เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 468 ซือคงจา

ตอนที่ 468 ซือคงจา

ใจกลางดินแดนซีฮวง ที่ตั้งไว้ด้วยขุนเขาโบราณที่ยาวนับหมื่นลี้ตั้งเป็นตระหง่าน ในช่วงเวลาที่แสงแห่งฤดูใบไม้ร่วงสาดส่องลงมา

เขาชิวเซี่ย (เขาใบไม้ร่วง秋霞山) ภาพทิวทัศน์อันงดงาม ธรณีเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต เล่าลือกันมานับครั้งไม่ถ้วนว่า นับแต่โบราณกาลมา ห่างคนที่อยู่บริเวณรอบนอกเขาชิวเซี่ยมองทิวทัศน์นี้เข้ามา ก็จะพบเห็นแต่ความเขียวสดใสจากที่ห่างไกลออกไปได้ เพียงแต่ว่าบริเวณรอบนอกทางด้านหลังของเขาชิวเซี่ย ก็ยังพอที่จะพบเห็นความเขียวขจีห่างออกไปนับหมื่นลี้ แฝงเอาไว้ด้วยสิ่งมีชีวิตต่างๆ แต่ว่าภายในนั้นต่างก็เต็มไปด้วยหุบเขาธารน้ำอยู่ตลอดทั่วทุกพื้นที่

บนส่วนลึกของหุบเขาแต่ละลูก ประดุจดั่งกระบี่อันคมกริบที่เสียดขึ้นฟ้าก็มิปาน ไหล่เขานั้นต่างก็ได้ปกคลุมเอาไว้ด้วยเมฆหมอก สูงชันจนไม่อาจที่จะพบเห็นปลายยอดได้ ลึกจนไม่อาจพบเห็นส่วนปลายได้ ในเวลาเดียวกัน ภายในบริเวณส่วนลึกของเขาชิวเซี่ยสายนี้ ทุกบริเวณก็จะสามารถที่จะพบเห็นกับสัตว์ปีศาจเคลื่อนไหวไปมาได้ สัตว์ปีศาจเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นปีศาจได้อย่างแท้จริง พวกมันถึงแม้จะมิได้มีสำนึกของพลัง เพียงแค่การฝึกฝนทางร่างกาย หากมองในมุมมองเช่นนี้แล้ว พวกมันก็แทบจะไม่แตกต่างจากสัตว์ประหลาดธรรมดามากมายนัก แต่ว่าการที่สัตว์ปีศาจกลุ่มนี้นั้นมิได้ฝึกฝนพลังแห่งสำนึกจึงทำให้เกิดข้อดีที่ยิ่งใหญ่อย่างอย่างหนึ่ง อย่างน้อยพลังร่างกายของพวกเขาก็ถือได้ว่าแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด เรียกได้ว่าเปรียบเสมือนดั่งไร้ผู้ต้านได้แล้วก็ว่าได้

สัตว์ปีศาจที่บริสุทธิ์เหล่านี้ ต่อให้อยู่ในระดับเดียวกันกับปีศาจกลุ่มที่อยู่ภายในหุบเขาหมื่นปีศาจก็ว่าได้ โดยสภาวะส่วนมากแล้วต่างก็ไม่ยินยอมที่จะหาเรื่องกับสิ่งใด นั้นก็เพราะว่าห่างมองในมุมมองเช่นนี้ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ก็เปรียบได้ดั่งการฝึกปรือของเผ่าพันธุ์ต่างๆ และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้อย่างไม่แตกต่างกัน เรียกได้ว่ามิอาจที่จะนำไปเทียบเปรียบได้กับสัตว์ปีศาจธรรมดาได้แล้ว

เยี่ยจงในขณะที่อยู่ภายใต้การชักนำของซือคงจา ทะยานเข้าไปยังส่วนลึกของเขาชิวเซี่ย ซือคงจากลับมิได้ทำอันใด เพียงแต่ในระหว่างการเดินทาง แต่ว่ากลับสามารถพบเห็นเหล่าสัตว์ปีศาจที่ดุร้ายอยู่กันเป็นกลุ่ม แต่ราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง แทบจะทั้งหมดนั้นกลับเอาแต่หลบซ่อนอยู่ภายในถ้ำของตนเอง มิหาญกล้าพอที่จะออกมา นี้จึงทำให้เยี่ยจงทราบได้ว่า อันใดคือสิ่งที่เป็นพลังแรงกดดันของระดับชนชั้นมหาราชันที่แท้จริงได้

และในตลอดรายทางมานี้ ก็ได้มีเหล่าสายตาเล็กๆ น้อยๆ คอยสอดส่องแอบมองอยู่ แต่ว่า ในการตรวจสอบของเยี่ยจงก่อนหน้านี้ ซือคงจาเหมือนดั่งได้ลงมือกระทำบางอย่างออกไป เพียงแค่กวาดสายตาก็เพียงพอที่จะเข่นฆ่าสังหารไปได้อย่างสะอาดหมดจนได้แล้ว

ไม่นานนัก หนึ่งคณะสองคนก็ได้เข้ามายังบริเวณภายในเขตแดนแห่งนี้ เรียกได้ว่าไม่อาจที่จะสามารถใช้เพียงสายตาในการวัดมองสิ่งที่อยู่บริเวณทางด้านหน้าได้

ซือคงจาเดินมาจนถึงบริเวณแห่งนี้ ก็ได้ยื่นมือออกมาแตะอยู่เบาๆ วินาทีนั้นก็ได้พบกับแสงเจ็ดสีพวยพุ่งเข้ามาจากภายในก้อนศิลาใหญ่ ภายใต้การไหลเวียนของธาตุและพลังปราณ ภายในก้อนศิลาขนาดใหญ่แห่งนี้ก็ได้ปรากฏประตูบานใหญ่ขึ้นมา

เยี่ยจงมองไปยังการก้าวเดินของซือคงจา จากนั้นก็ได้ค่อยๆ ที่จะเดินเข้าไปยังท่ามกลางใจกลางภายในของประตู เดินเข้ามายังบริเวณอีกทางด้านที่มืดมิดสายหนึ่ง แล้วก็ได้พบเห็นแสงสว่างอย่างชัดเจนปรากฏขึ้นมาที่เบื้องหน้า

ที่แห่งนี้เรียกได้ว่ามีทะเลหมอกปกคลุมอยู่ทั่วทั้งแนวเขา เมื่อวัดจากเส้นผ่าศูนย์กลางได้ราวร้อยลี้ได้ ตลอดทั่วทั้งบริเวณก็ได้ปกคลุมเอาไว้ด้วยพลังปราณแห่งฟ้าดินเอาไว้อย่างหนาแน่น ในเวลาเดียวกันก็ได้มีเสียงอันอบอุ่นของเสียงนกร้องดังกระทบโสตเข้ามา จนทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความสงบอยู่ชนิดหนึ่งได้

เห็นได้ชัดว่า บริเวณนี้ถือได้ว่าเป็นดินแดนขนาดเล็กอีกแห่ง แต่ละแห่งหนนั้นเปรียบเสมือนหลุดออกมาจากภาพวาด ไม่มีการเข่นฆ่าสังหาร มีแต่เพียงความอบอุ่น

“สหายน้อยเยี่ยชื่นชอบสถานที่แห่งนี้หรือไม่ ? ” ซือคงจายิ้มแล้วกล่าวถามออกมา

“สถานที่แห่งนี้เหมาะแก่การพักรักษาและฝึกปรือ ถือได้ว่าเป็นสถานที่ไว้ใช้ฝึกปรือที่ดีแห่งหนึ่งเลยทีเดียว ขอบคุณท่านผู้อาวุโสมากแล้ว ” เยี่ยจงโค้งคำนับ

“นี้ก็คือดินแดนขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ไม่ทราบว่าเป็นคนใดที่หลงเหลือเอาไว้ สถานที่แห่งนี้เป็นข้าพบเจอเมื่อพันปีก่อน ใช้เวลาถึงห้าร้อยปีกว่าจะบูรณะสถานที่แห่งนี้กลับมาอยู่ในขั้นนี้ได้ เพียงแต่ว่าน่าเสียดายอย่างยิ่ง ข้ากลับไม่อาจที่จะทำให้เกิดพลังปราณฟ้าดินในสถานที่แห่งนี้ได้ ยังคงจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาพลังสภาวะจากทั้งสี่แดนค่อยหนุนเสริมมาโดยตลอด ” ซือคงจากล่าวออกมาด้วยอาการถอนหายใจอยู่หลายส่วน

แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เยี่ยจงก็ยังถือได้ว่าชื่นชมอย่างถึงที่สุด พลังฝีมือเช่นนี้ มิใช่ว่ามีเพียงแค่พลังฝีมือเท่านั้นจึงจะสามารถที่จะกระทำได้ นี้จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาหลักการและเหตุผลในสัจธรรมอีกทางหนึ่ง

“เจ้าในช่วงเวลานี้ก็พักอยู่ในสถานที่นี้เถอะ สถานที่แห่งนี้นอกจากข้าแล้ว ก็มีแต่เพียงเหล่าศิษย์หลานของข้าพำนักอาศัยอยู่ เจ้าอยู่ในสถานที่แห่งนี้จึงถือได้ว่าปลอดภัยอย่างยิ่ง ” ซือคงจาชักนำเยี่ยจงมาจนถึงบริเวณกระท่อมหญ้าที่ปลายยอดเขา มอบยันต์หยกให้เขาชิ้นหนึ่ง “สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ข้าเมื่อก่อนหน้านี้ใช้เพื่อเก็บตัวฝึกปรือ ในที่แห่งนี้ ต่อให้เป็นคนในสำนักข้าหากมิได้รับอนุญาตก็ไม่อาจที่จะรบกวนเจ้าโดยส่งเดชได้ ในเวลาเดียวกัน นี้ก็คือยันต์มิติชิ้นหนึ่ง หากว่าในช่วงเวลาใดที่เจ้าสัมผัสได้ถึงอันตรายอันใด ก็จงบีบมันซะ มันก็จะนำพาออกไปจากบริเวณสถานที่แห่งนี้ กลับเข้าไปยังเขาชิวเซี่ย ”

หลังจากที่จัดการหมดทุกสิ่ง ซือคงจาก็ได้ถ่ายทอดวาจาอธิบายสิ่งต่างๆ อีกเล็กหน่อย จากนั้นก็ได้ทะยานร่างลอยจากไป

ในขณะที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากระท่อมหญ้าเก่าแก่ ก็ได้แต่เพียงเหม่อมองไปยังเงาร่างของซือคงจาค่อยๆ เลือนหายไป หลังจากที่เยี่ยจงครุ่นคิดอยู่สักพัก จึงได้มองเข้าไปยังยันต์หยกที่อยู่ภายในใจกลางฝ่ามือ กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา : “เสี่ยวหลุน ยันต์มิตินี้ เจ้าว่ามีประโยชน์อย่างงั้นหรือ ? ”

“มีประโยชน์สิ นี้สมควรเป็นสิ่งที่ซือคงจาผู้นั้นหลอมขึ้นมาด้วยตนเอง เพื่อใช้ไว้เข้าออกไปบริเวณสถานที่แห่งนี้ด้วยยันต์ปราณ อีกทั้งด้านบนยังมิได้สิ่งที่คอยป้องกันหรือคอยจับตาดูแต่อย่างไร ดูเหมือนว่าจะมีไว้ใช้สำหรับคุ้มครองเจ้าจริงแล้วละ ” เสี่ยวหลุนเอ่ยขึ้นมาเพื่อคลี่คลายข้อสงสัย

“สถานที่แห่งนี้ เป็นมิติขนาดเล็กที่ชนชั้นมหาราชันเผ่ามนุษย์เบิกขึ้นมา หรือก็คือใช้ไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังอย่างศิษย์หรือศิษย์หลานพักอาศัย กล่าวกันตามเหตุและผล เขาถึงกับออกหน้าเพื่อข้า ให้ข้ามาพักยังสถานที่แห่งนี้ เช่นนั้นก็สมควรไม่สร้างความลำบากใจต่อข้า เช่นนั้น ยันต์หยกชิ้นนี้จะมีความหมายอันใดกัน ? ” เยี่ยจงครุ่นคิด ทอสีหน้าประหลาดอย่างยิ่ง เขาสามารถเชื่อใจได้ว่า ซือคงจาสมควรที่จะไม่มีความคิดที่ไม่ดีต่อตนเองอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ ตลอดรายทางมานี้เขาย่อมต้องมีโอกาสในการสังหารตนเองลงไปได้ทุกเมื่อ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องทำถึงขั้นนี้

แต่ว่า การจัดการในขณะนี้หมายความว่าอย่างไรกัน

“ภายในหมู่เผ่ามนุษย์ ใช่ว่าจะเป็นขวากหนามไปแทบทั้งสิ้น ต่อให้เป็นศิษย์ลูกศิษย์หลาน หรือเหล่าผู้ที่เป็นผู้สือบทอดของมหาราชันแห่งยุคผู้นี้ ใช่ว่าจะมีคุณลักษณะความคิดเช่นเดียวกันกับเขา สิ่งที่อยู่บนตัวของเจ้า ซือคงจาแม้จะไม่เห็นอยู่ในสายตา ศิษย์ลูกศิษย์หลานเขาจะไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่ว่าก็มีหรือที่ภายในกลุ่มของศิษย์เหลนจะเกิดความโลภขึ้นมามิได้ ? ” เสี่ยวหลุนกล่าวออกมาเสียงราบเรียบ “สิ่งเหล่านี้ใช่ว่าข้าต้องการที่จะทำให้เจ้ามองเผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าดำมืดไปเสียหมด เพียงแต่การวางแผนเช่นนี้จึงถือได้ว่าเป็นแผนที่ดีที่สุดแล้ว ถึงแม้เจ้าขณะนี้จะเข้ามายังสถานที่แห่งนี้อย่างเร้นลับ แต่ว่า สถานที่แห่งนี้ก็ยังคงมีการไปมาหาสู่กับดินแดนภายนอกอยู่ ข้าคิดว่า อีกไม่นานนักข่าวของเจ้าที่อยู่ภายในดินแดนขนาดเล็กแห่งนี้จะถูกเปิดโปงจากภายในก็เป็นได้ ? ”

“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น ”

เยี่ยจงถอนหายใจออกมา หันหน้ากลับไปมองยังท่ามกลางหุบเขาคราหนึ่ง ว่าอยู่ในจุดใด ก็ได้มีสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่ตั้งเรียงรายกันอยู่ ประดุจดั่งเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่งก็มิปาน ถึงแม้ทั้งหมดทั้งมวลนั้นจะอยู่ในระยะห่างจากเยี่ยจงอยู่ในขณะนี้ราวสิบกว่าลี้ก็ตาม แต่ว่า หากมองในมุมมองของผู้ฝึกยุทธ์ผู้หนึ่ง สิบกว่าลี้มีอันดับที่ยาวไกลกัน

“ท่านผู้อาวุโสพาข้ามาจนถึงที่แห่งนี้ แล้วยังจากไปเร็วถึงเพียงนี้ อย่างน้อยก็คงจะเป็นเพราะว่ามหาราชันปีศาจทุนเทียนผู้นั้นแล้วกระมั่ง ? ” เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา หลังจากนั้นก็ได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาย่อมเข้าใจเป็นอย่างดี หุบเขาหมื่นปีศาจแน่นอนว่าย่อมไม่อาจอยู่เฉยเช่นนี้อย่างแน่นอน และทั้งหมดนี้ ตนเองก็จำเป็นที่จะต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ ซือคงจาจนในตอนสุดท้ายคงไม่มอบสิ่งของเพื่อออกไปจากสถานที่แห่งนี้แก่ตนเอง

“คัมภีร์กฎแห่งสวรรค์ สายทางแห่งดวงตะวัน สิ่งของทั้งสองชิ้นนี้ต่างก็ถือได้ว่าเป็นวัตถุเทพที่มีเพียงผู้ที่มีวาสนาจึงจะได้รับ ขณะนี้ได้ตกมาอยู่ในมือของข้า ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยากยิ่งนัก น่าเสียดาย ที่สิ่งของทั้งสองชิ้นนั้นแน่นอนว่าข้าย่อมไม่อาจที่จะปล่อยออกไปได้ ” เยี่ยจงครุ่นคิด หลังจากนั้นก็ได้กล่าวกับตนเองเสียงแผ่วเบา สงบจิตสงบใจเอาไว้

ถ้าหากซือคงจาเป็นคนเช่นนี้ เยี่ยจงย่อมต้องมีความเชื่อมั่นในตัวของเขา ว่าจะไม่มีทางที่จะจัดการลงมือเรื่องราวเช่นนี้อย่างแน่นอน นั้นก็เพราะว่าเขานั้นเป็นถึงชนชั้นมหาราชันแห่งดินแดนเผ่ามนุษย์ และคนอื่นๆ ก็คงจะเป็นไปได้ยากแล้ว

บริเวณบนปลายของยอดเขานั้นสงบเป็นอย่างยิ่ง ตั้งไว้ต้นไม้โบราณนับพันปี กิ่งก้านนั้นก็ได้ยื่นออกไปภายนอกยอดเขา ถูกลมพัดกระทบจนเคลื่อนไหวไปมาอยู่เบาๆ

และบริเวณด้านบนของกิ่งไม้โบราณต้นนี้ ก็จะสามารถพบเห็นรอยเท้าหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน สถานที่แห่งนี้ก็คือบริเวณที่ฝึกปรือของซือคงจานั้นเอง ที่พบเห็นได้ ก็คือเหมือนกับว่าเขาได้ยืนอยู่บริเวณกิ่งไม้นี้มาอย่างเนิ่นนานนับพันปีแล้วก็มิปาน

หลังจากที่ได้ฝึกปรือในสถานที่แห่งนี้อย่างเงียบสงบไปนับเจ็ดวัดแล้ว เยี่ยจงในที่สุดก็ได้พักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บทั้งหมดไปจนสิ้น ในเวลาเดียวกันก็สามารถที่จะสัมผัสได้ว่า พลังฝีมือของตนเองราวกับว่าได้ก้าวหน้าขึ้นมาอีกระดับหนึ่งก็มิปาน แต่ว่าการที่จะขึ้นสู่อีกระดับนั้นก็ยังถือได้ว่ายังอยู่ในระยะทางเพียงสั้นๆ ที่จะทะลวงผ่านไปได้เท่านั้น

แต่ว่าเยี่ยจงกลับมิได้เป็นห่วง ในทุกๆ วันเขาเอาแต่ฝึกปรือสายทางแห่งดวงตะวัน เพาะเลี้ยงพลังปราณภายในของตนเอง สัมผัสความเปลี่ยนแปลงของพลังปราณเปลี่ยนแปลงเทวะสมุทรที่อยู่ภายในร่างกายของตนเองอย่างละเอียด ค่อยๆ ที่จะสัมผัสทุกสิ่งที่อยู่ภายในร่างกาย

นี้ถือได้ว่าเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญอย่างมาก พลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะ เรียกได้ว่าเปรียบเสมือนสิ่งที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเยี่ยจง ต่อให้เป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ไท่กู่ก็ยังถือได้ว่ามีความสำคัญรองลงมา แต่ว่า สิ่งที่มิได้ถูกบันทึกอยู่ภายในคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์ทั้งหมดนี้ เยี่ยจงก็ถือได้ว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แม้แต่เสี่ยวหลุนที่มีประสบการณ์การพบเจอมามาก ก็ยังเพียงบอกเล่าได้แต่เพียงแค่ตำนานเท่านั้นเอง

แต่ว่าหลังจากที่สนทนากับเสี่ยวหลุนแล้ว เยี่ยจงคาดเดา เพราะว่าตนเองมีการปรากฏขึ้นมาของพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะ จึงทำให้ช่วงระยะเวลาที่อยู่ในระดับพลังอีกครึ่งก้าวสู่ระดับราชันเกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นมา เพื่อที่ตนเองจะเพิ่มแนวทางการฝึกปรือขึ้นมาจากรากฐาน ในเวลาที่ได้เข้าสู่ระดับราชันในวันข้างหน้า จึงจะสามารถเรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่สมบูรณ์ได้ ดังนั้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้กลับยังมิจำเป็นที่จะต้องรีบร้อน เพียงแต่จำเป็นที่จะต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป

ยามเช้าสงัด เยี่ยจงก็ได้ยืนอยู่หน้าผาโบราณ ในมือถือเอาไว้ด้วยม้วนหนังสือโบราณอยู่เล่มหนึ่ง

คัมภีร์กุ่ยจาง (คัมภีร์กุ่ยจาง) สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งของที่ผู้คนภายในดินแดนซีฮวงต่างก็ไม่อาจทราบได้ เมื่อก่อนหน้านี้ในดินแดนซานเชียนเซินเจี่ย (แดนเทพ) เรียกได้ว่ามีนามเลื่องลือเป็นอย่างมาก นั้นก็เพราะว่านามของพลังวิชาฝึกปรือกุ่ยจางนี้ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของพลังหลอมยันต์มนต์ตราแขนงหนึ่ง ในช่วงที่วัตถุชิ้นนี้ปรากฏขึ้นสู่โลกหล้า จนสร้างแรงดึงดูดจากค่ายกลประดุจสายฝนโลหิตขึ้นมาได้ ยอดฝีมืออันเลื่องลือนับไม่ถ้วนต่างก็เกิดการตายตกภายใต้การแย่งชิงในครั้งนี้ สามารถเรียกได้ว่าเกิดการนองเลือดประดุจดั่งธาราเลยก็ว่าได้

*T/L หายไปนานจนผู้แปลเกือบลืมไปละ

และม้วนคัมภีร์นี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่เยี่ยจงได้รับมาจากการประมูลครั้งที่อยู่ที่รัฐต้าโจว แต่เยี่ยจงกลับยังไม่มีพลังแห่งจิตที่มากพอที่จะเปิดมันขึ้นมาได้ก็เท่านั้น

หลังจากที่เมื่อวันก่อนที่ได้ใช้ค่ายกลสังหารไร้อนันต์สังหารยอดฝีมือไปมากมายนับไม่ถ้วนมาโดยตลอด เขาขณะนี้จึงจำเป็นที่จะต้องใช้จนให้เกิดความคุ้นเคยประดุจดั่งการใช้มนต์ตราเทพออกมาให้ได้ในระดับเดียวกัน

คัมภีร์กุ่ยจางนั้นถือได้ว่าลึกล้ำเหนือคนา ถือได้ว่าเป็นหนังสือวิชายันต์อันเก่าแก่ก็ว่าได้ ทุกตัวอักษรที่อยู่ภายใน ต่างก็เต็มไปด้วยความลี้ลับอย่างเต็มเปี่ยม ทำให้ผู้คนที่มองคิดจะมองซักหลายครา จะต้องเกิดอาการปวดแสบไปถึงจิตใจ

หลังจากนั้นเอง เยี่ยจงก็ไม่อาจที่จะนำไม่อาจที่จะนำเบาะไม้สานที่สานมาจากไม้เทวะออกมานั่งลงได้ในเวลาเดียวกัน และในครั้งนี้ เขาจึงพอที่จะสามารถที่เกิดความเข้าใจต่อคัมภีร์กุ่ยจางที่จดบันทึกอยู่ภายในเหล่านี้เอาไว้ได้

หากเป็นไปตามบันทึกที่อยู่ภายในคัมภีร์กุ่ยจาง ผู้ฝึกยันต์ปราณที่แท้จริงนั้น สามารถที่จะเป็นเพียงบุคคลธรรมดาสามัญก็ยังได้ เขาเดิมทีแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องฝึกฝนวิชาใดๆ แม้แต่น้อย แต่ว่าก็ยังจำเป็นที่จะต้องเป็นการเตรียมรับมือกับการควบคุมยันต์ปราณ

วิชาประเภทยันต์ปราณที่แท้จริงนั้นเรียกได้ว่าอยู่ในระดับขอบเขตที่ยิ่งใหญ่นัก จนกระทั่งสามารถที่จะวาดยันต์ผ่านท้องฟ้า พลิกแพลงกลับกลายด้วยฝ่ามือ หมื่นสรรพสิ่งที่อยู่ภายในดินแดน ขอเพียงเป็นสิ่งที่รับพลังปราณแห่งฟ้าดินเอาไว้ ก็จะสามารถที่จะนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการสร้างยันต์ปราณได้แล้ว

เพียงแต่ว่า ในด้านของขอบเขตนั้นถือได้ว่าอยู่สูงล้ำจนเกินไป และขณะนี้สิ่งที่เยี่ยจงพอจะทำความเข้าใจได้ ก็ทำไปจนแทบจะทั้งหมดแล้ว ต่อจากนี้คงจะมีแต่ค่อยๆ ไปแล้ว

“ชิ——”

ตามความเคลื่อนไหวของนิ้วมือเยี่ยจงที่ขยับไปมาเบาๆ ก็ได้เกิดอักขระน้อยๆ ปรากฏขึ้นมาระหว่างฟ้าดิน ผนึกรวมกันขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย จนท้ายที่สุดก็ได้กลายเป็นยันต์ปราณขนาดเล็กแผ่นหนึ่ง

“คัมภีร์กุ่ยจาง ที่แท้ถึงกับมีความลี้ลับอย่างไร้ที่เปรียบ เมื่อเทียบกับวิชายันต์ตามปกติธรรมดาแล้ว ถือได้ว่าลี้ลับกว่าไม่รู้กี่เท่า แทบจะไม่แตกต่างจากการเรียกขานได้ว่าเป็นวิชาในการฝึกจิตเลยแม้แต่น้อย ”

หากเป็นไปตามบันทึกของคัมภีร์กุ่ยจาง วิชามนต์ตรายันต์เทพสายนี้ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจที่จะฝึกปรือก็ว่าได้ มนต์ตรายันต์ทั้งหมดนี้เรียกได้ว่าใช้แต่เพียงความ” เข้าใจ” เพียงตัวเดียวเท่านั้น หากว่าเข้าใจ เช่นนั้นก็คือเข้าใจแล้ว และหากว่าเจ้าไม่เข้าใจ ทุกอย่างก็เป็นได้แต่เพียงแค่ความว่างเปล่า ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเปรียบเสมือนความเพ้อฝันเท่านั้น แต่ว่าก็เห็นได้ชัดว่าอย่างยิ่ง จึงจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจอย่างช้าๆ เท่านั้น

เยี่ยจงนั่งลง ค่อยๆ ที่จะพลิกหนังสือโบราณเล่มนี้ดูอย่างละเอียด ทอสีหน้าปกติอย่างถึงที่สุด

.

.

.

.

กลุ่มละ 80ตอน/กลุ่ม/100บาทครับ

โปรโมชั่น กลุ่ม 6-12 ราคา 550

VIP5 https://goo.gl/ekcF7V

VIP6 https://goo.gl/4rqw89

VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA

VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x

VIP9 https://goo.gl/1jPZtn

VIP10 https://goo.gl/L8awva

VIP11 https://goo.gl/rojEiG

VIP12 https://1th.me/o9CD

ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่

INBOX m.me/ZuiQiangWuShen

#####Fanpage#####

https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset