เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 526 ความเข้าใจของชนชั้นมหาราชัน

ตอนที่ 526 ความเข้าใจของชนชั้นมหาราชัน

 

ชั่วเวลาสั่นๆ ก็ได้ผ่านพ้นไปในชั่วพริบตา เยี่ยจงราวกับผ่านพ้นประสบการณ์ที่มีมาอย่างยาวนานนับหลายหมื่นก็มิปาน ในขณะนี้เอง เขาก็สัมผัสได้ถึงสภาวะที่ไหลเวียนอยู่ท่ามกลางอากาศ ราวกับว่าตนเองสามารถที่กลายเป็นความว่างเปล่าได้ทุกเวลาก็มิปาน อีกทั้งยังมีความมืดมิดปกคลุมเขาเอาไว้อยู่ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกผิดปกติขึ้นมาชนิดหนึ่ง จนก็คือเขาได้เหยียบย่างไปยังท่ามกลางพื้นดินแล้ว กระนั้นก็ไม่อาจที่จะมองเห็นสิ่งใด

 

แต่ว่าไม่นานนัก ด้านหน้าสายตาของเขาก็ได้มีปรากฏแสงปรากฏขึ้นมาอย่างเจิดจ้า เยี่ยจงสัมผัสได้อย่างกระจ่างชัด ตนเองได้มาจนถึงด้านบนของพื้นดิน จากนั้นเบื้องหน้าสายตาทั้งหมดก็ได้กลับคืนสู่ความปกติอีกครั้ง ราวกับว่าดินแดนอีกแห่งหนึ่งอย่างสมบูรณ์ก็มิปาน

 

“นี้ก็คือสุสานชั้นที่สองงั้นหรือ เมืองแห่งมาร หรือก็คือถ้ำหมู่บ้านแห่งเซียนงั้นหรือ?” เยี่ยจงทอดสายตามองไปทั่วทั้งสี่ด้าน ท่ามกลางภายในดวงตาก็ได้ปรากฏอาการตกใจขึ้นมา

 

เบื้องหน้าสายตาที่มองเห็นทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะมิใช่ความเย็นเยียบที่ปกคลุมไปด้วยโลหิตท่ามกลางอากาศ อีกทั้งยังมิได้เป็นดั่งที่คาดคิดเอาไว้ นี้กลับไม่คล้ายกลับช่องว่างที่มีการคงอยู่ทางด้านล่างของสุสานขนาดใหญ่ ในทางกลับกันกลับเป็นเหมือนกันดินแดนขนาดเล็กที่สมบูรณ์แบบไปแทบทั้งสิ้นก็มิปาน

 

ดินแดนขนาดเล็กผืนนี้มีขนาดที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่เปรียบ อีกทั้งสภาพอากาศยังสะอาดสะอ้าน สามารถที่จะมองเห็นการปรากฏขึ้นมาของดวงตะวันได้อย่างชัดเจน ทว่าหากมองอย่างละเอียดแล้วละก็ ก็จะสามารถพบเห็นได้ว่า ตะวันดวงนั้นราวกับมีร่างคล้ายกับเป็นวิหคทองคำกลายร่างมา

 

“จิ๊บ——”

 

ฉากด้านบนที่เป็นท้องนภายามรุ่งอนุณก็ได้มีเสียงวิหคขับขานดังขึ้นมา พริบตานั้นเอง คิดไม่ถึงว่ายังถึงกับมีเงาอันเย็นเยียบที่ปกคลุมปิดบังดวงตะวันไปได้ทั้งหมด

 

เยี่ยจงเงยหน้าขึ้น สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันน่าหวาดกลัวขึ้นมาได้ ทอสีหน้าแปรเปลี่ยนไปนับครั้งไม่ถ้วน

 

เพราะว่า นั้นเป็นสัตว์ปีกชนิดหนึ่งที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารตัวหนึ่ง ถึงกับสามารถเรียกได้ว่าเป็นราชันปีศาจที่แท้จริงตนหนึ่งเลยก็ว่าได้

 

“มิได้มีเพียงแค่ตัวเดียว สมควรที่จะต้องมีอีกหลายตัวอีกด้วย!” เยี่ยจงจ้องมองไปยังบนท้องฟ้าอีกทางด้านหนึ่ง ทอสีหน้าประหลาดเป็นพิเศษขึ้นมา เพราะว่าฉากบนนภาได้มีสัตว์ปีกขนาดใหญ่โตมโหฬารมากมายนับไม่ถ้วนขึ้น อีกทั้งทุกๆ ตัวยังราวกับว่าเป็นราชันปีศาจ สามารถที่ใช้เพียงแต่มือข้างเดียวบดบังท้องฟ้าได้ทั้งหมด

 

“สถานที่แห่งนี้ คงจะมิใช่เป็นสถานที่ที่ถูกเล่าขานการส่วนหนึ่งที่มีการคงอยู่ของเซียนหลงเหลือเอาไว้หรอกกระมั่ง? หากว่าเป็นเช่นนั้นจริงแล้วละก็ ก็ช่างเป็นสิ่งที่มีความน่ากลัวได้อย่างแท้จริงแล้ว หรือไม่ก็ สถานที่แห่งนี้จะมีเซียนอยู่จริง?” เสี่ยวหลุนก็ได้ส่งเสียงดังขึ้นแฝงเอาไว้ด้วยความสงสัยที่ไม่อาจที่จะหยุดลงได้ เห็นได้ชัดอย่างยิ่ง ขณะนี้แม้แต่มันเองก็ยังไม่อาจที่จะทราบถึงที่มาที่ไปของสถานที่แห่งนี้ได้

 

เยี่ยจงทอดสายตามองไปรอบด้านอยู่สักพัก จากนั้นจึงค่อยได้กล่าวออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา : “ไม่ว่าจะมองอย่างไร สถานที่แห่งนี้สมควรที่จะเป็นดินแดนขนาดเล็กที่โดดเดี่ยวแห่งหนึ่งแล้ว อีกทั้ง ยังมีที่มาที่ไปที่ธรรมดาไม่น้อย ”

 

“ไม่แปลกใจเลยที่สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกขานว่าเมืองแห่งมาร หรือจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าถ้ำหมู่บ้านแห่งเซียน เมื่อมองจากสายตาของผู้คนมากมาย สถานที่แห่งนี้อย่างน้อยก็มีอันตรายอยู่ทุกย่างก้าว พร้อมที่จะฉโลมโลหิตได้ทุกเวลา แต่ว่าหากมองในด้านที่เกี่ยวกับวาสนาอันยิ่งใหญ่แล้ว ไม่แน่ว่าจะสามารถค้นหาสุสานเซียนที่แท้จริงพบก็เป็นได้ ” เสี่ยวหลุนถอนหายใจออกมา ทอสีหน้าแปลกใจขึ้นมาอย่างยิ่ง

 

เยี่ยจงพยักหน้าตอบรับ เขาขณะนี้ก็ได้ยืนอยู่ในพื้นที่ที่เป็นป่าเขา ในพื้นที่แห่งนี้หากมองเข้าไป ก็จะสามารถที่จะพบเห็นหุบเขาที่ดูเก่าแก่ได้อย่างชัดเจน ตั้งตะหงาดสูงใหญ่ เหมาะสำหรับการสอดส่องอย่างถึงที่สุด

 

“อา——”

 

ในบริเวณทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน ไม่ทราบว่าในเวลาใดกันที่ได้มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา ในเวลาเดียวกันก็ได้มีเสียงคำรามของสัตว์ประหลาดมากมายดังก้องกังวานอยู่ภายใน ทั่วทั้งสี่ทิศก็ได้เกิดศึกขึ้นมา

 

เห็นได้ชัด ยอดฝีมือแต่ละฝ่ายที่เข้ามาจากดินแดนภายนอกเหล่านี้ขณะนี้แน่นอนว่าน่อมไม่อาจที่จะรั้งกลับได้แล้ว เพียงแต่กำลังเปิดศึกครั้งใหญ่กับสิ่งมีชีวิตพื้นเพเหล่านี้เป็นอันดับแรก

 

“เด็กน้อยเหล่านี้ ช่างไม่เกรงกลัวความตายเลยจริงๆ สิ่งมีชีวิตพื้นเพเหล่านี้ถึงแม้ว่าจะมีสติปัญญาที่ไม่อาจที่จะเทียบเคียงได้ แต่ว่าในด้านของพลังกำลังของกายเนื้อกลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าไม่รู้กี่เท่า อีกทั้งราชันปีศาจทุกตัวต่างก็มีพลังเทวะที่เป็นทุนเดิมของชีวิตอยู่ในมือ ถึงแม้ราชันปีศาจทุกตนจะเป็นเหมือนกับรถสมบัติที่สามารถเคลื่อนที่ได้ แต่ว่าก็ย่อมไม่ปล่อยให้จัดการได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว ” เสี่ยวหลุนก็ได้หัวเราะอย่างเย็นชาติดต่อกัน เกี่ยวกับการศึกทั่วทั้งสี่ด้านย่อมไม่แยแสสนใจอยู่แล้ว “เจ้าหนู เจ้าเองก็ระวังเอาไว้ให้มากละ สถานที่แห่งนี้จะต้องเป็นสุสานเซียนที่ถูกซ่อนเร้นจริงกว่าแปดส่วนแล้ว มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะค้นพบสิ่งที่ตกทอดของจักรพรรดิฟ้าอีกด้วย แต่ว่าในสถานที่ที่เป็นส่วนลึกของสถานที่แห่งนี้ หากไม่ระวังอย่าว่าแต่ยอดฝีมือระดับครึ่งก้าวสู่ระดับราชันตัวน้อยๆ คนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นชนชั้นมหาราชันที่แท้จริงเอง อย่างน้อยก็สามารถที่จะตายตกลงไปได้ ดังนั้นจะต้องระวังในทุกการกระทำในทุกๆ เรื่องให้ดี ”

 

“ข้าทราบแล้ว ทว่าในเมื่อก็ได้เข้ามาแล้ว ยังไงก็คงต้องค้นหาสิ่งที่พอจะเป็นประโยชน์ได้ซักเล็กน้อยบ้างละ?” เยี่ยจงหัวเราะออกมา ทางด้านหลังร่างกายก็ได้มีประกายแสงหลั่งไหลขึ้นมา มุ่งหน้าทะยานออกไปบริเวณทางด้านหน้า

 

ขณะนี้ตลอดทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านต่างก็สามารถที่จะพบเห็นเงาของผู้คนได้ ถึงแม้ว่าจะถูกแยกออกไปตามส่วนต่างๆ ท่ามกลางดินแดนที่ใหญ่โตแห่งนี้ แม้จะไม่ต้องการที่จะพบเห็นก็ยังต้องพบเห็น แต่ว่าก็ยังถือได้ว่าเป็นเพียงแค่ส่วนน้อย

 

ในบริเวณที่ไม่ห่างไกลมากนัก ก็ได้มีชายหนุ่มสวมชุดสีเขียวลี้ลับมือถือเอาไว้ด้วยหอกยาวด้ามหนึ่งกำลังประชันศึกต่อสู้กับหงส์สีม่วงตนหนึ่ง นั้นถือได้ว่าเป็นหงส์สายฟ้าในตำนานก็ว่าได้ ถือได้ว่าเป็นราชันปีศาจที่แท้จริงได้เลย และมันย่อมต้องจัดได้ว่ามีพลังการต่อสู้ในระดับราชันพลังเทวะขั้นที่สองตนหนึ่งก็ว่าได้

 

เยี่ยจงมองเข้าไปจากที่ห่างไกลออกไป แล้วก็ได้พบว่ายังไม่ถึงชั่วพริบตา ราชันทั้งสองตนนี้ก็ได้เข้าปะทะกันสิบกว่ากระบวนท่าแล้ว ในช่วงที่ได้ออกกระบวนท่าสุดท้าย ชายหนุ่มลี้ลับชุดเขียวนั้นก็ได้กลายเป็นเพียงฝุ่นโลหิต ถูกหงส์สายฟ้าใช้พลังทำลายจากสายฟ้าเข้าปะทะจนไหม้เป็นเถ้าถ่านไปในทันที

 

ฉากนี้ถือได้ว่าโหดร้ายอย่างถึงที่สุด ชายลี้ลับชุดเขียวหากมองดูจากอายุแล้วก็ถือได้ว่าสามารถอยู่ในระดับราชันแล้ว เพียงพบว่าเขานั้นไม่ธรรมดา แต่ว่าก็ยังถูกหงส์สายฟ้าปะทะสังหารลงได้อย่างง่ายดาย เช่นนี้ก็เพียงพอที่จะบ่งบอกถึงสภาวะที่น่ากลัวของสถานที่แห่งนี้ได้แล้ว

 

บนร่างเยี่ยจงได้สวมเอาไว้ด้วยอาภรยุทธ์ก่อฟ้าห้าธาตุ ที่สามารถซ่อนเร้นพลังชีวิตเอาไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงมิได้ถอยจากไปตั้งแต่แรก เพียงแต่จ้องมองไปยังฉากเบื้องหน้าด้วยความสงสัย

 

เพราะว่าเขาเองก็มองออกว่า ชายลี้ลับชุดเขียวนี้ขณะนี้ก่อนที่จะลงมือ มิใช่เป็นเพราะว่าเขานั้นไม่กลัวตาย เพียงแต่ทางด้านหลังของหงส์สายฟ้าสีม่วงขนาดใหญ่นั้นได้มีรังอยู่ แล้วก็ได้มีกระดูกสีทองของมนุษย์วางเอาไว้ กระดูกมนุษย์ขณะนี้ก็ได้ทอพลังกดดันสีทองออกมาอย่างเข้มข้น เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้จะต้องเป็นชนชั้นระดับมหาราชันอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าไม่ทราบว่าเพราะอะไรถึงได้มานั่งอยู่ในสถานที่แห่งนี้

 

และหงส์สายฟ้าม่วงนี้ราวกับว่ามันเป็นผู้คุ้มกันก็มิปาน จัดการจู่โจมสังหารกับผู้ที่เข้ามารบกวนทั้งหมด

 

“หรือว่า ดินแดนแห่งนี้จะมีการคงอยู่ของยอดฝีมือที่มีพลังมหาศาลอยู่?” เยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา จากนั้นเขาก็คิดขึ้นมาได้ถึงฉากที่เกิดขึ้นมานับตั้งแต่เริ่มเปิดสุสานชั้นที่สอง ในช่วงเวลานั้น เขาราวกับพบเห็นฉากการเข่นฆ่าสังหารของกองทัพนับพันหมื่น ด้วยดวงตาทั้งคู่ที่พบเห็นทั้งหมด ราวกับเพียงพอที่จะคาดเดาอะไรออกมาได้

 

“คงจะมิใช่ว่า สถานที่แห่งนี้ได้เกิดศึกที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าขึ้นมาหรอกนะ? ถ้ากล่าวเช่นนั้น สถานที่แห่งนี้นอกเสียจากว่าจะเก็บซ่อนความลับที่มีความเกี่ยวข้องกับความลับอันยิ่งใหญ่สู่การสำเร็จเป็นเซียนจริงอย่างงั้นหรือ?” เยี่ยจงเกิดความสงสัยขึ้นมา ทอสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาอย่างมาก เพราะว่าเรื่องนี้หากว่าเป็นจริงแล้วละก็ เช่นนั้นในครั้งนี้เขาก็ไม่แน่ว่าจะสามารถที่จะแย่งชิงวาสนาแห่งดินแดนเอาไว้ได้

 

“เอ๊ะ นั้นคือ——”

 

ชั่วพริบตาที่กำลังตระเตรียมหันกายจะจากไป เยี่ยจงก็ได้ขยับสีหน้าขึ้น ทอดตามองเข้าไปยังบริเวณเบื้องหน้าของโครงกระดูกสีทองตนนั้น ทางด้านหน้าก็ได้มีศิลาหยกชิ้นหนึ่ง ขณะนี้ก็ได้ถูกวาดเอาไว้จนคล้ายกับอักษรยันต์โบราณส่วนหนึ่ง อักษรยันต์นั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง มิได้มีความเหมือนกับสิ่งใด แต่ว่าก็ได้แฝงเอาไว้ด้วยมรรคะที่ยิ่งใหญ่อยู่ชนิดหนึ่ง

 

“ราวกับว่านั้นเป็นสิ่งที่ชนชั้นมหาราชันผู้นั้นหลงเหลือเอาไว้ คงจะมิใช่เป็นวิชาเทวะหรอกนะ?”

 

เยี่ยจงทอสีหน้าหวั่นไหวขึ้นมา ภายในดวงตาก็ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดหวั่นไม่หยุดนิ่ง เพราะว่าสิ่งของเช่นนั้นถ้าหากเป็นวิชาเทวะแล้วละก็ ก็ช่างเป็นที่น่าแตกตื่นเกินไปแล้ว

 

ควรทราบว่า ในบริเวณภายนอกดินแดน ไม่ว่าจะเป็นสำนักใดต่างก็ถือได้ว่าเป็นวัตถุประจำสำนักได้เลย ตามปกติแทบจะไม่อาจพบเห็นได้ แต่ว่าขณะนี้ถึงกับสามารถที่จะค้นพบการคงอยู่ของพลังเทวะถึงอย่างหนึ่งได้ นี้ก็ถือได้ว่าไม่แปลกใจเลยที่เมื่อครู่ชายลี้ลับชุดเขียวได้ลงมือออกไป

 

เยี่ยจงครุ่นคิดอยู่สักพัก กลับมิได้ลงมือไปในทันที เพียงแต่ซ่อนตัวจดจ้องและมองไปที่บริเวณนั้น รอคอยจนหลังจากที่หงส์สายฟ้าม่วงนั้นออกไปหาอาหารในที่ไกลออกไป เยี่ยจงจึงค่อยขยับร่างกาย ปล่อยตัวลงไปยังท่ามกลางรังของมัน

 

จากนั้นก็ได้โค้งคำนับโครงกระดูกนั้นอย่างมีมารยาท ระหว่างนั้นสายตาของเยี่ยจงได้พร่ามัวขึ้นมา จดจ่ออย่างละเอียดไปที่ศิลาหยกขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นนั้น

 

ลายมือของมหาราชันผู้นี้ ช่างถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง ทว่าหลังจากที่ดูไปแล้ว ภายในดวงตาของเยี่ยจงก็ได้ปรากฏความสิ้นหวังขึ้นมา เพราะว่าลายที่บันทึกนี้กลับมิได้วิชาเทวะอย่างแท้จริง ในทางกลับกันเป็นสิ่งที่มหาราชันผู้นี้ก่อนที่จะตายตกลงไป เป็นเคล็ดวิชากระบี่ชนิดหนึ่ง

 

เมื่อมองจากก่อนหน้านี้ของเยี่ยจง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือวิชาเทวะ เพราะว่าในระดับขั้นนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่เขาขาดแคลนมากที่สุด ก็คือการฝึกปรือเพื่อที่จะเข้าสู่พลังขั้นก่อฟ้าขอบเขตพลังเทวะ

 

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ความเข้าใจของมหาราชันผู้นี้แม้จะไม่อาจที่จะเรียกได้ว่าเป็นสมบัติสูงสุด ไม่นานนัก เยี่ยจงก็ได้เปิดความคิดอื่นๆ ขึ้นมา เริ่มต้นที่จะดูเข้าไปที่ลายลักษณ์ความเข้าใจของมหาราชันผู้นี้โดยละเอียด

 

ความเข้าใจนี้เมื่อมองไปแล้วถือได้ว่ามีความไหลลื่นเป็นอย่างมาก แต่ว่าเมื่อสังเกตอย่างละเอียดแล้วละก็ กลับเป็นที่แตกตื่นอย่างยิ่ง นับตั้งแต่เริ่มเยี่ยจงแม้จะมิได้ใส่ใจมากนัก แต่ว่าไม่นานนักภายในดวงตาของเขาก็ได้ปรากฏความตกใจขึ้นมา เพราะว่าเข้ากลับพบว่า หากว่าตนเองสามารถที่จะทำความเข้าใจเหล่าของสิ่งนี้ได้อย่างแท้จริงแล้วละก็ ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้มรรคกระบี่ของตนเองมีความก้าวหน้าไปได้อย่างยาวไกลขึ้นอีก ต่อให้มิใช่วิชาเทวะที่สมบูรณ์แบบ ก็ไม่แน่ยังเพียงพอที่จะทำทำให้ตนเองผนึกรวมเข้ากับความเข้าใจมรรคกระบี่มากยิ่งขึ้น จนเผยพลังเทวะของตนเองออกมาได้

 

“สายทางริเริ่ม——”

 

ตัวอักษรทั้งสองตัวก็ได้ปรากฏขึ้นมาภายในจิตใจของเยี่ยจง จนทำให้เขามีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา

 

ควรทราบว่า โดยส่วนมากแล้ว ต่อให้เป็นมหาราชันเองก็จะใช้ว่าจะสามารถที่จะหาหนทางริเริ่มจนกลายเป็นพลังเทวะของตนเองได้ แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งต่างก็ถือได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งวิชาเทวะจึงจะสามารถทำได้

 

แต่ว่า หากว่าเยี่ยจงสามารถที่จะริเริ่มสร้างวิชาเทวะของตนเองขึ้นมาได้แล้วละก็ เช่นนั้น พลังฝีมือของเขาย่อมต้องก้าวกระโดดขึ้นไปอย่างแน่นอน

 

ต่อมา เยี่ยจงก็ได้นั่งสมาธิลง หลงลืมภยันตรายไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เข้าสู่หลักความเข้าใจ ใจปราณก็ได้เกิดความว่างเปล่าขึ้น อีกทั้งยังเป็นเหมือนหนทางสู่การทะลวงพลัง จนแทบจะถึงขั้นที่จะเข้าสู่พลังขั้นก่อฟ้าขอบเขตพลังเทวะก็มิปาน

 

หลังจากนั้นสักพัก เยี่ยจงจึงค่อยลืมตาขึ้นมา ภายในดวงตาก็ได้ปรากฏเค้าความสงสัยขึ้นมา ในเวลาเช่นนี้เขายังถึงกับจดจ่อศึกษาอย่างละเอียดได้ ทำความเข้าใจขึ้นมาได้เป็นอย่างมาก

 

แน่นอนว่า เขาอาจจะไม่สามารถที่จะหยุดอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้นานจนเกินไป หลังจากที่ได้จดจำตัวอักษรไว้จนขึ้นใจแล้ว เขาก็ได้ถอยไปจนถึงบริเวณทางด้านสันเขาของอีกทางด้านหนึ่ง

 

“นี้ถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่เก็บสมบัติ หากว่าสามารถที่จะค้นพบจุดที่มีมหาราชันตายตกไปเหล่านั้น อาจจะสามารถที่จะได้ปรับความเข้าใจเกี่ยวกับมรรคกระบี่มากขึ้นก็เป็นได้ เช่นนั้นต่อให้ไม่มีวิชาเทวะที่สมบูรณ์พร้อม ข้าเองก็ยังแน่ใจไม่ได้ว่าจะสำเร็จได้หรือไม่ ที่จะทำให้ตนเองสามารถที่จะเริ่มคิดวิชาเทวะของตนเองขึ้นมาได้!”

 

เยี่ยจงบ่นพึมพำกับตัวเอง เขามิได้หยุดอยู่ในสถานที่แห่งนี้ต่อไป เพียงแต่มุ่งหน้าไปยังอีกทางด้านหนึ่ง เพราะว่าขณะนี้เขาจำเป็นที่จะต้องการที่จะทราบถึงที่มาของความเป็นมาของชนเผ่าที่กว่าร้อยครัวเรือนที่อยู่ในที่แห่งนี้ เช่นนั้นจึงพอที่จะสามารถเป็นตัวบ่งบอกถึงเบาะแสในขณะนี้ได้ ไม่แน่ว่าตนเองอาจจะสามารถที่จะริเริ่มพลังเทวะของตนเองขึ้นมาได้จริงก็เป็นได้

 

ต่อจากนั้นก็ได้ผ่านพ้นไปอีกหลายวัน เยี่ยจงก็ได้เดินทางเข้ามาจนถึงท่ามกลางป่าเขา ตลอดรอบด้านก็ได้มียอดยุทธ์นั่งเพื่อพักรักษาตัวและระวังป้องกันอยู่กับที่

 

ยังดีที่บนร่างของเขาสวมเอาไว้อาภรยุทธ์ก่อฟ้าห้าธาตุที่ถือได้ว่าเป็นสมบัติสูงสุดที่แม้แต่สวรรค์ยังไม่อาจคำนวณได้ ดังนั้นตลอดทางมานี้ย่อมไร้ซึ่งอันตราย หลบเลี่ยงจากสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งไปได้ไม่น้อย แน่นอนว่า เขาเองก็มีอยู่หลายครั้งที่ไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงได้ ไม่อาจที่จะไม่เข้าปะทะกับสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งเหล่านั้นได้ แต่ในที่สุดก็ยังได้รับชัยชนะ

 

แน่นอนว่า เรื่องที่ผ่านพ้นมานี้หากมองในมุมของเยี่ยจงก็เหมือนกับการศึกษาอย่างหนึ่ง แต่ว่า ร่องรอยของมาหราชันที่เขาเสาะหาทั้งหมดนั้นกลับมีอยู่ไม่มากนัก นอกเสียจากในครั้งแรกที่เสาะหาเศษกระดูกมหาราชันได้แล้ว ส่วนที่พอจะสามารถพบเจอได้อีก ต่างก็เป็นสิ่งที่เป็นบันทึกที่หลงเหลือทิ้งเอาไว้ของชนชั้นราชันเท่านั้น และด้วยทักษะเซียนเหล่านี้ โดยส่วนมากแล้วต่างก็ไม่สมบูรณ์ เห็นได้ชัด สิ่งที่ชนชั้นราชันเหล่านี้คิดจะจะหลงเหลือเอาไว้ก็เป็นได้เพียงแค่ตำนานเท่านั้น นั้นก็เพราะเวลายังไม่ทันจะบันทึกจนหมด ท้ายที่สุดก็ได้ตายตกลงไป ต่างก็ไม่อาจที่จะเหลือทิ้งตำนานของตนเองเอาไว้ได้

 

“น่าเสียดาย หากว่าสามารถที่จะเสาะหาความเข้าใจมรรคกระบี่ที่มหาราชันผู้นี้เหลือทิ้งเอาไว้ในอีกหลายๆ จุด จะต้องมีประโยชน์ต่อข้าเป็นอย่างมากแน่นอน!” เยี่ยจงถอนหายใจออกมา ทอสีหน้าประหลาดออกมา

.

.

.

.

กลุ่ม / 100บาทครับ

กลุ่มละ 80ตอน
โปรโมชั่น กลุ่ม 6-13 ราคา 600
VIP5 https://goo.gl/ekcF7V
VIP6 https://goo.gl/4rqw89
VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA
VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x
VIP9 https://goo.gl/1jPZtn
VIP10 https://goo.gl/L8awva
VIP11 https://goo.gl/rojEiG
VIP12 https://bit.ly/2lRgnUn
VIP13 https://bit.ly/2mkmj8y
ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
INBOX m.me/ZuiQiangWuShen
#####Fanpage#####
https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset