เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 485 ตามหาหนทาง

ตอนที่ 485 ตามหาหนทาง

 

“กล่าวตามตรง ข้าก็ไม่ทราบว่า ในช่วงเวลาที่อยู่ภายในสมรภูมิฮวงกู่ มันนั้นกลับมิได้เปล่งประกายแม้แต่น้อย ขณะนี้ก็ราวกับยังมองไม่ออกเลยว่ามีอันใดพิเศษ” เยี่ยจงกล่าวออกมา ระหว่างนั้นก็ได้พลิกนำกระบี่อ่อนเล่มนั้นออกมา แล้วยื่นให้แก่จงหลี่

 

หลังจากนั้นสักพัก ซือคงชิงฉีก็ได้ปรากฏขึ้นมา เห็นได้ชัดว่านางก็เกิดความสงสัยต่อกระบี่อ่อนในมือเล่มนี้ของเยี่ยจงที่อยู่ในระดับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุ จึงทำให้เกิดความสนใจขึ้นมาหลายส่วน

 

หากมองในขณะนี้แล้วละก็ ก็จะสามารถที่จะมองออกได้ว่า กระบี่อ่อนเล่มนี้ราวกับได้ถูกตีขึ้นมาด้วยศิลาลาวาสูงสุดก็มิปาน มีความประณีตโบราณอย่างยิ่ง แต่ว่าก็ยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อย่างยิ่ง ภายในตัวของกระบี่ ประดุจดั่งทอเป็นประกายด้วยแสงแห่งดวงจันทราขึ้นมา ทำให้ดูไปแล้วสวยสดงดงามอย่างชัดเจน ให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งที่อยู่ในแดนสรวงอยู่ชนิดหนึ่ง

 

เพียงแต่ว่า ขณะนี้เมื่อมิได้ถูกใช้ออกมา กระบี่อ่อนเล่มนี้กลับมิได้ปรากฏพลังแห่งการทำลายแม้แต่น้อย

 

“ทั่วทั้งสี่ดินแดน อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุเรียกได้ว่าหาได้ยากเสียยิ่งกว่ายาก กาคงอยู่ของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุนั้นต่างก็มีนามของตัวมันเอง แต่ว่าเมื่อข้าดูจากรูปลักษณ์ของมันแล้วกลับมิเคยพบเจอมาก่อน แต่ว่าเมื่อครู่ที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุได้แผ่ประกายรังสีของพลังขึ้นมา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามก็ดูไม่ออกว่าแสดงพลังออกมาเช่นนั้นได้อย่างไร ” ซือคงชิงฉีขมวดคิ้วขึ้นมา แล้วก็ได้จดจ่อครุ่นคิดถึงที่มาที่ไปของกระบี่อ่อนด้ามนี้อย่างละเอียด

 

“กระบี่นี้มีย่อมต้องเป็นกระบี่ระดับสูงภายในสมรภูมิฮวงกู่ เกรงว่าคงจะตกเข้าอยู่ภายใต้วันคืนที่ไหลเวียนผ่านไปอย่างมานานจนมีสภาพเป็นสีดำ คุณหนูชิงฉีท่านมองไม่ออกถึงที่มาของมันนั้นถือได้ว่ามิใช่เรื่องที่แปลก ” เยี่ยจงหัวเราะออกมาแล้วกล่าว เขาไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ถือว่าเป็นอะไร

 

“กระบี่ระดับสูงที่ถูกกักเอาไว้อยู่ภายใต้สมรภูมิฮวงกู่ คงจะมิใช่สิ่งของที่ถูกเล่าขานกันสิ่งนั้นหรอกกระมั่ง?” ทันใดนั้นซือคงชิงฉีราวกับนึกอะไรบางอย่างออกมาได้ก็มิปาน จากนั้นก็ได้ทอสีหน้าประหลาดขึ้นมายิ่งกว่าเดิม

 

“ยังคงต้องขอให้คุณหนูชิงฉีชี้แนะแล้ว ” เยี่ยจงขณะนี้ก็ได้มองไปยังลายน้ำที่ประทับอยู่บนตัวของกระบี่อ่อนด้ามนี้ ขณะนี้ก็ได้พบว่าซือคงชิงฉีราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก็มิปาน เขาก็ได้เกิดความเสนาะสนใจขึ้นมาอย่างยิ่ง

 

“เล่าลือกันว่า อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุนั้นไม่อาจที่จะดับสูญลงได้ แต่ว่าภายใต้ช่วงยุคสมัยของเวลาในขณะนั้น กล่าวกันว่าได้มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุด้ามหนึ่งของจักรพรรดิฟ้าเซ่าเฮ่าตะวันตกเหลือทิ้งเอาไว้อยู่ นั้นก็คือกระบี่โบราณสีเหลืองทองด้ามหนึ่ง ซึ่งได้ถูกรวมเอาไว้ด้วยพลังแห่งเทพอย่างไร้ขีดจำกัด เป็นกระบี่เทวะที่ใช้ไว้เพื่อสังหารปีศาจปราบมาร มีประวัติการทำลายล้างเผ่ามารนับหมื่น แต่ว่าจักรพรรดิฟ้าเซ่าเฮ่าตะวันตกเมื่อได้สู้กับศึกครั้งสุดท้าย มันที่ได้ปะทะเข้ากับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุทั้งสามเล่ม จนท้ายที่สุดก็ได้ทำให้จักรพรรดิฟ้าเซ่าเฮ่าตะวันตกได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ แต่ว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุด้ามนั้น ได้ถูกสะบัดออกเป็นสามส่วน หลงเหลืออยู่ภายในท่ามกลางสี่ดินแดน ” ซือคงชิงฉีกล่าวออกมาเสียงเบา เพื่อที่จะเล่าถึงที่มา

 

ขณะนี้เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา จึงได้กล่าวตอบออกมาเสียงแผ่วเบา: “จากคำบอกเล่าของคุณหนูชิงฉี คงจะมิใช่กระบี่ทางสวรรค์ที่เป็นหนึ่งในสิบสุดยอดอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุโบราณหรอกกระมั่ง?”

 

“ย่อมต้องเป็นสิ่งนั้น เพราะว่านับตั้งแต่โบราณกาลจวบจนบัดนี้ การคงอยู่ของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุ มีแต่เพียงแค่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุชิ้นนี้ที่หายสาบสูญไป เกรงว่ากระบี่อ่อนในมือของท่านเยี่ยจงในขณะนี้ คงจะต้องเป็นหนึ่งในสามชิ้นของกระบี่ทางสวรรค์แล้วกระมั่ง? เพราะว่าตามคำเล่าขาน จักรพรรดิฟ้าตะวันตกเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ได้สะบัดตัวกระบี่ออกเป็นสามชิ้น แบ่งออกมาเพื่อที่จะหล่อหลอมเป็นกระบี่ทั้งสามชิ้น ถึงแม้ว่าสามกระบี่นี้จะไม่อาจที่จะเทียบเคียงได้กับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุที่แท้จริง แต่ว่าอย่างน้อยก็มีพลังครึ่งหนึ่งของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุชิ้นนี้ ถูกเรียกขานได้ว่าเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุที่เป็นเครื่องมือสังหารก็ว่าได้ เพียงแต่น่าเสียดาย กระบี่ทั้งสามเล่มนี้กลับมิได้ปรากฏขึ้นมาภายในดินแดน กล่าวกันว่าได้ถูกผนึกเอาไว้ในสถานที่ที่แตกต่างกัน รอคอยวันที่สามกระบี่รวมเป็นหนึ่ง ” ซือคงชิงฉีกล่าวออกมาถึงความเร้นลับ ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่บุคคลธรรมดาไม่อาจที่จะทราบได้

 

“คุณหนูชิงฉีท่านอย่าได้คิดมากมายเกินไปแล้ว ไม่แน่ว่าวัตถุชิ้นนี้อาจจะเป็นเพียงแค่วัตถุอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุชั้นปลายแถวเท่านั้น หากว่าเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุที่แท้จริงแล้วละก็ ขณะนี้เกรงว่าสือซิ่งคงจะต้องตายไปแล้วละ ” เยี่ยจงหลังจากที่ได้ครุ่นคิด จึงค่อยได้หัวเราะออกมาแล้วกล่าว

 

“ก็อาจจะเป็นไปได้ ทว่าไม่ว่าพวกเราจะคิดอย่างไร แต่ว่าจากมุมมองของบุคคลภายนอก เกรงว่าผู้คนมากมายคงจะเข้าใจผิดถึงอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุที่ของท่านเยี่ยจงได้ครอบครองเอาไว้ ไม่อาจที่จะรั้งรออยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้นานอีกต่อไป ” ซือคงชิงฉีหลังจากที่ครุ่นคิด จึงได้กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา เป็นคำพูดที่แฝงความหมายบางอย่างเอาไว้

 

“ข้าทราบแล้ว ” เยี่ยจงพยักหน้า เรื่องราวการต่อสู้กับสือซิ่งในวันนี้ ในระหว่างที่สือซิ่งได้จากไป จะช้าจะเร็วก็คงจะต้องถูกแพร่สะพัดออกไป ไม่นานนักผู้คนทั่วหล้าก็คงจะทราบว่าตนเองได้มาอยู่ท่ามกลางดินแดนขนาดเล็กแห่งนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะกล่าวออกมาในทางใด สถานที่แห่งนี้ก็ไม่อาจที่จะรั้งอยู่เอาไว้ได้นาน อีกทั้ง ตนเองยังได้ใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุชิ้นนี้ในการได้ชัยชนะจากสือซิ่ง เมื่อเรื่องนี้ได้แพร่สะพัดออกไป เกรงว่าคงจะมีแต่เพียงทำให้ตนเองตกอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะเหล่าแดนลับแลที่มีหมายปองที่จะครอบครองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุ อย่างน้อยก็คงจะต้องคว้าโอกาสนี้อย่างบ้าคลั่งแน่นอน

 

เมื่อครุ่นคิดได้เช่นนี้ เยี่ยจงก็เกิดอาการปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาหลายส่วน แต่ว่าไม่นานนักก็ได้กลับคืนสู่ความปกติ กระนั้นเขาในขณะนี้ที่ถือได้ว่าได้เป็นไร้ผู้ต้านในแดนดิน มีศัตรูอยู่มากมาย จะต้องมีความกังวลขึ้นมาอยู่ไม่น้อย

 

“วัตถุชิ้นนี้ น่าจะเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนของกระบี่ทางสวรรค์ในตำนานก็เป็นได้ ” เสี่ยวหลุนส่งเสียงดังขึ้นมาท่ามกลางห้วงความคิดของเยี่ยจงอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังแฝงความเคร่งเครียดเอาไว้หลายส่วน “ข้าจดจำได้ว่า กระบี่ทางสวรรค์เมื่อก่อนหน้านี้หลังจากที่ได้ถูกจักรพรรดิฟ้าตะวันออกหลอมรวมขึ้นมาใหม่แล้ว ก็ได้แบ่งออกเป็นไล่ตะวัน、แสงจันทร์ ตามดาราเป็นสามกระบี่ กระบี่ในมือเจ้าเล่มนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นกระบี่แสงจันทร์ นี้ถึงแม้ว่าจะมิใช่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุที่แท้จริงได้ แต่ว่าพลังทำลายย่อมไม่แตกต่างกันมากนัก ต่อให้พบเจอกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุที่แท้จริงก็ยังพอที่จะต้านทานเอาไว้ได้ อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะใช้ไว้ต่อสู้ได้ ”

 

“กระบี่แสงจันทร์?” เยี่ยจงเกิดความสงสัยขึ้นมาภายในจิตใจอยู่เล็กน้อย เดิมทีเขาก็เพียงแต่แค่ฟังคำพูดของซือคงชิงฉีแบบผ่านๆ เท่านั้น แต่ว่าขณะนี้ได้ถูกเสี่ยวหลุนกล่าวออกมาเช่นนี้ เขาก็ได้ทอสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอยู่อีกหลายส่วน เพราะว่าเสี่ยวหลุนผู้นี้ถึงแม้ว่าจะเป็นตัวหลอกลวงก็ตามที แต่ว่าก็ถือได้ว่ามีประสบการณ์พบเจออยู่ไม่น้อย เกรงว่าคงจะจดจำได้ไม่ผิดอย่างแน่นอน

 

“อาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุครึ่งชิ้นอย่างงั้นหรือ?” เยี่ยจงกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา ในการต่อสู้กับสือซิ่งในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในสถานะวิกฤตยิ่งกว่าเดิมก็ตามที แต่ว่าการที่ได้รับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุครึ่งชิ้นเช่นนี้ หากกล่าวถึงเกี่ยวกับตนเองย่อมต้องเป็นเรื่องที่ยากจะพบพานได้ เพราะว่า นี้ถือได้ว่าตนเองได้เพิ่มสิ่งที่เปรียบเสมือนไพ่ตายในการรักษาชีวิตไว้ขึ้นมาอีกใบขึ้นมา

 

“เอาละ ไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ขณะนี้เจ้าอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ย่อมไม่อาจที่จะมีคนที่จะสามารถทำร้ายเจ้าได้ ” จงหลี่ตบเข้าไปที่ไหล่ของเยี่ยจงไปมา แล้วเยี่ยจงก็ได้นำกระบี่แสงจันทร์เก็บเอาไว้ เพียงแต่ว่า หลังจากที่เมื่อครู่ได้ถูกสือซิ่งก่อความวุ่นวายไป คนมากมายก็มิได้มีความสนใจที่จะร่วมงานเลี้ยงอะไรมากมายนัก

 

“ช่างเถอะ ในเมื่อสถานะของพี่เยี่ยจงท่านขณะนี้ได้ถูกเปิดเผยแล้ว ที่เก็บตัวของท่านบรรพบุรุษก็ไม่อาจที่จะอยู่ต่อไปได้ หลายวันมานี้ก็พักอยู่ภายในตำหนักของคุณหนูไปสักระยะก่อนก็แล้วกัน เช่นนี้แล้วละก็ เหล่าเด็กน้อยที่มีไม่ทราบที่สูงที่ต่ำ ก็คงจะไม่กล้าที่จะไปรบกวนเจ้าแล้ว รอคอยหลังจากที่ท่านบรรพบุรุษกลับมา เจ้าค่อยวางแผนการเดินทางต่อไปก็ยังไม่สาย ” จงหลี่ก็มิใช่คนโง่งม มองออกถึงความตั้งใจของเยี่ยจงออกมาได้หลายส่วน ต่อมาก็ได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

“ขอบคุณพี่จงมากแล้ว เพียงแต่ว่า เช่นนี้คงจะไม่สะดวกนักหรอกกระมั่ง?” เยี่ยจงทอดวงตาประหลาดขึ้นมา ขณะนี้เขาก็เหมือนกับรถเข็นสมบัติที่เคลื่อนที่ไปมาได้ ไม่ว่าผู้ให้ก็คิดที่จะลิ้มลอง หากว่ายังต้องอยู่ภายในตำหนักของซือคงชิงฉีต่อไปแล้วละก็ เกรงว่าคงจะไม่ต่างอันใดจากหนูที่อยู่ในตรอก รอคอยผู้คนเรียกมาทุบตี

 

ซือคงชิงฉีมองไปที่จงหลี่คราหนึ่ง ในขณะที่กำลังครุ่นคิด จึงได้กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา: “นี้ถึงแม้ว่าจะไม่ถือได้ว่าเป็นวิธีที่ดีนัก ท่านก็มาพักที่ตำหนักของข้าสักระยะก่อนเถอะ ในเมื่อตำหนักของข้าก็กว้างพออยู่แล้ว อีกทั้งยังสามารถที่จะปล่อยให้ท่านฝึกปรือได้อย่างสงบ ”

 

เมื่อได้ยินซือคงชิงฉีกล่าวออกมาเช่นนี้ เยี่ยจงหลังจากที่ครุ่นคิด ก็ได้แต่เพียงพยักหน้าไปมา ขณะนี้เขาถึงแม้คิดที่จะจากไป แต่ว่าในเวลาเช่นนี้ก็ยังคงถือได้ว่ายังมิได้ตัดสินใจแผนการเดินทางได้ ขณะนี้จึงได้แต่เพียงอยู่ในสถานที่แห่งนี้เป็นการชั่วคราวก่อน

 

ท่ามกลางห้องโถงใหญ่แห่งนี้ก็อยู่ในความเงียบสงัด สถานที่แห่งนี้ในเวลาเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นสถานที่พักของเยี่ยจงเป็นการชั่วคราวก่อน อีกทั้งท่ามกลางภายในเมืองแห่งนี้ยังถือได้ว่าเป็นเขตที่เงียบสงบ อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งฟ้าดินเอาไว้ ถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกฝนอย่างยิ่ง

 

หลังจากที่ได้ใช้เวลาผ่านไปทั้งหมดสามวัน เยี่ยจงจึงได้ทำให้อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้กับสือซิ่งเมื่อวันก่อนหายไปจดหมดสิ้นได้ ไม่อาจที่จะไม่ยอมรับได้ สือซิ่งนั้นมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ถือได้ว่าเป็นศัตรูคนแรกที่มีพลังฝีมือในระดับนับตั้งแต่พบพานมา เมื่อเทียบกับองค์ชายสิบสามยังถือได้ว่าแข็งแกร่งกว่ามากมายนัก นั้นก็เพราะว่ายังไม่เคยที่จะมีผู้ใดสามารถกดดันเยี่ยจงมาจนถึงขั้นนี้ได้ ควรทราบว่า ผู้คนมากมายที่เคยประมือกับเยี่ยจงมาก่อน ต่างก็ถูกเขาฆ่าสังหารไปแทบจะทั้งสิ้น

 

เพียงแต่ว่า การต่อสู้ในครั้งนี้เรียกได้ว่าได้รับประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล แต่ว่าเพราะว่าเยี่ยจงพึ่งจะทะลวงขอบเขตมาได้ไม่นาน จึงถือได้ว่ายังเป็นการทะลวงที่ยังไม่สมบูรณ์นัก แต่ว่าเขาก็ยังสามารถที่จะได้รับประโยชน์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ภายใต้การสะสมที่เพิ่มมากขึ้น ไม่แน่ว่าอีกไม่นานหลังจากนี้ก็คงจะสามารถที่จะทะลวงไปได้

 

จากนั้นก็ได้มีแผนที่ม้วนหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือของเยี่ยจง เขามองดูมันอย่างละเอียด แล้วก็ได้เรียกให้เสี่ยวหลุนออกมา เพื่อที่จะได้ดูแผนที่ม้วนนี้ด้วยกัน

 

“นี้มิใช่แผนที่ของสุสานบรรพบุรุษของลัทธิแห่งดวงดาวของพวกเจ้าอย่างงั้นหรือ? เด็กน้อยเจ้าคงจะไม่ใช่คิดที่จะกลับไปยังสุสานนั้นหรอกกระมั่ง?” เสี่ยวหลุนกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา

 

“ถ้างั้นมีตัวเลือกที่ดีกว่านี้อีกงั้นหรือ?” เยี่ยจงหยักไหล่ไปมา “สถานที่แห่งนี้ไม่อาจที่จะอยู่ได้นานนักหรอก อย่างมากก็แค่ครึ่งเดือน ข้าก็ต้องจากไปแล้ว ตอนนี้เหมือนกับได้ปลุกระดมศัตรูทั่วทั้งดินแดนไปแล้ว ไม่มีสถานที่ใดพอที่จะไปได้อีก สุสานนี้ ยังไงเสียก็ยังถือได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลนทีเดียว”

 

เสี่ยวหลุนเงียบงัน หลังจากนั้น เขาก็ได้กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา: “แผนที่ของเจ้านี้มันได้รับความเสียหายมามากจนเกินไป แต่ว่ายังคลุมเครือไม่เป็นที่แน่ชัดนัก หากว่าข้าดูไม่ผิดแล้วละก็ สุสานบรรพบุรุษลัทธิแห่งดวงดาวนั้น อย่างน้อยก็คงจะไม่อยู่ภายในดินแดนซีฮวง เพียงแต่อยู่ในดินแดนตงฮวง……แต่ว่าระหว่างแดนตงฮวงและซีฮวง ห่างไกลประดุจโพ้นทะเลไกลลิบ คิดที่จะเดินทางไปแล้วละก็ ยังคงจำเป็นที่จะต้องหยิบยืมประตูแดน……ก่อนหน้าพวกเราคิดหมายที่จะไปรัฐเหร่ย ก็พบกับอุปสรรคอยู่หลายส่วนแล้ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงดินแดนตงฮวงเลย ”

 

“จำเป็นที่จะต้องใช้ประตูแดนงั้นหรือ ” เยี่ยจงส่งเสียงสั่นเครือขึ้นมา ทอสีหน้าหดหู่อย่างยิ่ง สี่ดินแดนถึงแม้จะมีการคงอยู่ในเวลาเดียวกัน ระหว่างภายในสี่ดินแดน เรียกได้ว่าห่างไกลกันลิบลี่ หากเป็นไปตามคำกล่าวของผู้คนทั้งหมด ระหว่างภายในของทะเลทั้งสี่ดินแดน เรียกได้ว่าอันตรายอย่างไรที่เปรียบ อีกแต่เพียงแค่มีคำเล่าลือที่อันตรายอย่างไร้ที่สิ้นสุดเล่าขานสืบต่อกันมา ยิ่งไปกว่านั้นกลับไม่มีผู้ใดทราบว่าภายในนั้นมีอะไรอยู่ เยี่ยจงย่อมทราบดีแก่ใจ ว่าพลังฝีมือของตนเองในขณะนี้หากว่าเข้าไปยังภายในท้องทะเล คิดที่จะเดินทางผ่านทางทะเลสู่ดินแดนตงฮวงแล้วละก็ คงจะต้องตายตกอย่างอเนจอนาถอย่างยิ่ง อีกทั้ง การเดินทางผ่านห้วงทะเลเข้าสู่ดินแดนตงฮวงแล้วละก็ หากไม่มีซักสิบปี อย่างน้อยก็คงจะไปไม่ถึง

 

และหนทางการเข้าสู่ดินแดน วิธีที่ดีที่สุด ก็คือการเดินทางผ่านประตูแดน เยี่ยจงขณะนี้ถือได้ว่าเป็นผู้ใช้ยันต์ปราณระดับสาม ซึ่งถือได้ว่าสามารถที่จะไต่ระดับไปจนถึงขั้น กลายเป็นบุคคลที่อยู่ในระดับยันต์ราชัน เขาย่อมทราบดีแก่ใจ การสร้างประตูแดนนั้นถือได้ว่าเป็นค่ายกลยันต์ปราณที่เก่าแก่อย่างมากชนิดหนึ่ง ค่ายกลยันต์ปราณนี้ อีกทั้งวิธีในการจัดตั้งค่ายกลยันต์ปราณนี้ถือได้ว่ามิได้มีการคงอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาเนิ่นนานแล้ว กล่าวอย่างง่ายดาย คิดที่จะต้องไปยังประตูแดน ด้วยฝีมือของเยี่ยจงเพียงคนเดียว ย่อมไม่อาจที่จะสามารถทำได้ เขาจำเป็นที่จะต้องหยิบยืมพลังของแดนลับแลชั้นสูงเพื่อที่จะเข้าไปยังประตูแดน ทะลวงดินแดนออกไป

 

“ไม่ทราบว่ามหาราชันเผ่ามนุษย์อย่างซือคงจา จะสามารถที่จะช่วยเบิกทางไปสู่ประตูแดนได้หรือไม่ ” เยี่ยจงกล่าวออกมาเสียงเบา หากว่าภายในดินแดนขนาดเล็กแห่งนี้มีประตูแดนแล้วละก็ ก็ถือได้เป็นหนทางที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน

 

“พูดยาก อย่างน้อยก็คงจะไม่มี เพราะว่าซือคงจาเดิมทีมีพลังฝึกปรือที่แบ่งเป็นขั่ว เดิมทีแล้วก็มิได้มีขุมกำลังและสำนักที่แข็งแกร่งคอยสนับสนุนอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยก็คงจะมีวัตถุโบราณบางอย่างที่พอจะสามารถช่วยได้……ทว่ารัฐสือจะต้องมีอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้น พวกเราก็ไปฆ่าสือซิ่งลง จากนั้นก็ไปขอหยิบยืมหนทางเสด็จพี่ของเขาดีหรือไม่?” เสี่ยวหลุนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย

 

“ผัวะ——”

 

เยี่ยจงฟาดฝ่ามือออกไปหนึ่งที จนกวาดเสี่ยวหลุนลอยออกไป จากนั้นก็ได้ครุ่นคิด การเสาะหาเป้าหมายและหนทางด้วยตนเอง อย่างน้อยก็ถือได้ว่าเป็นหนทางที่เหมาะสมที่สุด

.

.

.

.

กลุ่มละ 80ตอน/กลุ่ม/100บาทครับ

โปรโมชั่น กลุ่ม 6-12 ราคา 550

VIP5 https://goo.gl/ekcF7V

VIP6 https://goo.gl/4rqw89

VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA

VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x

VIP9 https://goo.gl/1jPZtn

VIP10 https://goo.gl/L8awva

VIP11 https://goo.gl/rojEiG

VIP12 https://1th.me/o9CD

ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่

INBOX m.me/ZuiQiangWuShen

#####Fanpage#####

https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

 

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset