่ว่าหากต้องเผชิญหน้ากันหนึ่งต่อหนึ่งแล้วละก็ เยี่ยจงย่อมไม่เกรงกลัวแต่อย่างไร

.

.

.

.

กลุ่มละ 80ตอน/กลุ่ม/100บาทครับ
โปรโมชั่น กลุ่ม 5-12 ราคา 600
ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
#####Fanpage#####
Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset