เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 471 การปะทะ

ตอนที่ 471 การปะทะ

T/L : ขออภัยด้วยนะครับ ขอแก้ คำว่า รัฐซือ เป็น รัฐสือ นะครับ เนื่องจากสะกดผิด

“หากว่าข้าคิดที่จะสังหารเจ้า เช่นนั้นก็คงจะไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าได้แล้ว! นอกเสียจากผู้อาวุโสซือคงออกหน้า เจ้าก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ” สือซิ่งเดินออกมาทีละก้าวเข้าไปใกล้ยังบริเวณทางด้านของเยี่ยจง ยังคงทำตัวสูงศักดิ์ ประดุจกำลังจ้องมองมดแมลงก็มิปาน มองไปที่เยี่ยจง

ภายในดวงตาของเขาก็ได้ไหลเวียนไปมาด้วยรังสีสังหาร พลังลมปราณก็ได้พุ่งขึ้นมาจากทางด้านหลัง ไร้ซึ่งความหวาดกลัว ก่อเกิดพลังแห่งจักรพรรดิชนิดหนึ่งขึ้นมา ระหว่างนั้นมือข้างหนึ่งของเขาก็ได้ยื่นออกมาบริเวณทางด้านหน้า ฝ่ามือปานศิลาสายหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นมาท่ามกลางอากาศอีกครั้ง มุ่งหน้าฆ่าสังหารไปบริเวณทางด้านที่เยี่ยจงอยู่

จากการไปๆ มาๆ ด้วยกระบวนท่าที่ง่ายดายเพียงกระบวนท่าเดียว อีกทั้งยังเป็นเพราะว่าความมั่นใจของสือซิ่ง ยิ่งทำให้สภาวะร่างกายของเขาเกิดพลังฝีมืออันน่าหวาดกลัวขึ้นมาได้ กล่าวกันโดยส่วนมากแล้ว น้อยคนนักที่จะใช้ออกมาเพียงกระบวนท่าเดียวติดต่อกันเช่นนี้ออกมา ทว่าการกระทำเช่นนี้ของสือซิ่ง ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่าเขานั้นไม่เห็นเยี่ยจงอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

เยี่ยจงใช้ออกมาด้วยวิชากายาทองไม่สูญสลาย ฝ่าเท้าก็ได้ก้าวออกไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าว มือขวาก็ได้ผนึกเป็นพลังหมัดพุ่งออกไปอีกครั้ง จากนั้นคมหมัดก็ได้แตกกระจายออกไปบริเวณทางด้านหน้า

“ตึง——”

เสียงประดุจการตีเหล็กดังสนั่นเสียดใบหน้าขึ้นมาอีกครา เสียงนั้นแผ่กระจายประดุจคลื่นสาดซักก็มิปาน มุ่งหน้าแผ่กระจายออกไปทั่วทั้งสี่ทิศ ภายใต้เสียงของพลังแรงกดดันอันน่าหวาดกลัว ตลอดทั่วทั้งกลางห้องโถงก็ได้ปรากฏว่าเครื่องประดับประดาต่างๆ แตกกระจายออกมาจนเป็นผง และยอดฝีมือคนอื่นๆ ต่างก็ขมวดคิ้วถอยหลังไปในเวลาเดียวกัน อีกทั้งสีหน้าของจงหลี่ กล่าวได้ปั้นยากเสียยิ่งกว่านั้นยากเสียอีก

เยี่ยจงเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาภายในจิตใจ พึ่งจะใช้ออกไปเพียงแค่หมัดเดียว ตนเองก็ไม่อาจที่จะรักษาสภาวะเอาไว้ได้แล้ว หากว่าเป็นยอดฝีมือชนชั้นราชันปกติธรรมดา ต่อให้อยู่ในสภาวะพลังสูงสุดก็ตาม ก็ใช่ว่าจะสามารถที่จะต้านทานพลังจากกายเนื้อของตนเองได้ ทว่า สือซิ่งนี้นึกไม่ถึงเลยว่าจะสามารถที่จะทำได้ ถือได้ว่าอยู่นอกเหนือความคาดหมายได้อย่างแท้จริง เขาที่มีอายุยังเยาว์วัยกลับสามารถที่จะมาถึงขอบเขตนี้เลยอย่างงั้นหรือ?

บุคคลเฉกเช่นนี้ เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเผ่าพันธุ์เลยก็ว่าได้ ถือได้ว่ามีความแข็งแกร่งที่มากมายอย่างยิ่ง หรือจะกล่าวว่าบุคคลเช่นนี้ จึงถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงก็ว่าได้

สือซิ่งจ้องมองไปที่เยี่ยจง ทอสีหน้าเย็นเยียบอย่างยิ่ง แววตาทอประกายเย้ยหยันขึ้นมาอย่างมาก ในสายตาของเขา เยี่ยจงแทบจะไม่อาจที่จะต้านทานเขาได้แม้แต่เพียงกระบวนท่าเดียว

“สู้กันพอแล้วหรือยัง? ถ้าหากสู้กันพอแล้วละก็ ก็เปลี่ยนมาถึงคราวข้าบ้าง!”

เยี่ยจงกล่าวออกมาอย่างเย็นเยียบ พริบตานั้นเอง เขาก็ได้ก้าวออกไปหนึ่งก้าว พลังอักขระจูเชวียนก็ได้ถูกผนึกรวมเอาไว้บริเวณใจกลางฝ่ามืออย่างรวดเร็ว พลังอักขระเหล่านี้ก็ได้ทับซ้อนกันอย่างรวดเร็ว บริเวณใจกลางฝ่ามือก็ได้ปรากฏกระบี่เพลิงขนาดเล็กยาวขึ้นมาเล่มหนึ่ง กระบี่เล็กนั้นมีลักษณะที่คมกริบทุกอณู แม้แต่สภาวะอากาศก็ได้แตกกระจายออกไปเป็นเส้นสีแดงขึ้นมาเป็นสาย

นี้ก็คือไท่กูจูเชวียนเปลี่ยนแปลงที่สี่ กระบี่กระจ่างจูเชวียน ที่เยี่ยจงฝึกสำเร็จได้ในภายหลัง อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ใช้ออกมา กระบวนท่านี้สามารถกล่าวได้ว่าเป็นกระบวนท่าที่มีความแข็งแกร่งที่สุดของเยี่ยจงเมื่อก่อนหน้านี้ มีหรือที่จะหวาดเกรงต่อการปะทะพลังฝีมือกับชนชั้นราชันที่แท้จริงได้

แต่ว่ากระบี่ขนาดเล็กยาวสีแดง กลับมีความงดงามประดุจสายรุ้ง เพียงแต่ว่าชั่วแวบเดียวก็ปกคลุมไปตลอดทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ จนทำให้สีหน้าของยอดฝีมือทั้งหมดเปลี่ยนไปในเวลาเดียวกัน นั้นก็เพราะว่าทุกผู้คนต่างก็สามารถที่จะสัมผัสได้ว่า ภายในของกระบี่เล็กด้ามนี้ แท้จริงแล้วได้รวมเอาไว้ด้วยพลังอันมหาศาลอย่างน่าหวาดกลัวถึงขนาดไหน

แม้แต่สือซิ่งเองที่มองเยี่ยจงมาโดยตลอดในเวลานี้ก็ได้มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอยู่เล็กน้อย เขาก้าวออกมาคราหนึ่ง ราวกับว่าได้ถอยออกไปทางด้านหลังอย่างไร้สุ้มเสียง ระดับความเร็วถือได้ว่าราวกับสามารถที่จะทำให้เกิดอาการละลานสายตาขึ้นมาได้ โดยที่ไม่อาจที่จะใช้เพียงพลังสายตาในการติดตามได้

แววตาของเยี่ยจงก็ได้เกิดความเคร่งเครียดน้อยๆ ขึ้นมา กระบวนท่านี้ถึงแม้ว่าจะไม่อาจที่จะเทียบได้กับวิชาดำดินรุกคืบ ทว่าระดับความเร็วกลัวถือได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าแตกตื่นได้อย่างไม่น้อยหน้าเลยทีเดียว

เพลิงสีแดงของกระบี่เล็กก็ได้หมุนเวียนอยู่ท่ามกลางอากาศ พุ่งเข้าไปยังบริเวณทางด้านที่สือซิ่งอยู่อีกครั้ง ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่คนปกติทั่วไปไม่อาจที่จะหลบรอดออกไปได้ ทว่าสือซิ่งยังคงใช้ออกมาด้วยสภาวะร่างกายจนถึงขีดสุด ก็ยังพอที่จะสามารถหลบเลี่ยงกระบวนท่าสังหารนี้ไปได้อย่างไม่ยากเย็น

“วิชาประจำราชวงศ์วิชาประจำราชวงศ์รัฐสือ ท่าร่างหลบเลี่ยงห้าธาตุ ” จงหลี่ทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมา กล่าวออกมาด้วยความสงสัย

ท่าร่างหลบเลี่ยงห้าธาตุ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในวิชาเฉพาะเผ่ามนุษย์ ใช้หลักการเข้าออกของห้าธาตุ เพิ่มระดับความเร็วอย่างไม่เป็นสองรองใคร น่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด แม้แต่จงหลี่เองก็ยังคิดไม่ถึงว่า สือซิ่งผู้นี้กลับศึกษาวิชาฝีมือเช่นนี้ด้วย

เยี่ยจงเองก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นมา ระดับความเร็วของสือซิ่งนี้ เรียกได้ว่าอยู่ในระดับความเร็วขั้นที่เรียกได้ว่ายากที่จะคาดเดาเอาไว้ได้ ราวกับเทียบเคียงกับวิชาดำดินรุกคืบได้อยู่หลายส่วน ทั้งยัง เมื่อเทียบกับวิชาดำดินรุกคืบแล้ว ราวกับว่ายังถือได้ว่าแฝงความเร้นลับขึ้นมาอีกหลายส่วน นั้นก็เพราะว่ามันคือท่าร่างหลบเลี่ยงห้าธาตุ ระดับความเร็วย่อมมิใช่สิ่งที่แข็งแกร่งเพียงด้านเดียว

สิ่งนี้ถือได้ว่าสามารถเป็นหนึ่งในไพ่ตายที่ทางรัฐสือมอบให้แก่สือซิ่ง ภายใต้ท่าร่างหลบเลี่ยงห้าธาตุของเขา แม้แต่สายตาของยอดฝีมือปกติธรรมดาก็ยังยากที่จะติดตามระดับความเร็วได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการลงมือเลยก็ว่าได้

“ท่าร่างหลบเลี่ยงห้าธาตุ วิชาดำดินรุกคืบ ถือได้ว่าเป็นวิชาเฉพาะของเผ่ามนุษย์เท่านั้นที่จะสามารถใช้ได้เช่นเดียวกัน ไม่ทราบว่าเมื่อวิชาทั้งสองชนิดนี้ได้มาปะทะกันในเวลานี้แล้วละก็ ผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่ากัน!” มีคนแตกตื่นขึ้นมา เยี่ยจงผู้คนต่างก็ทราบกันตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นผู้ที่ถือครองวิชาดำดินรุกคืบมาตั้งแต่แรกโดยที่มิใช่ความลับอันใด เวลานี้วิชาดำดินรุกคืบปะทะกับท่าร่างหลบเลี่ยงห้าธาตุ เรียกได้ว่าเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง

บนใบหน้าของสือซิ่งในเวลานี้ก็มิได้เกิดความหยิ่งผยอง แววตาของเขาประดุจคมดาบ จ้องมองไปที่เยี่ยจง ทอสีหน้าเย็นเยียบขึ้นมาอยู่หลายส่วน หากว่ามิใช่ว่าเขานั้นใช้ออกมาด้วยท่าร่างหลบเลี่ยงห้าธาตุแล้วละก็ เมื่อครู่คงจะไม่อาจที่จะหลบรอดพ้นจากกระบวนท่าสังหารของเยี่ยจงก็เป็นได้ และหากว่าถูกกระบวนท่าเช่นนี้จู่โจมเข้ามาแล้วละก็ สือซิ่งเองก็ทราบเป็นอย่างดี ต่อให้เป็นเขาเอง ก็ไม่พ้นจากอาการบาดเจ็บหนักได้

แต่ว่า ในขณะที่หลังจากจ้องเขม็งไปที่เยี่ยจงเช่นนี้แล้ว สือซิ่งก็ได้ก้าวออกมาทีละก้าวเข้ามาใกล้ทางด้านหน้าอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะทราบดีอยู่แล้วว่าเยี่ยจงนั้นถือครองทักษะเซียน วิชามนต์ตราเทพอยู่ส่วนหนึ่งที่ไม่แน่ว่าอาจที่จะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บได้ ทว่าเขาก็ยังคงไร้ซึ่งความหวาดกลัว ในทางกลับกันกลับยิ่งทวีแววตาเร่าร้อนขึ้นมายิ่งกว่าเดิม จากที่เขามอง ขอเพียงจัดการเยี่ยจงได้อยู่หมัด เช่นนั้นสิ่งเหล่านี้ก็จะต้องตกกลายเป็นของของเขาแล้ว ความบ้าคลั่งชนิดนี้ ถือได้ว่าเหนือกว่าทุกผู้คนอยู่ขั้นหนึ่งก็ว่าได้ จนทำให้ผู้คนเกิดความหนาวเหน็บขึ้นมาได้

“พอได้แล้ว! สือซิ่ง! เจ้าคิดว่าข้าจงหลี่นั้นเป็นแค่เพียงอากาศธาตุอย่างงั้นหรือ? หากว่าเจ้ายังคงลงมือก่อกวนอีก ก็เชิญลงมือได้เลย ข้าจะเปิดใช้ค่ายกลใหญ่ สังหารเจ้าเสีย!” จงหลี่ยกมือยืนกุมไปที่หน้าอกแล้วลุกขึ้นมา ทอสีหน้าแข็งทื่อ เรียกได้ว่าปั้นยากขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

“แต่ก็แค่เพียงฆ่าเจ้าสวะไร้ค่าที่ไม่เคารพของรัฐกู่กวอเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง พี่จงหลี่เจ้าไยต้องทำเช่นนี้กัน?” สือซิ่งสาดทอประกายดวงตาขึ้นมา เก็บงำรังสีสังหารเอาไว้ ทว่าเขาก็ยังคงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา

“เขานั้นเป็นแขกผู้มีเกียรติของสำนักข้า เป็นท่านบรรพบุรุษพาเข้ามาเอง อีกทั้งยังเป็นข้าที่นำพาเขามายังงานเลี้ยงนี้ด้วยตนเอง หากว่าเจ้ายังคงยืนยันที่จะลงมืออยู่ในสถานที่แห่งนี้อีกแล้วละก็ ก็ขอจงออกไปที่ลานด้านนอก อย่าได้เป็นสิ่งโสมมของสำนักข้า!” จงหลี่กัดฟันไปมา เตรียมพร้อมที่จะใช้ค่ายกลออกมาทุกเมื่อ เห็นได้ชัดว่าได้เกิดโทสะขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

“ได้! ข้าจะเห็นแก่หน้าของจงหลี่เจ้า ไม่ลงมือในสถานที่แห่งนี้อีก ” หลังจากที่สือซิ่งงงงันขึ้นมา จึงค่อยได้หันกายออกไปจากตำหนัก “แต่ว่า คัมภีร์กฎแห่งสวรรค์ และสายทางแห่งดวงตะวัน ต้องเป็นของข้าอยู่แล้ว!”

ระหว่างที่เขาหลีกออก ยอดฝีมือเผ่ามนุษย์หลายคนที่ยืนอยู่บริเวณทางด้านหลังของเขาก็ได้โค้งกายไปทางด้านของจงหลี่ และระหว่างหลังจากนั้นเขาก็ได้ค่อยๆ หลบออกไป

จงหลี่ทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมา หลังจากนั้นสักพัก จึงได้หันกายกลับมา กล่าวออกมาด้วยคำพูดที่แฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกที่เสียใจ : “พี่เยี่ย ในครั้งนี้เป็นข้าทำร้ายเจ้าแล้ว ข้าคิดไม่ถึงว่าเด็กน้อยผู้นี้จะปรากฏตัวขึ้นมายังสถานที่แห่งนี้ได้ ทั้งยังไม่นึกเลยว่าเขากลับยังหาญกล้ากระทำเรื่องไร้ยางอายในสถานที่แห่งนี้เช่นนี้ เป็นข้าที่ผิดเอง แต่ว่าเจ้าวางใจเถอะ ขอเพียงอยู่ภายในดินแดนขนาดเล็กแห่งนี้ เขาย่อมไม่อาจที่จะทำอย่างไรเจ้าได้อย่างแน่นอน ”

“เขาที่แท้อยู่ในระดับขอบเขตใดกัน?” เยี่ยจงส่ายหน้าไปมา หลังจากนั้นจึงได้เอ่ยปากขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเสียงแผ่วเบา

“เมื่อสามปีก่อน กล่าวกันว่าเขาได้เบิกพลังเข้าสู่พลังเทวะขั้นที่หนึ่งได้แล้ว ทว่าหลังจากที่ผ่านมาแล้วสามปีมานี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจที่จะทำความเข้าใจอย่างกระจ่างได้ นั้นก็เพราะว่าเดิมทีแล้วคนอื่นๆ ย่อมไม่อาจที่จะทำให้เขาแสดงไพ่ตายออกมาได้ ” จงหลี่ทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมาอยู่หลายส่วน บุคคลเฉกเช่นนี้ ถือได้ว่าทำให้เขาเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอยู่หลายส่วนได้เหมือนกัน

“พลังเทวะขั้นที่สอง หรือไม่ก็พลังเทวะขั้นที่สามของระดับราชันอย่างงั้นหรือ?” เยี่ยจงทอประกายแววตาเย็นเยียบออกมา หลังจากนั้นก็ได้หัวเราะออกมาอย่างไร้สุ้มเสียงแล้วกล่าว “ก็เพียงแค่องค์ชายเผ่ามนุษย์แห่งรัฐสือเพียงคนเดียวเท่านั้น คิดจริงหรือว่าตนเองจะเป็นที่สุดแห่งเผ่ามนุษย์ได้อย่างงั้นหรือ? พลังเทวะขั้นที่สามของระดับราชันใช่ว่าข้าจะไม่เคยฆ่าสังหารมาก่อน!”

จงหลี่มองไปที่เยี่ยจง หลังจากนั้นก็ได้ทอสีหน้าประหลาดแล้วพยักหน้าไป เขาลืมเลือนไปว่า สือซิ่งเป็นตัวยุ่งยาก ทว่าเยี่ยจงเบื้องหน้าสายตาผู้นี้กลับบุคคลที่สามารถจะหาเรื่องได้อย่างแน่นอน เพียงแค่ดูจากเรื่องที่เขากระทำเมื่อก่อนหน้านี้ก็พอที่จะทราบได้ หากว่าก่อความยุ่งยากขึ้นมาแม้ปลายเส้นผมแล้วละก็ ผู้ใดก็ไม่อาจที่จะทราบได้ว่าผลลัพธ์นั้นจะออกมาเช่นไร

“ท่าร่างหลบเลี่ยงห้าธาตุ เพียงแต่ว่าถือได้ว่าเป็นหนึ่งในวิชาแห่งเผ่ามนุษย์ที่สือซิ่งถือครองเอาไว้ กล่าวกันว่าเขาถือได้ว่าเป็นองค์ชายสุดที่รักที่สุดขององค์จักรพรรดิรัฐสือ ดังนั้น องค์จักรพรรดิจึงได้ถ่ายทอดวิชาประจำราชวงศ์ที่ผู้คนเผ่ามนุษย์มากมายหมายปองให้ ข้าทราบว่าเจ้านั้นได้ครอบครองวิชาดำดินรุกคืบ วันข้างหน้าหากว่าพบเจอกับเขาอีกแล้วละก็ สามารถที่จะหลบหนีด้วยพลังที่มากแค่ไหนก็ใช้ออกมาให้หมด นั้นก็เพราะว่าบุคคลเช่นนี้ถือได้ว่าไม่สมควรที่จะตอแยด้วยอย่างยิ่ง ” จงหลี่หลังจากที่ครุ่นคิดแล้ว จึงได้กล่าวเตือนสติออกมาเสียงแผ่วเบา

“ขอบคุณพี่จงหลี่มาก ” เยี่ยจงยิ้มน้อยๆ ขึ้นมา ทอสีหน้าเย็นเยียบออกมาหลายส่วน

จงหลี่มองไปที่อารมณ์ของที่เยี่ยจงแสดงออกมา จนไม่อาจที่จะไม่ถอนหายใจออกมาได้ เขาย่อมทราบดีว่า ทั้งสองคนนี้ถือได้ว่าเป็นผู้ที่อยู่ลึกถึงแก่นแท้อย่างยิ่ง สือซิ่งย่อมไม่ปล่อยวางจากคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์และสายทางแห่งดวงตะวันบนตัวของเยี่ยจงอย่างแน่นอน และด้วยลักษณะนิสัยของเยี่ยจง ย่อมไม่อาจที่จะปล่อยให้ผู้ที่มีความคิดมุ่งร้ายต่อตนเองอย่างชนชั้นราชันมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

เวลานี้ แต่ว่าทั้งสองฝ่ายได้เผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรกเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายย่อมไม่อาจที่จะแบ่งผลแพ้ชนะออกมาได้ ทว่าหากว่ารอคอยจนทั้งสองฝ่ายตระเตรียมความพร้อมได้ จนเกิดการลงมือขึ้นมา เกรงว่าคงต้องถึงขั้นเป็นตายอย่างไม่ต้องสงสัย

“เยี่ยจง คัมภีร์กฎแห่งสวรรค์และสายทางแห่งดวงตะวันของเจ้า ย่อมต้องเป็นของข้าแล้ว!” สุ้มเสียงของสือซิ่ง ก็ได้ค่อยๆ ดังจนแผ่กระจายออกไปตลอดทั่วทั้งห้องโถงอย่างช้าๆ “เจ้าใคร่ครวญให้ดีสักหลายวันเถอะ ควรทราบว่า การมีชีวิตอยู่ต่อไปจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด!”

ในระหว่างที่เสียงได้ทอดลงมา เสียงหัวเราะอันเย็นเยียบของความหยิ่งผยองอย่างไร้ที่เปรียบก็ได้ดังไปทั่วทั้งห้องโถงจนออกไปภายนอก ราวกับสามารถที่จะทลายผ่านเมฆหมอกได้ พวยพุ่งออกไปยังท้องนภา

จงหลี่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย สือซิ่งนี้ถึงกับไร้ซึ่งความหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้ แทบจะไม่เห็นเจ้าของของสถานที่แห่งนี้อยู่ในสายตาก็มิปาน หลังจากที่เขาได้ทอสีหน้าเปลี่ยนไป จึงค่อยได้หันกลับไปกล่าวต่อศิษย์น้องหญิงผู้หนึ่ง : “ไปเชิญคุณหนูมา นางคงจะกำลังมาอยู่ อย่าได้ให้นางและสือซิ่งได้พบเจอกัน ”

เยี่ยจงงงงันขึ้นมา มิได้กล่าวอันใดออกมา เพียงแต่ยืนกอดอกครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

หลังจากนั้นเอง ก็ได้มีสุ้มเสียงของฝีเท้าดังลอดเข้ามาตลอดทั่วทั้งห้องโถง พร้อมกับกลิ่นอันหอมหวนโชยพัดเข้ามาในเวลาเดียวกัน

สายตาของเยี่ยจงก็ได้ทอดมองเข้าไปทางด้านนั้น วินาทีนั้นก็ได้พบกับเงาร่างอันงดงามปรากฏขึ้นมายังห้องโถงแห่งนี้ เวลานี้ ตลอดทั่วทั้งสี่ด้านราวกับว่ามีพลังลมปราณฟ้าดินรวมตัวกันขึ้นมาเคลื่อนไหวประดุจเมฆหมอก ชุดสีขาวบนร่างของหญิงสาว ประดุจดั่งหิมะอันศักดิ์สิทธิ์ ประดุจดั่งมีสายลมโชยพัดเข้าไปก็มิปาน

สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นความงดงามของหญิงสาวอย่างถึงที่สุดได้เลยก็ว่าได้ ประดุจดั่งความเร้นลับที่เกิดขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่า ด้วยท่าทีที่สง่าเป็นอย่างยิ่ง ถือได้ว่าเป็นความงดงามที่สยบทุกสิ่งได้ชนิดหนึ่ง

ภายในดวงตาของเยี่ยจงก็ได้ปรากฏแปลกใจขึ้นมา เขาไม่เคยเชื่อเลยว่า ในช่วงนี้จะสามารถมีคนที่มีความงดงามเทียบเท่ากับอาจารย์ปู้เหยียนของตนเองได้ ทว่าเวลานี้เขาก็ไม่อาจที่จะไม่ยอมรับแต่โดยดี ว่าหญิงสาวที่ปรากฏตัวที่เบื้องหน้า ถือได้ว่ามีรัศมีที่กว้างไกลอย่างยิ่ง ไม่นึกเลยว่าจะสามารถที่จะสะกดความรู้สึกของผู้คนได้จนหมดสิ้นได้เพียงผู้เดียว นางไม่แต่เพียงมีรูปลักษณ์ที่เพียงพอที่จะสยบเมืองทั้งเมืองได้แล้ว อีกทั้งยังมีท่วงท่าที่เป็นสง่าอย่างยิ่ง ประดุจดั่งคนที่ไม่เคยผ่านพ้นมาจากควันเพลิงก็มิปาน จนทำให้ผู้คนที่อยู่เบื้องหน้านางไม่อาจที่จะมีความรู้สึกละอายใจขึ้นมาได้

“คุณหนู!”

บริเวณทางด้านหลังเยี่ยจง จงหลี่และพวกก็ได้ก้าวออกมาทางด้านหน้าในเวลาเดียวกัน มุ่งหน้าโค้งคำนับแก่คนที่เดินเข้ามา

.

.

.

.

กลุ่มละ 80ตอน/กลุ่ม/100บาทครับ

โปรโมชั่น กลุ่ม 6-12 ราคา 550

VIP5 https://goo.gl/ekcF7V

VIP6 https://goo.gl/4rqw89

VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA

VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x

VIP9 https://goo.gl/1jPZtn

VIP10 https://goo.gl/L8awva

VIP11 https://goo.gl/rojEiG

VIP12 https://1th.me/o9CD

ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่

INBOX m.me/ZuiQiangWuShen

#####Fanpage#####

https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset