เทพยุทธสะท้านภพ – ตอนที่ 536 กระบี่ไร้ลักษณ์

ตอนที่ 536 กระบี่ไร้ลักษณ์

 

 

 

ท่ามกลางบริเวณหุบเขาที่ไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้เรียกได้ว่าไม่มีแม้แต่พลังปราณเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ไม่นานมากนักคงจะต้องเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้น จนทำให้สถานที่แห่งนี้ราบเป็นหน้ากลอง ทั่วทั้งบริเวณต่างก็ไม่อาจที่จะใช้ได้ ไม่มีพลังปราณแม้แต่น้อย สามารถกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่มาถึงยังสถานที่แห่งนี้ ต่างก็คงจะมุ่งหน้าไปยังเส้นทางอื่น ขณะนี้เยี่ยจงก็ได้นั่งสมาธิลงอยู่ภายในใจกลางถ้ำแห่งหนึ่ง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

 

เมื่อครั้งที่แล้วที่ได้ถูกกงยี่จวินช่วงชิงสถานที่ฝึกปรือไปถึงสามครั้งคราแล้ว เยี่ยจงในเวลานี้ก็ไม่อาจที่จะเสาะหาสถานที่ที่เหมาะสมแก่การทะลวงพลังได้อีก จนทำให้เขาเกิดอาการคันที่ฟันในขณะนี้ เกิดความชิงชังจนแทบอยากจะฟาดกงยี่จวินให้ตายคามือ

 

“อันที่จริง มรรคกระบี่เทวะของเจ้าในขณะนี้ยังไม่ถือได้ว่าสมบูรณ์หมดจด ย่อมไม่อาจที่จะนำไปใช้เพื่อที่จะนำไปทะลวงเพื่อเข้าสู่พลังยุทธ์ขั้นก่อฟ้าขอบเขตพลังเทวะได้ เจ้าสามารถที่จะทดลองเพื่อที่จะทำให้พลังเทวะนี้เกิดความลึกล้ำมากขึ้นไปอีกขั้นก่อน แล้วค่อยว่ากันถึงเรื่องอื่นกันอีกที” เสี่ยวหลุนก็ได้ปรากฏขึ้นมา กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

เยี่ยจงหลังจากที่เงียบงันแล้ว หลังจากนั้นก็ได้สูดลมหายใจเข้าเล็กน้อย ทอสีหน้าดูขึ้นมาส่วนหนึ่ง เป็นดั่งเช่นที่เสี่ยวหลุนว่ามาทั้งหมดก็มิปาน การทะลวงระดับพลังไม่อาจที่จะฝืนจนเกินไปได้ ในเมื่อขณะนี้ยังไม่มีวาสนาที่เพียงพอแล้วละก็ การเข้าถึงมรรคกระบี่เทวะต่อไป เพื่อที่จะทำให้มันหมดจดขึ้น คงจะเรียกได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

 

ต่อมา เยี่ยจงจะมีการคาดการณ์เอาไว้อย่างละเอียดมานับตั้งแต่แรก ภายในจิตใจก็ได้เริ่มที่จะเข้าถึงจุดริเริ่มของการเปลี่ยนแปลงของพลังเทวะออกมา ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้ใช้ออกมาด้วยเคล็ดกระบี่ แล้วก็ได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมาของเงากระบี่แต่ละสายที่ใจกลางฝ่ามือ

 

หลังจากนั้นสักพัก เยี่ยจงก็ได้ลุกขึ้นยืน แล้วก็ได้มาจนถึงบริเวณทางด้านหน้าของหุบเขาลูกหนึ่ง ชี้นิ้วออกไปทางด้านหน้าเล็กน้อยเบา แล้วก็ได้มีเสียงของกระบี่สายหนึ่งดังขึ้นมา แต่ว่ากลับมิได้มีการเปลี่ยนแปลงอื่นใด

 

หลังจากนั้นก็ได้ขมวดคิ้วขึ้น เยี่ยจงก็ได้ชี้ออกไปทางด้านหน้าอีกครั้ง ทว่าทั้งหมดยังคงเพียงแค่ตัดผ่าอากาศเป็นเส้นตรงอย่างเงียบงัน มิได้ทำให้หน้าผาเกิดริ้วรอยขึ้นมาเลย

 

“นี้เจ้าคิดที่จะทำอะไรกันแน่?” เสี่ยวหลุนปรากฏตัวขึ้นที่หัวไหล่ของเยี่ยจง ใช้น้ำเสียงที่แปลกใจกล่าวออกมา

 

เยี่ยจงส่ายหน้า กล่าวเสียงทุ่มต่ำ “ตัวข้าที่ริเริ่มการใช้มรรคกระบี่เทวะแม้ว่าจะมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่ากลับยังมีข้อบกพร่องอยู่ ด้วยพลังฝีมือและประสบการณ์ของข้าในขณะนี้ยังไม่อาจที่จะทำให้หมดจดสมบูรณ์ได้ แต่ว่าหากว่าทำให้มันกลายเป็นกระบี่ที่ไร้รูปไร้ลักษณ์ ก็คงพอที่จะสามารถปกคลุมข้อบกพร่องนี้ไปได้แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี”

 

กล่าวจบ จากนั้นเยี่ยจงก็ได้ใช้ออกมาอีกครั้ง ระหว่างนั้นก็ได้กรีดนิ้วออกไปติดต่อกันอีกครา พยายามที่จะทดสอบไม่หยุด

 

“เจ้าคิดที่จะคิดค้นกระบี่ไร้ลักษณ์งั้นหรือ?” เสี่ยวหลุนตกตะลึง และจากนั้นมันก็มิได้กล่าวอันใด เพราะว่ามันเองก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี นี้คือการคิดค้นพลังเทวะของเยี่ยจงเองทั้งหมด ย่อมไม่อาจที่จะมีผู้ใดสามารถที่จะใช้มันออกได้อย่างสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว นอกเสียจากว่าจะเป็นตัวของเขาเอง

 

ต่อจากนี้อีกหลายวัน เยี่ยจงก็ได้ทดสอบด้วยวิธีต่างๆ นาๆ กระบี่แล้วกระบี่เล่าก็ได้ถูกใช้ออกมาไม่หยุด แต่ว่าก็แทบจะไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลงไปได้ อีกทั้งต่อให้เป็นเช่นนี้ ในกระบี่ทุกสายที่ได้ใช้ออกมานี้ ยังคงทำให้เยี่ยจงต้องมาสูญเสียพลังปราณไปเป็นจำนวนมาก

 

“การแสดงพลังเทวะถึงแม้ว่าจะยากเย็น ครั้งที่แล้วหากมิใช่มีวาสนาที่เหมาะเจาะ เข้าใจสำนึกจากการต่อสู้แล้วละก็ เกรงว่าข้าตอนนี้เองก็ยังไม่อาจที่จะคิดค้นมรรคะนี้ได้” เยี่ยจงเกือบที่จะล้มลงกับพื้น สูดลมหายใจเข้าออกคำโต หากมิใช่ว่าเขานั้นมีจิตใจที่แน่วแน่แล้วละก็ หลายวันมานี้ก็คงจะล้มเลิกไปตั้งแต่แรกแล้ว

 

ต่อจากนี้ เยี่ยจงก็ได้ตั้งมั่นจิตขึ้นมาเพื่อใช้ออกมาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในเวลาเดียวกันก็ได้นำเอาคัมภีร์กฎแห่งสวรรค์เพื่อที่จะดูอย่างละเอียด เพื่อที่จะได้เสาะหาข้อบกพร่องออกมา เพื่อที่จะได้เติมเต็มพลังเทวะของตนเองให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

 

แล้วหลังจากนั้นก็ได้ผ่านพ้นไปอีกทั้งหมดเจ็ดวัน ในค่ำคืนของวันที่เจ็ด สีหน้าของเยี่ยจงก็ได้เปลี่ยนไปเล็กน้อยอย่างฉับพลัน เขาหันกายถอยไประยะหนึ่ง ในเวลาเดียวกันก็ได้ชี้นิ้วมุ่งหน้าออกไปยังบริเวณทางด้านหน้า

 

“ตูม——”

 

กระบี่ไร้ลักษณ์สายนี้ราวกับว่ามีพลังพวยพุ่งออกมา เพียงแต่ไร้กลิ่นไร้เสียง อีกทั้งยังไม่มีรูปลักษณ์ แต่ว่าเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว หน้าผาของภูเขาลูกหนึ่งที่ห่างออกไปก็ได้กลายเป็นเพียงฝุ่นผงไปในทันที สาบสูญจนไม่อาจที่จะเห็นได้อีก

 

“จะแสดงให้แก่เด็กน้อยผู้นี้ดูจริงอย่างงั้นหรือ!?” เสี่ยวหลุนอ้าปากตาค้าง แทบยากที่จะเชื่อออกมาได้

 

“กระบี่เทวะไร้สภาวะ” เยี่ยจงกล่าวกับตนเอง “เช่นนี้ จึงค่อยเหมือนกับเป็นพลังเทวะเสียหน่อย”

 

หลายวันต่อจากนี้ เยี่ยจงก็ยังคงทดสอบกระบี่เทวะไร้ลักษณ์ของตนเองต่อไป หากเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้ หากว่าสามารถที่จะใช้หนทางเช่นนี้ดำเนินต่อไปได้แล้วละก็ กระบี่ไร้ลักษณ์สายนี้ก็ย่อมที่จะต้องถูกเติมอยู่ในระดับที่เต็มที่ วันข้างหน้าย่อมจะต้องกลายเป็นวิชาที่ไร้คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังสามารถที่จะทลายหมื่นสรรพสิ่งได้อย่างไม่มีข้อยกเว้น

 

หลังจากนั้นสักพัก เยี่ยจงในที่สุดก็มิได้ใช้ออกมาอีก เพราะว่าเขาเข้าใจได้เป็นอย่างดี ด้วยขอบเขตของตนเองในขณะนี้ การที่จะใช้ออกมาด้วยพลังเทวะในระดับนี้ได้นั้นย่อมถือได้ว่ายากเย็นอย่างถึงที่สุด วันข้างหน้าย่อมอาจที่จะพบเห็นวาสนาทั้งหมดก็เป็นได้

 

ต่อมา เขาก็ได้ออกมาจากสถานที่เก็บตัว และเพียงแต่เริ่มต้นเสาะหาสถานที่ที่มีความเหมาะสมต่อการทะลวงพลังของตนเอง เพราะว่าหากว่ามีชนชั้นราชันเข้ามารบกวน ก็จะสามารถที่จะใช้กระบี่ไร้ลักษณ์เพื่อที่จะทำลายพลังเทวะภายในได้ นี้จึงถือได้ว่าเป็นระดับพลังที่สูงสุดของพลังฝีมือของเขาในตอนนี้แล้วก็ว่าได้

 

เมื่อได้มุ่งหน้าติดต่อกันเข้าไปจนถึงบริเวณส่วนลึกของสุสานชั้นที่สอง ไม่นานนัก เยี่ยจงก็ได้เดินขึ้นไปทางด้านหน้าอีกนับพันลี้ แต่ว่าตลอดรายทางมานี้ก็ยังคงไม่อาจที่จะเสาะหาสถานที่มีความเหมาะสมได้แต่อย่างไร นี้จึงได้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่หดหู่ขึ้นมาอย่างยิ่ง

 

ในที่สุด หลังจากที่ได้เสาะหาไปอีกราวสองร้อยลี้ เยี่ยจงก็ค่อยพบเห็นพื้นที่ที่เป็นดั่งป่าศิลาผืนหนึ่ง ใจกลางของป่าศิลานั้นได้มีทะเลสาบอยู่ สถานที่แห่งนี้ถือได้ว่ามีพลังปราณที่เข้มข้น จนทำให้เกิดสภาวะที่ไร้รูปร่างปกคลุมอยู่บริเวณทางด้านบน เห็นได้ชัดอย่างยิ่งว่าย่อมไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง

 

“เอ๊ะ ขณะนี้สมควรที่จะเป็นสถานที่ของท่านผู้อาวุโสใช้ไว้ฝึกตนก็เป็นได้”

 

เยี่ยจงก็ได้มองออกถึงความในข้อนี้ ทะเลสาบท่ามกลางป่าศิลานั้นนึกไม่ถึงจะมีการรวมตัวกันของพลังปราณเอาไว้อยู่ หากว่าฝึกปรือในขณะนี้แล้วละก็ เกรงว่าคงจะได้รับประโยชน์อยู่ไม่น้อย

 

และในบริเวณใจกลางทะเลสาบ ก็ได้ตั้งเอาไว้ด้วยศาลาโบราณอยู่หลังหนึ่ง ด้านในนั้นได้ตั้งเอาไว้ด้วยแท่นศิลาไว้ ทางด้านบนก็ได้มีริ้วรอยที่แตกแยกออกมาเป็นสาย เห็นได้ชัดได้มีผู้คนได้นั่งบำเพ็ญอยู่ในบริเวณทางด้านบนอยู่มาอย่างยาวนาน

 

บนใบหน้าของเยี่ยจงก็ได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา เขามีลางสังหรณ์ใจขึ้นมา หากว่าสามารถที่จะฝึกปรืออยู่ในสถานที่แห่งนี้แล้วละก็ เช่นนั้นเขาอย่างมากก็แค่ภายในสามวัน แน่นอนว่าย่อมต้องสามารถที่จะทะลวงได้จนสำเร็จ

 

เยี่ยจงก็ได้ร่อนกายลง มุ่งหน้าเดินเข้าไปยังบริเวณทางด้านหน้า ทว่าพึ่งจะเข้าไปยังใจกลางของป่าศิลา ก็พบเห็นว่าในบริเวณที่ไกลออกไปนั้นได้มีคนคุมเชิงกันอยู่ จนเกิดแรงสังหารปกคลุมอยาทั่วทั้งฟ้าดิน

 

“ข้าไม่ต้องการที่จะกล่าววาจาไร้สาระ ไสหัวออกมา มิเช่นนั้นแล้วละก็ก็อย่าได้โทษว่าข้าลงมืออย่างไร้เยื่อใย เปิดศึกสังหารขึ้นมา!” บริเวณทางด้านหน้า กงยี่จวินก็ได้ยืนกอดอกเอาไว้อยู่ ทอสีหน้าเย็นเยียบอย่างยิ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนกับผูที่มีพลังฝีมือในระดับสูงอยู่ชนิดหนึ่ง

 

ในอีกทางด้านหนึ่ง จงหลี่และอีกทางด้านหนึ่งก็ได้มีผู้เยาว์อายุสิบเจ็ดสิบแปดปียืนอยู่บริเวณทางด้านหน้าของเขา ทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมาหลายส่วน

 

“กงยี่จวิน เจ้าอย่าได้คิดว่าเจ้านั้นมีชื่อว่ามนุษย์มาร ทุกผู้คนก็จะเกรงกลัวเจ้าไปเสียหมดหรอกนะ” จงหลี่ก็ได้กล่าวขึ้นมาด้วยเสียงเย็นเยียบ ทอสีหน้าหดหู่ขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

 

“หากมิใช่เห็นแก่หน้าของมหาราชันซือคง พวกเจ้าตอนนี้ก็คงจะได้ตายไปแล้ว!” กงยี่จวินก็ได้ยืนกอดอกอยู่ มุ่งหน้าก้าวออกไปทางด้านหน้า ในความรู้สึกที่เปี่ยมไปได้ความเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งอยู่ชนิดหนึ่ง ในสายตาของเขา จงหลี่และผู้คนอีกทางด้านหนึ่งก็เป็นเหมือนเพียงแค่แมลงเท่านั้น

 

“มีอันใดให้เหิมเกริมกัน หลายวันก่อนมิใช่ถูกคนไล่ล่าจนถึงสุดล่าฟ้าเขียวอยู่หรอกหรือไงกัน? หากมิใช่ว่าเป็นเพราะผู้คุ้มกันลงมือ ก็คงไม่เหลือชิ้นดีไปตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้ยังมีเสแสร้งอันใดกันอีกเล่า!” ชายหนุ่มที่ด้านข้างจงหลี่ก็ได้ยกมุมปากขึ้นมา เห็นได้ชัดมิได้แยแสสนใจเลย

 

“ข้าให้เวลาแก่พวกเจ้าสามลมหายใจ หากว่าไม่ไสหัวไปอีก ก็อย่าได้โทษว่าข้านั้นไม่ให้โอกาสแก่พวกเจ้า จะโทษ ก็โทษได้แต่ว่าพวกเจ้านั้นมิใช่บุตรศักดิ์สิทธิ์สตรีศักดิ์สิทธิ์ ข้างกายเลยมิได้มีผู้คุ้มกันเอาไว้” กงยี่จวินก็ได้ทิสีหน้าเด็ดเดี่ยวขึ้นมาภายในพริบตานั้น เรื่องอย่างการถูกผู้คนกรีดเข้ามายังแผลเก่านั้น ได้ทำให้เขาแทบจะเกิดความต้องการที่จะฟาดคนที่เบื้องหน้าเหล่านี้ให้ตายคามือเลยก็ว่าได้

 

จงหลี่ภายในดวงตาก็ได้ปรากฏความเย็นชาขึ้น เขาไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรต่างก็ถือได้ว่าเป็นคนในสำนักของมหาราชันซือคงจะ ยังไม่เคยพบพานกับสายตาเฉกเช่นนี้มาก่อนเสียด้วยซ้ำ

 

ทันใดนั้น เขาก็ได้หัวเราะเสียงเย็นชาขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าจะถึงกับนับนิ้วเพื่อคำนวณขึ้นมา

 

หลังจากที่ได้คำนวณแล้ว จงหลี่ก็ค่อยได้เงยหน้าขึ้นมา กล่าวออกมาอย่างเย็นชา: “กงยี่จวิน เจ้าขณะนี้ถ้ายังไม่ไปอีกแล้วละก็ ก็คงจะจากไปไม่ได้แล้ว เพราะว่าข้าถือได้ว่าแน่ใจได้ว่า เจ้านั้นมิได้มีวาสนากับสถานที่แห่งนี้”

 

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นท่านบัญชาสวรรค์หรือไงกัน? เสแสร้งทำผีสางอันใด ในเมื่อคิดที่จะตาย ก็จะส่งเจ้าไปประตูนรกก็แล้วกัน!” กงยี่จวินหัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นเยียบ ตระเตรียมพร้อมที่จะลงมือ

 

บริเวณทางด้านหลัง เยี่ยจงก็ได้ค่อยๆ ที่จะก้าวเดินออกมา ขณะนี้เขาก็มิได้กล่าววาจาไร้สาระออกมามากมาย เพียงแต่ง้างธนูเทวะโห้วอี่ขึ้นมาทันที วินาทีนั้นประกายมังกรสายหนึ่งก็ได้ทะลุทะลวงออกไป

 

กงยี่จวินทันใดนั้นก็ได้หน้าเปลี่ยนสี เขาหันกลับไปอย่างรุนแรง พริบตานั้นสีหน้าก็ได้เปลี่ยนจนกลายเป็นปั้นยากขึ้นมาจนถึงขีดสุด ก่อนหน้านี้เขาได้พลาดท่าครั้งใหญ่ภายใต้น้ำมือของเยี่ยจง หลายวันมานี้จึงไม่ง่ายเลยที่จะฟื้นฟูพลังกลับคืนมาได้ ขณะนี้พึ่งจะออกมาเหิมเกริมได้สักครู่ กลับต้องมาพบเจอกับเยี่ยจงอีก แทบจะทำให้เขาเกิดความอัดอั้นขึ้นมาจนแทบจะกระอักโลหิตออกมา

 

หากกล่าวกันตามเรื่องพลังฝีมือแล้ว เขาแน่นอนว่าย่อมสามารถที่จะสยบเยี่ยจงเอาไว้ได้ แต่ว่าขณะนี้เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับธนูเทวะโห้วอี่ที่เยี่ยจงถือเอาไว้ เขากลับมีแต่เพียงถอยเท่านั้น

 

“กงยี่จวิน ข้าจะให้เจ้าภายในสามลมหายใจ เจ้าหากว่ายังไม่ไสหัวไป ก็อย่าได้โทษว่าข้านั้นไม่ให้โอกาสแก่เจ้า เจ้าแม้ว่าจะมีผู้คุ้มกัน แต่ว่าก็เป็นเพียงแค่ชนชั้นราชันพลังเทวะขั้นที่ห้า ข้ากลับไม่จำเป็นที่จะเห็นอยู่ในสายตา” เยี่ยจงเอ่ยขึ้นมาอย่างเมินเฉย เขานั้นถือได้ว่าเกิดความจงเกลียดจงชังต่อกงยี่จวินเป็นอย่างยิ่ง หากมิใช่สถานที่แห่งนี้เหมาะสมแก่การฝึกปรือแล้วละก็ เขาก็คิดที่จะจัดการฆ่าสังหารกงยี่จวินก่อนอย่างไม่ไยดีแล้วค่อยว่ากันถึงเรื่องอื่นทีหลัง

 

“อา——”

 

กงยี่จวินราวกับว่าเกิดความบ้าคลั่งขึ้นมา เมื่อต้องมาพบเจอกับศัตรูที่แพ้ทางด้วยเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้เขาเกิดความอัดอั้นมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม ขณะนี้เขาก็ได้อ้าปากกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง วินาทีนั้นก็ได้กลายเป็นระฆังยักษ์สายหนึ่ง เข้าจู่โจมประกายมังกรของเยี่ยจงจนกระเด็นออกไป

 

ขณะนี้ เขาก็ได้จ้องมองเข้าไปที่เยี่ยจงอย่างเย็นชา ทอสีหน้าไม่หวั่นไหวเปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดเขาก็ตัดสินใจได้ว่าขุมพลังของตนเองในขณะนี้ต่อให้ลงมือจนได้รับชัยชนะก็ตาม

 

“ไม่อยากไปแล้วอย่างงั้นหรือ? หรือว่า เมื่อมีคนคอยคุ้มกันอยู่ข้างกายแล้ว ต่อให้ทุบตีเจ้าก็คงจะไม่ตายอย่างงั้นหรือยังไงกัน?” เยี่ยจงก็ได้เอ่ยวาจาเย้ยหยันขึ้นมา ในเวลาเดียวกันก็ได้ง้างสายธนูออก แล้วก็ได้มีประกายมังกรอีกสายพวยพุ่ง

 

“ครืน——”

 

ระฆังยักษ์ก็ได้สั่นไหวขึ้นมาอยู่ท่ามกลางอากาศอีกครั้ง ต้านทานการจู่โจมของเยี่ยจงไว้อีกครั้งหนึ่ง และสีหน้าของกงยี่จวินนั้นก็ได้ปั้นยากขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะว่าเขากลับสามารถที่จะสัมผัสขึ้นมาได้อย่างชัดเจน ว่าพลังฝีมือของเยี่ยจงแม้ว่าจะยังมิได้เปลี่ยนไป แต่ว่าคมศรดอกนั้นกลับมีความหนักหน่วงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก จนทำให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาจนถึงขีดสุด

 

“เจ้าที่แท้เป็นผู้ใดกัน!” กงยี่จวินขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เอ่ยขึ้นมาอย่างเย็นชา

 

“เจ้าต้องการที่จะทราบว่าข้านั้นเป็นผู้ใดจริงอย่างงั้นหรือ? หากว่าทราบว่าข้าเป็นผู้ใดแล้วละก็ เจ้าวันนี้จะต้องหลบหนีไม่รอดอย่างแน่นอนแล้ว!” เยี่ยจงมิได้ลงมือต่อ เพียงแต่เอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีที่เมินเฉย

 

กงยี่จวินอัดอั้นจนแทบกระอักโลหิตออกมา ขณะนี้เขาก็พอที่จะคาดเดาได้ว่าแล้ว อีกฝ่ายนั้นย่อมต้องมีที่มาที่ไปที่ไม่น้อยหน้า ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เขาถูกทุบตีและกดดันจากผู้คนจนถึงขั้นนี้ อีกทั้งยังไม่อาจที่จะทราบถึงสถานะของอีกฝ่ายอีก นี้แทบจะทำให้เขาแทบเกิดความรู้สึกที่จะใช้หัวพุ่งเข้าชนกำแพงตาย

 

ทว่ากระนั้นเขาก็มิใช่บุคคลธรรมดาสามัญ จ้องมองไปอย่างเย็นชาไปยังทางด้านหลังของเยี่ยจง ไม่กล่าวออกมาแม้สักคำ แล้วก็ได้หันกายทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นได้ชัด เขาไม่คิดที่จะทำให้เกิดเรื่องขึ้นมาอีกครั้ง จนต้องมาถูกเยี่ยจงไล่ล่าสังหารจนไม่อาจที่จะมีหนทางเข้าออกไปได้อีก

 

“กงยี่จวิน เจ้ามิใช่ที่สุดแห่งแดนหนานฮวงหรอกหรือ? เหตุใดตอนนี้ถึงคิดที่จะหนีไปอย่างรวดเร็วเช่นนั้นกัน?” จงหลี่ก็ได้เอ่ยปากขึ้นมาเสียงดัง จนเสียงดังออกมาไปทั่ว

 

“กงยี่จวิน เจ้าเมื่อครู่มิใช่คิดที่จะสังหารพวกเราอย่างงั้นหรือ? เหตุใดถึงได้หลบหนีไปได้เร็วถึงเพียงนี้กัน อย่าหนีไปสิ!” เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายจงหลี่ก็ได้หัวเราแล้วเอ่ยขึ้นมา ด้วยอาการเย้ยหยัน

 

“พวกเจ้ารอไปก่อนเถอะ ข้าจะช้าจะเร็วก็จะต้องกลับมาเพื่อฆ่าคนผู้นี้อย่างแน่นอน!” กงยี่จวินคำรามก้อง อัดอั้นจนแทบจะอดไม่ได้ที่จะกระอักโลหิตออกมา

 

“เจ้าคิดจรองหรือว่าข้าจะไม่กล้าที่จะไล่ล่าเจ้าอีกครั้งกันงั้นหรือ?” เยี่ยจงหัวเราะเสียงเย็นชา เมื่อถูกกงยี่จวินท้าทายเข้ามาอีกครั้ง เขาก็ได้ตัดสินใจขึ้นมาได้ ว่าสังหารเขาในสถานที่แห่งนี้เสียจะดีกว่า

.

.

.

.

กลุ่ม / 100บาทครับ

กลุ่มละ 80ตอน
โปรโมชั่น กลุ่ม 6-13 ราคา 600
VIP5 https://goo.gl/ekcF7V
VIP6 https://goo.gl/4rqw89
VIP7 https://goo.gl/qrQ7GA
VIP8 https://goo.gl/Uzqf2x
VIP9 https://goo.gl/1jPZtn
VIP10 https://goo.gl/L8awva
VIP11 https://goo.gl/rojEiG
VIP12 https://bit.ly/2lRgnUn
VIP13 https://bit.ly/2mkmj8y
ช่องทางการโอนเงิน https://goo.gl/MnYB81
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
INBOX m.me/ZuiQiangWuShen
#####Fanpage#####
https://www.facebook.com/ZuiQiangWuShen/

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ

天帝路 (Tiāndì Lù) : lit. Heavenly Emperor Road, 星空下无敌 (Xīngkōng Xià Wúdí) : lit. Invincible Under the Starry Heavens, 最强武神 (Zuìqiáng Wǔshén)
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2008 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Strongest Martial God เทพยุทธสะท้านภพ หลังจากที่เยี่ยจงนั้นได้ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้เปลี่ยนไป กำลังภายในของเขานั้นได้หายไป อาจารย์คนสวยก็ไม่อยู่ ในตอนนี้เขาเป็นเพียงขยะของตระกูลเยี่ย ถูกเปลี่ยนตัวคู่หมั่นหมาย เป็นคนพิการไม่สามารถที่จะฝึกวิชาได้ อีกทั้งยังมีหลายคนที่กำลังหมายหัวเอาชีวิตเขาอยู่ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าลิขิต มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ใช้มือของตนไคว่คว้าเอาไว้ เปลี่ยนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า

Comment

Options

not work with dark mode
Reset