เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 495 สุดทาง

ตอนที่ 495 สุดทาง

 

ในระหว่างที่กำลังมุ่งหน้าเข้าไปยังถนนโบราณหินอ่อน เพื่อที่จะมุ่งหน้าเข้าไปยังบริเวณส่วนลึก ในช่วงเวลาที่ผ่านไปนี้ เยี่ยจงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศโบราณชนิดหนึ่งขึ้นมาได้ ราวกับได้ผ่านช่วงแห่งกาลเวลามานับไม่ถ้วน บนถนนโบราณนี้จึงได้ถูกกัดกร่อนก็มิปาน และบริเวณทางด้านข้างของถนนหินอ่อนโบราณนี้ ก็จะสามารถที่จะพบเห็นอารามมากมาย แต่ว่าอารามโดยส่วนมากแล้วต่างก็อยู่ในลักษณะที่ผุพัง ได้ถูกกาลเวลากัดกร่อนไปตั้งแต่แรกแล้ว แต่ว่าที่ยังพอพบเห็นได้ ว่าสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้มีอายุมานานมากเท่าไรกันแล้ว

 

ทว่าไม่นานนัก เยี่ยจงก็ได้พบเจอกับอารามที่เป็นเหมือนกับศาลเจ้าแห่งที่สอง ภายในอารามเหล่านี้นี้ได้มีการป้องกันประหลาดอยู่ชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะผ่านพ้นวันเวลาและเพลิงกาฬที่เข้ามาทำลาย ท่ามกลางอารามแห่งนี้ หลังจากเขาสัมผัสได้เช่นนี้ จึงค่อยได้เข้าไปศึกษาอย่างละเอียด ทางหนึ่งก็มุ่งหน้าเดินเข้าไปต่อ

 

“ที่แท้ มีแค่เพียงการคงอยู่ของศาลเจ้าเหล่านี้เท่านั้น เกี่ยวกับอารามอื่นๆ ต่างก็ได้ถูกทำลายจากสภาพกาลเวลาไปแล้ว!” ตลอดการเดินทางมานี้ของเยี่ยจง ท้ายที่สุดก็ได้พบเจอกับอารามกว่าร้อยหลัง แต่ว่าในจำนวนมากมายเหล่านี้กลับมีการคงอยู่ของศาลเจ้าเพียงสิบกว่าแห่งเท่านั้น

 

สถานที่เหล่านี้กลับมิได้ถูกกัดกร่อนจากวิธีการใดๆ เพียงแต่สามารถกล่าวได้ว่ามันมีความมหัศจรรย์ หรือว่ามีเศษเสี้ยวแห่งการถูกทำลายเอาไว้อยู่ ยังดีที่ท่ามกลางศาลเจ้าเหล่านี้ได้มีการบันทึกสิ่งเหล่านี้เอาไว้อยู่บ้าง เยี่ยจงแม้จะไม่อาจที่จะปะติดปะต่อทั้งหมดเอาไว้ได้ แต่ว่าก็ยังคงสามารถที่จะเกิดความเข้าใจขึ้นมาได้บ้าง

 

“นี้สมควรที่จะเป็นวิชาชนิดหนึ่งในสมัยโบราณ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่อาจที่จะคาดเดาได้ว่ามาจากประวัติคำเล่าขานจากส่วนหนึ่งในสมัยโบราณ น่าเสียดาย หากว่าสามารถที่จะครอบครองวิชาโบราณนี้ได้แล้วละก็ คงจะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกปรือของเจ้าได้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ” เสี่ยวหลุนก็ได้ถอนหายใจออกมา เดิมทียังคิดเอาไว้ว่าได้พบเจอกับวาสนาครั้งใหญ่แล้ว แต่ว่าคิดไม่ถึงว่าการฝึกปรือในสมัยโบราณเหล่านี้ จะทำได้แค่เพียงเข้าใจได้เท่านั้น

 

“ช่างเถอะ ” เยี่ยจงส่ายหน้าน้อยๆ ทอสีหน้าประหลาด “วิชาของคนในสมัยก่อนคงจะไม่เหมาะสมกับข้าเท่าไร แต่ว่าความรู้สึกความเข้าใจนี้ถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับวิชาแต่เดิมในสมัยโบราณยังถือได้ว่ามีความสำคัญมากกว่าเสียอีก ”

 

เยี่ยจงขณะนี้มิได้เกิดความรู้สึกเสียดาย เพียงแต่ว่าได้เกิดความรู้สึกที่หนักแน่นอัดแน่นอยู่ภายในจิตใจของเขาอยู่อย่างเต็มเปี่ยม

 

ต่อมาเขาก็ได้เดินมาตามทางของถนนโบราณจนพบเจอกับศาลเจ้าที่มีความเสียหายขึ้นส่วนหนึ่ง แน่นอนว่า ถึงแม้ว่าภายในศาลเจ้าเหล่านั้นจะมีบางส่วนที่เสียหายอยู่บ้าง แต่ก็เรียกได้ว่าแทบจะไม่เหลือร่องรอยใดๆ เอาไว้แม้แต่น้อย แต่ว่าเยี่ยจงกลับมิได้รู้สึกเสียดายอะไร เขาเพียงแต่ตรวจสอบอย่างช้าๆ ในเวลาเดียวกันก็ได้เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมาเกิดขึ้นอยู่ภายในจิตใจของเขา

 

กล่าวกันว่าท่ามกลางแดนซานเชียนเซินเจี่ย แต่ว่าตามหลักแห่งการชี้นำของแดนซานเชียนเซินเจี่ย กลับไม่เหมือนกับมนุษย์ อีกทั้งยังมีหลักการที่ไม่เหมือนกัน ต่อให้ทุกผู้คนฝึกปรือออกมาได้ในลักษณะเฉกเช่นเดียวกันก็ตามที แต่ว่าเส้นทางแห่งหนทางในตอนสุดท้าย แน่นอนว่าย่อมต้องแตกต่างกัน ในโลกนี้มิได้มีวิชาที่แข็งแกร่งที่สุด มิได้มีหนทางที่แข็งแกร่งที่สุด จะมีก็แต่เพียงหนทางที่มีความเหมาะสมกับตนเอง

 

ในเส้นทางจากความเข้าใจของเขานี้เอง

 

“ตูม——”

 

ในช่วงเวลาที่ได้เข้าสู่เส้นทางของศาลเจ้าโบราณหลังที่ยี่สิบเก้า บริเวณร่างกายของเขาก็ได้เกิดการแตกระเบิดขึ้นมา พลังสายทางแห่งดวงตะวันในขณะนี้ก็ได้ถูกเขาไหลเวียนขึ้นมา แล้วก็ได้ยินเสียงดังขนาดใหญ่ขึ้นมา ในขณะนี้เอง เยี่ยจงประดุจดั่งเทพราชันหนุ่มก้าวเดินเข้ามายังโลกหล้าก็มิปาน แม้แต่เพลิงกาฬเจ็ดสีเหล่านั้นเองต่างก็ยังต้องแหวกออกจากทางด้านข้างของเขา

 

เยี่ยจงในขณะนี้ ภายในกล้ามเนื้อก็ได้ไหลเวียนไปด้วยประกายแห่งเทพ ทุกๆ ส่วนของกล้ามเนื้อก็ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังความแข็งแกร่งอันมหาศาล บนร่างกายของเขาก็ได้เกิดพลังทำลายล้างไม่หยุด กายาทองไม่สูญสลายซึ่งเป็นต้นตอของพลังก็ได้ทอเป็นประกายแสงอันคมกล้าออกมา ตลอดทั่วทั้งร่างกายก็ได้เกิดการแตกระเบิดขึ้นมา

 

“ติ้ง——”

 

แล้วก็ได้มีเสียงดังของบางสิ่งบางอย่างแตกกระจายออกมาจากภายในร่างกายของเยี่ยจง ขณะนี้เขามิได้มีความตั้งใจที่จะฝึกปรือ แต่ว่าการฝึกปรือในขณะนี้ถึงกับกระโดดขึ้นไปถึงสองระดับ ถือได้ว่าเป็นระดับความเร็วที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน จนในที่สุดก็ได้สำเร็จพลังขั้นก่อฟ้าขอบเขตลมปราณหมุนรอบอย่างสมบูรณ์แบบ และบริเวณทางด้านหลังของเขานั้นเอง มหาสมุทรตะวันผลาญก็ได้รวมตัวกันขึ้นมา พลังปราณสายหนึ่งก็ได้แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นทะเลเพลิงขึ้นมา ขณะนี้ประดุจดั่งเกิดดินแดนขนาดเล็กขึ้นมาก็มิปาน ซึ่งมีการคงอยู่ด้วยตัวของมันเองได้

 

นี้มิใช่การฝึกปรือ แต่ว่าเป็นการเพิ่มระดับขึ้นมา ทำให้เยี่ยจงในขณะนี้หลุดพ้นจากโลกีย์ภายนอกไป ในช่วงระยะเวลาหนึ่งก็ได้เกิดความเข้าใจที่พิเศษเฉพาะชนิดหนึ่งขึ้นมาได้

 

ในขณะนี้เอง เยี่ยจงก็ประดุจดั่งว่าตนเองได้ก้าวเข้าสู่หนทางที่มีความแน่นอนมากยิ่งขึ้นอีกก้าวหนึ่งก็มิปาน อีกทั้งการเกิดขึ้นมาในของก้าวนี้ก็ส่งผลเป็นอย่างยิ่ง ว่าวันข้างหน้าจะต้องมีความแข็งแกร่งได้อย่างสูงส่งอย่างแน่นอน

 

จากที่คิดและทราบมา นับตั้งแต่โบราณกาลมา จะมีคนสักกี่คนกันที่จะสามารถหยิบยืมวิธีการของคนโบราณกลายเป็นความเข้าใจของตนเองได้กัน? ความเข้าใจเหล่านี้ ต่อให้เป็นชนชั้นมหาราชันได้รับมาเอง อย่างน้อยต่างก็คงจะต้องเป็นสิ่งที่น่ายินดีจนบ้าคลั่งได้ แต่ว่าขณะนี้กลับถูกใช้มาเพียงเพื่อที่จะเข้าไปยังระดับรากฐานแห่งพลังขั้นก่อฟ้าให้มีความแน่นอนของเยี่ยจงเท่านั้น นี้ช่างถือได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง แต่ว่าในเวลาเดียวกันก็ถือได้ว่าเป็นความน่าหวาดกลัวในอีกแบบหนึ่ง

 

ในขณะนี้เอง เยี่ยจงก็ได้รวบรวมผลลัพธ์ทั้งหมดของตนเองเอาไว้ เพื่อที่จะทราบถึงรากฐานของตนเอง ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยิ่งรู้สึกขึ้นมาจากตลอดทั้งสามปีมานี้ว่าความรู้สึกความเข้าใจยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิม

 

“โอกาสเช่นนี้ ได้ทำให้พลังฝีมือของข้าเริ่มที่จะเข้าใกล้ระดับราชันขึ้นมาแล้ว อีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น……เพียงแต่ว่า ก้าวนี้ยังไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนมากนัก หนทางของวันข้างหน้า ยังจำเป็นที่จะต้องมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น พลังขั้นก่อฟ้าขอบเขตพลังปราณสูงสุด ในทุกๆ การฝึกปรือพลังเทวะแต่ละขั้น ต่างก็ถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะว่า นั้นก็เพราะว่าการรวมพลังขั้นเทวะนั้นเรียกได้ว่าไม่อาจที่จะทำการเปลี่ยนแปลงไปได้! ดังนั้น ย่อมไม่อาจที่จะรีบร้อนได้ นอกเสียจากว่าจะได้รับพลังเทวะที่แท้จริงขึ้นมาอย่างหนึ่งได้ ไม่เช่นนั้นแล้วหากก้าวไปแล้วละก็ ก็คงจำเป็นที่จะต้องมีความมั่นใจอย่างมาก ” เยี่ยจงกล่าวกับตนเอง โอกาสวาสนาในวันนี้ ได้ทำให้พลังฝีมือของเขานั้นประดุจดั่งติดปีกโบยบินขึ้นมาภายในพริบตา แต่ว่าเยี่ยจงกลับยิ่งตระหนักมากยิ่งขึ้นมาได้ เส้นทางแห่งระดับราชันย่อมถือได้ว่ายากที่ก้าวเดิน ไม่เช่นนั้นแล้วละก็ วันก่อนที่ดินแดนขนาดเล็กศิลาตะวันบริสุทธิ์ เพราะเหตุใดถึงได้มีชนชั้นราชันเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น และกลับมิได้เป็นชนชั้นราชันที่แท้จริงอีกด้วย

 

ต่อให้มีความแข็งแกร่งอย่างกลุ่มราชันวานรที่เป็นสายโลหิตของมหาราชันปีศาจลิ่วเอ่อแห่งหุบเขาหมื่นปีศาจ ก็มีอยู่หลายคนที่อยู่เป็นยอดฝีมือชนชั้นราชันพลังเทวะขั้นที่หนึ่งเท่านั้น?

 

หนทางในการฝึกปรือนั้นช่างยากเย็น และหนทางสู่ระดับราชัน นั้นถือได้ว่ายากเย็นอย่างไร้ที่เปรียบ เพราะว่าหากพลาดไปเพียงก้าวเดียว อาจจะหมายถึงทั้งชีวิตก็เป็นได้ ดังนั้นผู้คนมากมายในช่วงที่จะเข้าสู่ชนชั้นราชันต่างก็ต้องใคร่ครวญนับหมื่นครา ยากที่จะก้าวออกไปได้

 

ต่อให้เป็นเช่นเดียวกันกับเยี่ยจงในขณะนี้ เขาถึงแม้ว่าในมือของเขาจะได้ครอบครองทักษะเซียน มนต์ตราเทพเอาไว้มากมาย แต่ว่าเขาก็ยังเรียกได้ว่าพลังอำนาจเทวะเหนือธรรมชาติอยู่ ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถที่จะใช้ตราผนึกฟ้าในระดับเทวะได้ก็ตาม แต่ว่าเมื่อได้เข้าสู่ขั้นเทวะแล้ว แต่ว่าก็เป็นเหมือนกับการตัดรอนเส้นทางต่อไปในอนาคตของตนเอง

 

ที่เยี่ยจงต้องการจะเดินออกไป ถือได้ว่าเป็นความแข็งแกร่งที่สุดของยอดฝีมือระดับราชันก็ว่าได้ ภายใต้สถานการณ์ที่จะอยู่ในระดับชนิดไร้ผู้ต้านได้ จึงจำเป็นที่จะต้องกำหนดหนทางของตนเอง แล้วก็เป็นหนทางที่แน่วแน่อย่างยิ่ง ควรทราบว่า หนทางที่ผ่านพ้นมาของเยี่ยจงก่อนหน้านี้ หากว่าเขาสู่ระดับราชันแล้วละก็ก็ย่อมไม่อาจที่จะมีกำลังพอที่จะแม้แต่รักษาพลังความแข็งแกร่งของตนเองแล้วละก็ เช่นนั้นในสภาวะต่อไป เกรงว่าคงจะเป็นที่น่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด

 

“ช่างเป็นเส้นทางที่เดินได้ยากเย็นยิ่งนัก!”

 

หลังจากนั้นสักพัก เยี่ยจงจึงค่อยสงบลงมาได้ แล้วก็ได้ทอสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา

 

“ข้าว่าเสียวหลุน หรือไม่ก็ พวกเราลองมาหารือกันหน่อยเป็นอย่างไร?” เยี่ยจงทันใดนั้นก็นึกอันใดขึ้นมาได้ บนใบหน้าก็ได้เผยให้เห็นอารมณ์ที่น่าประหลาดขึ้นมา

 

“เจ้าจะทำอะไร? อย่าได้มาขอให้ปู่หลุนอย่างข้าเปลี่ยนใจก็แล้วกัน!” เสียวหลุนประดุจจ้องเขม็งไปทางด้านเยี่ยจงก็มิปาน หากว่ามีดวงตาแล้วละก็ แน่นอนว่าคงจะน่ากลัวอยู่ไม่น้อย

 

“ข้าทราบว่าเจ้านั้นมีความสนใจต่อกระบี่แสงจันทร์เป็นอย่างมาก นี้อย่างน้อยก็คงจะต้องเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นบรรลุครึ่งส่วน ข้าสามารถที่จะมอบมันให้แก่เจ้าได้……” เยี่ยจงยิ้มขึ้นมาน้อยๆ “ทว่า ข้าต้องการที่จะแลกเปลี่ยนกับพลังอำนาจเทวะเหนือธรรมชาติทั้งห้าชนิด!”

 

“พลังอำนาจเทวะเหนือธรรมชาติ อีกทั้งยังเป็นห้าชนิด?” เสียวหลุนเกือบที่จะเหวี่ยงขึ้นมา “เจ้าคิดว่าพลังเทวะนั้นเป็นสิ่งของใดกัน? คิดที่จะต้องการก็ได้เลยอย่างงั้นหรือ? ต่อให้ปู่หลุนข้าเองทว่าก็ยังมีพลังอำนาจเทวะเหนือธรรมชาติเพียงแค่หนึ่งสองชนิดเท่านั้นเอง!”

 

เมื่อกล่าวมาจนถึงตรงนี้ เสียวหลุนทันใดนั้นก็ได้มีปฏิกิริยากลับมาได้ทันที จึงได้เปลี่ยนน้ำเสียงในคำพูดกลายเป็นแปลกประหลาดขึ้นมาอยู่หลายส่วน: “เจ้าหนูคงมิใช่คิดที่จะเข้าสู่หนทางของความแข็งแกร่งสูงสุดในระดับราชันอยู่หรอกนะ เพื่อที่จะให้ตนเองได้รวมพลังอำนาจเทวะเหนือธรรมชาติด้วยพลังเทวะสูงสุดทั้งห้าหรอกกระมั่ง?”

 

“เจ้าคิดว่านอกเสียจากสิ่งนี้แล้ว ข้ายังมีทางเลือกที่ดีกว่านี้อีกอย่างงั้นหรือ?” เยี่ยจงหยักไหล่ไปมา แฝงเอาไว้ด้วยความลังเลอย่างอดมิได้

 

“ตามความเป็นจริง เจ้าที่ได้ครอบครองวิชากิเลน ตราผนึกนภา ตราแห่งราชาแดนมนุษย์ สำนึกกระบี่ตัดความว่างเปล่าเป็นต้น ต่างก็ถือได้อยู่ในระดับสูงสุดที่จนน่าหวาดกลัวในระดับมนต์ตราเทพแล้ว ถือได้ว่ามีคุณสมบัติที่เพียงพอในการรวมพลังเข้าสู่ขั้นเทวะได้……” เสียวหลุนถอนหายใจออกมา “ทว่า เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าที่ต้องการจะก้าวเดินเข้าไปสู่ขั้นสูงสุดของระดับราชันแล้ว ท่ามกลางพลังเทวะทั้งห้าชั้น จำเป็นที่จะต้องมีพลังเทวะที่แท้จริงมากมายรวมเอาไว้ เพียงแต่ว่า หากว่ามีความคิดเช่นนั้นแล้วละก็ เส้นทางที่จะก้าวเดินสายนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีความยากเย็นอย่างถึงที่สุด ”

 

เยี่ยจงพยักหน้าตอบรับ ทอสีหน้าเข้าใจ พลังเทวะนับแต่โบราณนั้นเรียกได้ยากที่จะพบพานได้ อีกทั้งยังนำนานเล่าขานที่น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ต่อให้เป็นกลุ่มยอดฝีมือหรือสืบต่อกันมาหรือแดนลับแล โดยส่วนมากแล้วก็มีวิชาพลังเทวะโบราณเพียงแค่หนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้นเอง หากมองในความหมายเช่นนี้แล้ว คิดที่จะต้องการเข้าสู่หนทางแห่งพลังเทวะที่แท้จริงนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยากเย็นมากมายอย่างถึงที่สุด และถ้าหากว่าคิดที่จะรวมเอาไว้ด้วยพลังเทวะทั้งห้าชนิด เรียกได้ว่าแทบจะเป็นเรื่องที่ไม่มีความเป็นไปได้เลยเสียด้วยซ้ำ

 

“เอาละ เวลานี้อย่าพึ่งคิดถึงเรื่องเหล่านี้เลย ก่อนอื่น ในเมื่อเจ้าก็ยังมิได้เข้าสู่วิถีของพลังขั้นก่อฟ้าขอบเขตลมปราณเทวราช ในครั้งนี้ถึงแม้ว่าเจ้าขณะนี้จะทะลวงพลังได้อย่างไม่ทราบสาเหตุก็ตาม เกี่ยวกับระดับสูงสุดของพลังขั้นก่อฟ้าขอบเขตลมปราณหมุนรอบนั้น เรียกได้ว่ายังขาดอีกเพียงแค่ครึ่งก้าวแล้วเท่านั้นเอง แต่ว่าในก้าวนี้เจ้ากลับไม่จำเป็นที่จะต้องก้าวต่อไปอย่างรวดเร็วจนเกินไป อาจจะเกิดธาตุไฟเข้าแทรกได้ จนกลายเป็นความเสื่อมโทรมของรากฐาน สิ่งที่มีความสำคัญยิ่งกว่า เกี่ยวกับระดับเทวะ……” ทันใดนั้นเสียวหลุนก็ได้เหม่อมองเข้าไปยังส่วนลึกภายในของอารามแห่งนี้ แล้วจึงได้กล่าวต่อ “หากว่าในสถานที่แห่งนี้เป็นสุสานเซียนจริง หรืออาจจะมีความเกี่ยวข้องเกี่ยวกับเซียนแล้วละก็ อาจจะพอที่จะสามารถที่จะเสาะหาวิชาพลังเทวะได้ซักแขนงอยู่บ้าง มิใช่หรือ?”

 

เยี่ยจงพยักหน้าตอบรับ จ้องมองเข้าไปยังส่วนที่ลึกเข้าไปของอารามเข้าไปอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ได้ก้าวออกไปอย่างช้าๆ ต่อ เข้าสู่เส้นทางถนนโบราณหินอ่อนอีกครั้ง เดินเข้าไปตามทางเรื่อยๆ

 

หนทางต่อไปของสายทางสายนี้ เยี่ยจงก็ได้ค้นพบว่า ไม่อาจที่จะพบเห็นศาลเจ้าโบราณอีก แต่ว่า ก็ได้มีอารามขนาดใหญ่ที่ถึงแม้ว่าจะถูกเพลิงกาฬเจ็ดสีครอกอยู่ แต่ว่ากลับมิได้เกิดความเสียหายแต่อย่างไร แต่กลับปะทุบรรยากาศอันน่าหวาดกลัวขึ้นมาชนิดหนึ่งขึ้นมา ในเวลาเดียวกันก็ได้มีพลังทำลายอันน่าหวาดกลัวแผ่กระจายออกมา จนทำให้ผู้คนต่างก็กลืนน้ำลายลงคอ ราวกับว่าไม่อาจที่จะเข้าไปในที่แห่งนี้ได้

 

“เพลิงกาฬลำดับที่แปด มาถึงสุดทางแล้ว!” ทันใดนั้นเสียวหลุนก็ได้ถอนหายใจออกมากล่าวออกมา ภายในน้ำเสียงนั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

 

เยี่ยจงพยักหน้าตอบรับ สายตาก็ได้จ้องมองเข้าไปยังตำหนักหลังหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้าสายตา ภายในอารามขนาดใหญ่หลังนี้ ก็ได้มีบัลลังก์ราชันสีทองขนาดใหญ่อยู่หลังหนึ่ง ที่ด้านบนของบัลลังก์ราชัน ขณะนี้ก็จะสามารถที่จะพบเห็นร่องรอยของเส้นทางประหลาดปรากฏขึ้นมาเป็นสายทอเป็นประกายอยู่

 

และที่บัลลังก์ราชันนี้เอง ถึงแม้ว่าดูไปแล้วจะไม่ใหญ่มากมายนัก แต่ว่าก็ทำให้ผู้คนให้ความรู้สึกที่ไม่ถูกต้องอยู่ ประดุจว่าเป็นชั้นดวงดาราโบราณแห่งหนึ่งก็มิปาน มีขนาดใหญ่อย่างไร้ที่เปรียบ

 

“ถึงกับมีพลังฝีมือเช่นนี้ด้วย……” เสียวหลุนก็ได้ให้ความจดจ่อต่อบัลลังก์ราชันขนาดใหญ่ตัวนี้ “บัลลังก์ราชันนี้ สมควรที่จะต้องใช้เอาไว้เพื่อที่จะหล่อหลอมชั้นดาราที่มาจากบนฟ้าก็เป็นได้ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง ว่าจะต้องเป็นเทพมหาราชันศักดิ์สิทธิ์อี่เซินในสมัยก่อนที่ใช้ไว้หล่อหลอมหนึ่งในดวงอาทิตย์ และในสถานที่แห่งนี้ อาจจะเป็นใจกลางของดินแดนเสี่ยวหนานก็เป็นได้ ที่นั่งบัลลังก์ราชันนี้ อาจจะเป็นบริเวณที่สถิตของเพลิงกาฬลำดับที่เก้า ”

 

เยี่ยจงพยักหน้าตอบรับ เขาหรี่ตาลงมอง จ้องมองเข้าไปยังบัลลังก์ราชันขนาดใหญ่สีทองตัวนี้ เพราะว่ามันนั้นมีลักษณะเหมือนมีราชันเทพเซียนตนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ก็มิปาน อีกทั้งยังอยู่ในลักษณะปิดดวงเนตรอยู่ แต่ก็ยังคงเปล่งเป็นประกายนับพันหมื่นสายอยู่

 

“ไม่ถูกต้อง——” เสียวหลุนเกิดอาการลังเลขึ้นมากะทันหัน เยี่ยจงมองเข้าไปยังภายในของบัลลังก์ราชันกลับไม่พบอะไร แต่ว่ามันก็ได้ร้องเสียงหลงขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ส่วนภายในของบัลลังก์ราชัน ที่แห่งนั้น ก็ได้มีคนอยู่ผู้หนึ่ง……ไม่ถูกต้อง มีการคงอยู่ของพลังสูงสุดอยู่ เขากำลังอยู่ในสภาวะจำศีลอีกด้วย——”

.

.

.

.

กลุ่มละ 80ตอน/กลุ่ม/100บาทครับ

โปรโมชั่น กลุ่ม 6-12 ราคา 550

VIP5 https://goo.gl/ekcF7V

VIP6 https://goo.gl/4rqw89

VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA

VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x

VIP9 https://goo.gl/1jPZtn

VIP10 https://goo.gl/L8awva

VIP11 https://goo.gl/rojEiG

VIP12 https://1th.me/o9CD

ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่

INBOX m.me/ZuiQiangWuShen

#####Fanpage#####

https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

 

 

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset