เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 494 เพลิงกาฬลำดับที่แปด

ตอนที่ 494 เพลิงกาฬลำดับที่แปด

 

ในขณะนี้เอง ท่ามกลางเพลิงกาฬห้าสีของทะเลเพลิงลำดับที่เจ็ด จึงถือได้ว่าถูกเยี่ยจงหล่อหลอมเข้าไปจนถึงแก่นแท้ อีกทั้ง การฝึกปรือในครั้งนี้ ทำให้ทะเลปราณของเยี่ยจงเกิดจิตปราณเพิ่มขึ้นมาอีกสายหนึ่ง พลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะมหาสมุทรตะวันผลาญก็ได้เพิ่มความแข็งแกร่งมากขึ้นอีกหลายส่วน เยี่ยจงขณะนี้ก็ได้แบ่งลำดับเป็นหลายขั้นตอน หากเป็นไปตามการคาดเดาของเขา ขณะนี้มหาสมุทรตะวันผลาญภายในร่างกายของตนเองอย่างน้อยก็คงจะต้องมีปราณที่ร้อนแรงอย่างยิ่ง จนท้ายที่สุดสามารถที่จะทำให้ตนเองเกิดจิตแห่งปราณขึ้นมาได้ อีกทั้งยังเป็นเพราะว่าได้หล่อหลอมเพลิงกาฬทั้งเจ็ดลำดับก่อนหน้าเท่านั้น

 

หากเป็นไปตามการคาดการณ์ของเสี่ยวหลุน สถานที่แห่งนี้หากว่าเป็นสุสานเซียนแล้วละก็ สมควรที่จะมีเพลิงกาฬทั้งหมดเก้าลำดับ หากว่าตนเองสามารถที่จะหลอมรวมพลังเพลิงกาฬอีกทั้งสองลำดับได้แล้วละก็ เช่นนั้นไม่ทราบว่ามหาสมุทรตะวันผลาญจะมีความรุดหน้าไปถึงขั้นใดกัน เมื่อครุ่นคิดขึ้นมาได้เช่นนี้ ก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่เลวเลยทีเดียว

 

“ถึงจะคิดได้เช่นนั้น เจ้าในช่วงนี้ก็อย่าพึ่งยังจะดีกว่า ถึงแม่ว่าข้าเองจะไม่ทราบ ว่าพลังทำลายของเพลิงกาฬทั้งสองลำดับสุดท้ายนั้นคืออะไร แต่ว่าด้วยพลังฝีมือของเจ้า ยังคงอย่าพึ่งฝทนทดสอบยังจะดีเสียกว่า วันข้างหน้าหากว่าสามารถที่จะเข้าไปจนถึงระดับมหาราชันได้ ค่อยเข้าไปทดสอบดูเถอะ ว่าจะสามารถหล่อหลอมได้หรือไม่!” เสี่ยวหลุนส่งเสียงดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน พยายามทำให้เยี่ยจงใจเย็นลง “ทว่า ปราณสมุทรภายในร่างกายของเจ้าขณะนี้ ภายใต้สภาวะการใช้ออกมาด้วยพลังมหาสมุทรตะวันผลาญ บวกกับการลงมือของข้า พวกเราสมควรที่จะสามารถเข้าไปยังท่ามกลางเพลิงกาฬลำดับที่เก้าได้อยู่บ้าง เพื่อที่จะได้ล้วงลึกสู่ความลับแห่งเซียนนี้เอาไว้!”

 

เสียงของเสี่ยวหลุนก็ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นตื่นเต้นขึ้นมาหลายส่วน ตำนานแห่งเซียนจากโบราณกาลมา เรียกได้ว่ายังไม่เคยพบเจอมาก่อน อีกทั้งภายในนั้นยังคงมีตำนานที่แตกต่างกันอยู่ ขณะนี้การที่จะสามารถพบเจอกับสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับเซียนได้ ต่อให้มีความแข็งแกร่งดุจเสี่ยวหลุน ก็ใช่ว่าอาจจะสามารถหยุดความตื่นเต้นเพื่อสงบใจเอาไว้ได้

 

“ไม่ว่าจะอย่างไร เข้าไปดูด้านในกันก่อนเถอะ ” เยี่ยจงพยักหน้าตอบรับ การฝึกปรืออย่างยากเย็นก่อนหน้านี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้สามารถเข้าไปยังเพลิงกาฬลำดับที่เก้าได้อยู่ เพื่อที่จะได้เสาะหาความลี้ลับ ในเมื่อขณะนี้เสี่ยวหลุนให้การสนับสนุนอยู่หลายส่วน เขาเองก็ย่อมไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน

 

เพียงแต่ว่า เยี่ยจงกลับมิเกิดความมั่นใจมากนัก เขาก็ได้เกิดความคิดขึ้นภายในจิตใจ มหาสมุทรตะวันผลาญของพลังลมปราณเปลี่ยนแปลงเทวะก็ได้ปรากฏขึ้นมาทางด้านหลัง ในเวลาเดียวกันพลังกายาทองไม่สูญสลายก็ได้ทอเป็นประกายสีทองขึ้นมา เสี่ยวหลุนก็ได้ปลดพลังคมกล้าสีขาวออกมาสายหนึ่ง เมื่อได้ทำการเตรียมความพร้อมของทั้งสามอย่างแล้ว เยี่ยจงจึงได้ค่อยๆ ที่จะเข้าไปใกล้ยังเพลิงกาฬลำดับที่เจ็ด แล้วก็ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ

 

“ฉี่——”

 

เสียงนั้นดังขึ้นมาแผ่วเบา เดิมที่หามองในมุมของเยี่ยจง ก็ถือได้ว่าเปรียบเหมือนกับพื้นที่ต้องห้ามของเพลิงกาฬลำดับที่เจ็ดก็มิปาน ขณะนี้ถึงกับไม่อาจที่จะทำอันตรายใดๆ ต่อเขาได้ ในทางกลับกันกลับเป็นเหมือนความรู้สึกเหมือนถูกน้ำเพลิงชนิดหนึ่งราดเข้ามามากกว่า จนทำให้เยี่ยจงรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดสายหนึ่งขึ้นมาได้

 

“ดูเหมือนว่า เพลิงกาฬห้าสีของเพลิงกาฬลำดับที่เจ็ดจะไม่ส่งผลต่อข้าแล้วละ ไม่ทราบว่าภายในนั้นยังมีอะไรอยู่บ้างกัน?” เยี่ยจงครุ่นคิด จากนั้นเขาก็ได้เข้าไปภายในอย่างระมัดระวัง คอยสอดส่องถนนหนทาง แต่ว่า ท่ามกลางเพลิงกาฬลำดับที่เจ็ดนี้กลับมีแต่เพียงความว่างเปล่า มิได้เผยให้เห็นถึงสิ่งของอันใด ไม่นานนัก เขาก็ได้เข้ามาจนถึงเบื้องหน้าของเพลิงกาฬลำดับที่แปด

 

เพลิงกาฬลำดับที่แปดและเพลิงกาฬลำดับที่เจ็ดนั้นมีความแตกต่างกันไม่มากนัก เพียงแต่ว่ารุ้งห้าสีก็ได้กลายเป็นเจ็ดสี เยี่ยจงเจ้าทดสอบกับเพลิงกาฬสายนี้อย่างระมัดระวัง แต่ว่าพริบตานั้นเอง ก็ได้มีธาตุเพลิงที่ประดุจมาจากจุดที่เป็นรากฐานพยายามที่จะเข้าไปยังภายในร่างกายของเขา หากมิใช่เสี่ยวหลุนลงมือได้ทันเวลา เขาก็คงจะมอดไหม้ไปทั้งโลหิตบริสุทธิ์จนกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว

 

“เพลิงกาฬสุดท้ายทั้งสองลำดับนี้ นอกเสียจากว่าเจ้าจะสามารถที่จะใช้ออกมาด้วยพลังสายทางแห่งดวงตะวันได้อย่างหมดจดแล้ว ไม่เช่นนั้นก็จงอย่าได้ทดสอบลองหล่อหลอมจะดีเสียกว่า เพียงแต่ว่า ขณะนี้พวกเราได้ผสานมือกัน การที่จะเข้าไปยังภายในนั้นย่อมถือได้ว่าไม่เป็นปัญหาอันใด ” เสี่ยวหลุนเตือนสติขึ้นมา เพื่อให้เยี่ยจงได้สติ

 

เยี่ยจงฝืนหัวเราะออกมา สถานที่แห่งนี้ราวกับเป็นเหมือนสถานที่จักรพรรดิฟ้าตะวันออกเหลือทิ้งไว้ให้ผู้สืบทอดได้เข้าทดสอบ หากมิใช่เป็นเพราะว่าตนเองได้ครอบครองคัมภีร์สายทางแห่งดวงตะวัน ฝึกฝนกายาทองไม่สูญสลาย และมีเสี่ยวหลุนลงมือแล้วละก็ คิดที่จะเข้าไปยังภายในย่อมไม่อาจที่จะเป็นไปได้

 

หลังจากที่เกิดความลังเลขึ้นชั่วขณะ เยี่ยจงจึงค่อยก้าวเดินออกไปอีกหนึ่งก้าว เข้าไปยังภายในท่ามกลางเพลิงกาฬลำดับที่แปด

 

อุณหภูมิภายในเพลิงกาฬลำดับที่แปดถือได้ว่าสูงจนเป็นที่น่าตกใจ กลับมิได้เป็นเหมือนดั่งเพลิงกาฬลำดับที่เจ็ด สถานที่แห่งนี้มีเพลิงกาฬเจ็ดสีที่เห็นได้ชัดว่าแฝงเอาไว้ไอแห่งความตายอย่างรุนแรง ภายใต้ความร้อนแรงก็ทำให้เกิดความรู้สึกประดุจดั่งสัมผัสได้ถึงไอแห่งความตายกลุ่มหนึ่งได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นที่น่าแปลกเป็นอย่างยิ่ง เพลิงกาฬเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนผู้อื่นแล้วละก็ คาดว่าต่อให้เป็นชนชั้นมหาราชันเอง ก็ใช่ว่าจะสามารถที่จะเข้าใกล้ได้อย่างง่ายดาย ต่อให้เป็นเยี่ยจงในขณะนี้ ก็ยังรู้สึกเกิดความร้อนขึ้นตลอดทั่วทั้งร่าง

 

เพลิงกาฬเจ็ดสีก็ได้กระโดดไปมา เห็นได้ชัดว่า สถานที่แห่งนี้นั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในแดนต้องห้ามภายใต้ผืนฟ้านี้ เป็นสถานที่อันตรายเสียยิ่งกว่าอันตราย ไม่ว่าผู้คนใดเข้าไปยังพื้นที่เขตนี้ ต่างก็ต้องมอดไหม้ตายลงไป

 

นับตั้งแต่โบราณกาลมา เกรงว่าคงจะมีน้อยคนนักที่จะเป็นประดุจดั่งเยี่ยจงก็มิปาน การที่เดินมาจนถึงขั้นนี้ได้ และประดุจดั่งว่าพลังฝีมือเช่นเขาที่สามารถเข้ามาจนถึงขั้นนี้ได้ เกรงว่านับแต่โบราณกาลมาคงจะมีแต่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น

 

“เป็นถนนโบราณสายหนึ่งอีกแล้ว!” สายตาของเยี่ยจงก็ได้กวาดเข้าไปยังท่ามกลางของถนนสายนี้ ภายในดวงตาก็ได้ทอเป็นประกายประหลาดขึ้นมา บริเวณทางด้านหน้าที่ไม่ห่างไกลมากนักของเขา ก็จะสามารถที่จะพบเห็นถนนโบราณสายหนึ่งได้ อีกทั้งยังถูกปลูกสร้างมาจากศิลาอ่อน ปรากฏสีสันที่ผ่านวันเวลาจากแสงจันทราเข้ามาชนิดหนึ่งขึ้นมา

 

“เจ้ามองไปทางด้านนั้นสิ!” เสี่ยวหลุนก็ได้เอ่ยปากขึ้นมาอย่างกะทันหัน กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

 

เยี่ยจงก็ได้ขยับร่างกายคราหนึ่ง แล้วก็ได้หันหน้ามองเข้าไปบริเวณทางด้านนั้น จากนั้นเขาก็ถึงกับสั่นเทาไปทั่วทั้งร่างกาย ภายในดวงตาก็ได้ปรากฏความสงสัยขึ้นมา ขณะนี้ ก็ได้มีสิ่งที่คล้ายดั่งเมืองอยู่ส่วนลึกภายในเพลิงไฟที่ได้ปกคลุมไปทั่ว เขาถึงกับสามารถที่จะพบเห็นสิ่งปลูกสร้างที่คล้ายกับอารามแห่งหนึ่ง แต่ในส่วนของอื่นๆ นั้นโดยส่วนมากแล้วต่างก็เกิดความเสียหายไปแล้ว แต่ว่าก็ยังคงแผ่พุ่งพลังบางอย่างที่ให้บรรยากาศลี้ลับและน่าดึงดูดอย่างไร้ที่เปรียบออกมา

 

ก่อนหน้านี้เยี่ยจงก็สัมผัสรับรู้ได้ถึงสิ่งที่แปลกประหลาดนี้อยู่ ว่าเหตุใดถึงได้มีถนนโบราณและซากปรักหักพังของสิ่งปลูกสร้างคงอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงสายนี้ได้ และขณะนี้ก็สามารถพบเห็นอารามแห่งหนึ่งได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือได้ทำให้เขาเกิดการหวั่นไหวขึ้นมาภายในจิตใจ

 

“นี้มิใช่ลักษณะของสิ่งปลูกสร้างที่เคยมีในสมัยเมื่อหมื่นปีก่อนอย่างงั้นหรือ สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้กลับยังมีการคงอยู่ท่ามกลางการแปรเปลี่ยนของเวลาได้ เกรงว่าคงไม่อาจที่จะไม่คิดได้แล้ว! ว่าสถานที่แห่งนี้ กว่าแปดส่วนน่าจะเป็นสุสานเซียนจริงแล้วละ!” เสี่ยวหลุนเอ่ยปากขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ส่งเสียงเคร่งเครียดขึ้นมายิ่งกว่าเดิม

 

เยี่ยจงขมวดคิ้ว จากนั้นก็ได้มุ่งหน้าเดินเข้าไปอีกทางด้านหนึ่งอย่างระมัดระวัง ไม่นานนัก เขาก็ได้เข้าไปใกล้ยังตึกอารามหลังหนึ่ง

 

อารามหลังนี้ถูกปลูกสร้างคล้ายกับวัดในสมัยโบราณก็มิปาน ถึงกับเป็นการใช้ศิลาโบราณในการปลูกสร้างขึ้นมา ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ยากจะคาดคิดเอาไว้ได้ นั้นก็เพราะว่ากลับยังคงสามารถหลงเหลือมาจนถึงบัดนี้ได้ อีกทั้งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง

 

เยี่ยจงก็ได้เข้าไปใกล้ จ้องมองไปยังภายนอกของอารามหลังนี้อย่างละเอียด จากนั้นเขาก็ได้พบว่ามีบางอย่างที่คล้ายกับแผ่นภาพที่ทอเป็นประกายอยู่ส่วนหนึ่ง แผ่นภาพเหล่านี้ให้ความรู้สึกที่หนักแน่นจนยากที่จะอธิบายออกมาได้ อีกทั้งยังแฝงเอาไว้ด้วยสีสันแห่งเทพนิยายชนิดหนึ่งเอาไว้

 

“ต้าอี่แผลงศรตะวัน ท่ามกลางตำนานของเผ่าองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่แผลงศรทลายดวงตะวันทั้งเก้า ” เยี่ยจงมองอยู่นาน จึงค่อยจดจำตำนานที่อยู่ภายในแผนภาพขึ้นมาได้ จึงได้ทอสีหน้าประหลาดยิ่งขึ้นกว่าเดิม

 

เขาพึ่งจะออกมาจากท่ามกลางดินแดนขนาดเล็กของศิลาตะวันบริสุทธิ์ ย่อมต้องทราบเป็นอย่างดี ว่าสิ่งนี้ที่ต้าอี่แผลงศรใส่ดวงตะวันเมื่อก่อนหน้านี้มิใช่เป็นเพียงเรื่องเล่าขานเท่านั้น แต่ว่า ขณะนี้เมื่อได้เกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นมา ก็ได้ทำให้ผู้คนมากมายยกย่องวีรบุรุษจนสร้างศาลวัดวาเพื่อกราบไว้ ความรู้สึกเช่นนี้ ถือได้ว่าน่าประหลาดเป็นอย่างยิ่ง จนทำให้ผู้คนยากที่จะเชื่อได้

 

ต่อมา ท่ามกลางสายตาของเยี่ยจงก็ได้มองเข้าไปยังแผ่นภาพใบอื่นๆ ต่อ ถึงแม้ว่าจะไม่อาจที่จะมองออกได้อย่างชัดเจนเท่าที่ควรว่าเขียนอันใดเอาไว้ แต่ว่าเขาก็ยังพอที่จะคาดเดาออกมาได้ ว่านี้สมควรที่จะเป็นภาพบุคคลที่ประชาราษฎร์กราบไว้เป็นพิเศษ และสิ่งที่ขีดเขียนเอาไว้อยู่บนแผ่นภาพเหล่านี้ อีกทางด้านหนึ่งนั้นก็เปรียบเสมือนกับเป็นเพียงสิ่งที่ว่างเปล่า ที่คนสมัยโบราณได้เอาไว้กราบไว้นั้นเอง มีทั้งเทพยดาขี่เมฆา ประดุจดั่งหวูคงเข้าหา มุ่งหน้าลอยล่องเข้าไปยังด้านนอกของแดนทรวงสวรรค์แห่งหนึ่ง

 

หรือไม่ก็ จากช่วงเวลาโบราณมา ดินแดนแห่งนี้ได้มีการคงอยู่ของเซียนอยู่จริง บุคคลที่ถูกเล่าขานกันเหล่านั้นต่างก็ถูกปล่อยให้อยู่อย่างอ้างว้างจนได้?

 

เยี่ยจงก็ได้เข้าสู่ความนึกคิดที่ลำบากชนิดหนึ่งขึ้นมา เขาขณะนี้ก็ได้เข้าใจ สถานที่แห่งนี้จะต้องมีการหลั่งไหลของความลับอันยิ่งใหญ่จากในสมัยโบราณอยู่อย่างแน่นอน หากว่าสามารถที่จะทำความเข้าใจขึ้นมาได้แล้วละก็ เกรงว่าคงจะสามารถที่จะได้รับประโยชน์อยู่ไม่น้อย เพียงแต่น่าเสียดาย เขาขณะนี้ไม่อาจที่จะหาวิธีในการผ่านไปได้

 

“อย่าได้เอาแต่ดูแล้ว วันข้างหน้าหากว่าเจ้าสำเร็จสู่ขั้นมหาราชัน แน่นอนว่าจะต้องกลับมาสอดส่องสถานที่แห่งนี้ได้ดีกว่านี้ แต่ว่าตอนนี้ดูมากไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด ภายในศาลเจ้าหลังนี้ ไม่สมควรที่จะปรากฏสิ่งเหล่านี้จึงจะถูกต้อง ” เสี่ยวหลุนกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน เตือนสติเยี่ยจง

 

เยี่ยจงงงงันขึ้นมา หลังจากนั้นเขาจึงได้พยักหน้าไปมา สิ่งของเหล่านี้อย่างไงซะเขาก็ไม่อาจที่จะดูเข้าใจขึ้นมาได้ แน่นอนว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดูต่อไป ในเมื่อสถานที่แห่งนี้ก็ไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว วันข้างหน้าหากมีโอกาสค่อยเข้ามาดูใหม่ก็ยังไม่เสียหายอะไร

 

ในระหว่างที่คิดได้เช่นนี้ เยี่ยจงก็มิได้คิดมากมายต่อไปอีก เพียงแต่หันกายมุ่งหน้าเดินเข้าไปยังทางด้านหลังของศาลเจ้า

 

ขณะนี้เขาก็ได้ก้าวเข้ามาโผล่ที่ถนนโบราณที่สร้างจากศิลาอ่อนสายหนึ่ง ถึงแม้ว่าทั่วทั้งสี่ด้านจะเต็มไปด้วยเพลิงกาฬเจ็ดสี แต่ว่าเขาก็ยังคงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศโบราณที่หนักแน่นอย่างถึงขีดสุดแผ่ขยายออกมาด้วยสิ่งที่เป็นดั่งคำเล่าขานมาจากในสมัยก่อนได้ ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ในเวลาเช่นนี้ได้ผ่านการบ่มเพาะจากกาลเวลามาอย่างเนิ่นนานแล้ว และตนเองที่เป็นเหมือนคนที่มาจากภายนอกก็มิปาน

 

“ซากปรักหักพังสายนี้ น่าจะมีการคงอยู่มานานอย่างน้อยกว่าสิบหมื่นปีขึ้นไปแล้ว หากกล่าวถึงช่วงเวลาที่มีมากกว่าร้อยหมื่นปี คาดว่าคงจะไม่อาจที่จะมีได้ ช่างเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน ยากที่จะคาดเดาเอาไว้ได้ สถานที่แห่งนี้เมื่อสมัยก่อนที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน ” เสี่ยวหลุนถอนหายใจออกมา ส่งเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยรสชาติของความเจ็บปวดขึ้นมาอยู่ชนิดหนึ่ง

 

เยี่ยจงส่ายหน้าไปมา เขายังคงเหยียบย่างสู่ถนนโบราณศิลาอ่อน ไม่นานนัก ก็ได้เข้ามายังระเบียงทางเดินสายหนึ่ง มุ่งหน้าเข้าไปยังภายในส่วนที่ลึกยิ่งขึ้น

 

“อือ?”

 

ในช่วงเวลาที่ได้เดินเข้ามายังภายในอารามที่ประดับเอาไว้ลวดลายทั่วทั้งหลัง เยี่ยจงก็ได้เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมาสีหน้าจางๆ อย่างกะทันหัน ภายในดวงตาก็ได้ปรากฏอาการแปลกใจขึ้นมา นั้นก็เพราะว่า ภาพวาดที่แขวนเอาไว้อยู่ตามกำแพงของอารามหลังนี้ ราวกับมีการคงอยู่อยู่ชนิดหนึ่งเอาไว้ ทำให้ภายในอารามสายนี้มิได้เกิดการเผาไหม้จากเพลิงไฟ

 

เมื่อได้เหม่อมองเข้าไปยังสิ่งเหล่านี้ ภายในดวงตาของเยี่ยจงก็ได้เกิดความแปลกใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม นั้นก็เพราะว่า การคงอยู่ของสิ่งเหล่านี้ กระนั้นกลับทำให้สถานที่แห่งนี้อย่างน้อยก็มิได้รับความเสียหายจากเพลิงกาฬมานานนับสิบหมื่นปีได้ เพียงแค่มองในข้อนี้ ก็ทำให้ผู้คนเข้าใจขึ้นมาได้ ว่าสิ่งที่อยู่ในพื้นที่สายนี้ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

 

“สิ่งเหล่านี้ สมควรที่จะต้องใช้วิธีที่เป็นที่น่าสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแดนได้แล้ว อีกทั้งยังอาจจะอยู่ในระดับเทวะไปแล้วก็ได้ เพียงแต่ว่า ขณะนี้มันยังเรียกได้ว่ายังอยู่ในช่วงที่ไม่สมบูรณ์พร้อมมากนัก ยิ่งไม่อาจที่จะนำมาใช้ฝึกปรือได้ด้วยซ้ำ ” เสี่ยวหลุนก็ได้จดจ่อไปยังสิ่งเหล่านี้ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ในสมัยก่อนสิ่งของที่อยู่ในเส้นทางสายนี้แต่เดิม จะต้องเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดาได้อย่างแน่นอน อาจจะเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือระดับตำนานก็เป็นได้ แต่ว่า สิ่งของเหล่านี้เมื่อได้ถูกการกัดกร่อนจากกาลเวลา ก็ย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้

 

“ถึงแม้ว่าจะมิใช่วิชาที่สมบูรณ์มากนัก แต่ว่า ก็ยังคงมีความลี้ลับอยู่บางส่วนอยู่ ” เยี่ยจงกลับมิได้รู้สึกเสียใจอันใด เพียงแต่ฟื้นฟูสภาวะจิตสำนึกกลับคืนมา เริ่มต้นที่จะค้นหาร่องรอยของวิชาที่เปรียบเสมือนภาพมายาเหล่านี้อย่างตั้งอกตั้งใจ นั้นก็เพราะว่า สิ่งที่เขาฝึกปรือในขณะนี้ก็คือสายทางแห่งดวงตะวัน ย่อมต้องมีความรู้สึกสัมผัสที่พิเศษต่อมรรคะไฟอยู่แล้ว ภายใต้ความตั้งใจที่มีต่อสิ่งที่ประดุจดั่งมายาเหล่านี้ ก็ได้มีสิ่งที่นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้ที่คล้ายเป็นมีลักษณะที่คงอยู่ในแบบของความนึกคิด

 

หลังจากนั้นสักพัก เยี่ยจงจึงค่อยเงยหน้าขึ้นมา ภายในดวงตาก็ได้ปรากฏสีหน้าตกใจขึ้นมา เมื่อตระหนักอยู่สักพัก เขากลับมิได้ใช้วิธีการที่พิเศษอันใด แต่ว่า กลับมีความรู้สึกที่เพิ่มขึ้นมาก็คือ ราวกับได้ยินเสียงจากคำสอนของยอดฝีมือสูงสุดผู้หนึ่งขึ้นมาก็มิปาน ทำให้เขาราวกับสัมผัสได้ถึงสำนึกชนิดหนึ่งขึ้นมาได้ อีกทั้ง เยี่ยจงกลับยิ่งสัมผัสได้อย่างกระจ่างแจ้งยิ่งขึ้น ขณะนี้สิ่งที่ตนเองพอจะทราบขึ้นมาได้ สมควรที่จะเป็นสิ่งที่ไม่สมบูรณ์อยู่แล้ว เกรงว่าหากต้องเดินหน้าต่อไปแล้วละก็ ไม่แน่ว่าอาจจะมีบางอย่างที่ทำให้เกิดความสมบูรณ์ขึ้นมาได้ทั้งหมดก็เป็นได้

 

เมื่อคิดได้เฉกเช่นนี้ เยี่ยจงก็ได้เดินทางก้าวออกไปทางด้านหน้าต่อ ออกไปจากอารามแห่งนี้ มุ่งหน้าเดินเข้าไปยังส่วนลึกต่อไป

.

.

.

.

กลุ่มละ 80ตอน/กลุ่ม/100บาทครับ

โปรโมชั่น กลุ่ม 6-12 ราคา 550

VIP5 https://goo.gl/ekcF7V

VIP6 https://goo.gl/4rqw89

VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA

VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x

VIP9 https://goo.gl/1jPZtn

VIP10 https://goo.gl/L8awva

VIP11 https://goo.gl/rojEiG

VIP12 https://1th.me/o9CD

ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่

INBOX m.me/ZuiQiangWuShen

#####Fanpage#####

https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset