เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 111 หรานหร่านแสดงอำนาจ

เดิมทีหนิงฉิงคิดว่าเธอพูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว ฉินหร่านจะต้องไปอย่างแน่นอน

 

 

เธอสงสัยว่าตัวเองจะได้ยินผิด ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองฉินหร่าน “เธอว่าไงนะ”

 

 

ฉินหร่านขยับเก้าอี้ไปด้านหลัง ทานแอปเปิลเสร็จก็โยนไม้จิ้มฟันลงถังขยะแล้วพูดซ้ำ “ฉันไม่ไป”

 

 

มู่หยิงได้ยินคำตอบของฉินหร่านก็เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าจะยังมีคนปฏิเสธเรื่องแบบนี้

 

 

เธออดไม่ได้ที่จะมองไปที่ฉินหร่านแล้วพูดขึ้น “พี่คะ คิดดี ๆ นะ”

 

 

“พลาดโอกาสนี้ไปก็ไม่มีแล้วนะ ตระกูลเฟิงเป็นของจิงเฉิง ทำไมเธอถึงไม่ไป” หนิงฉิงกังวล อดไม่ได้ที่จะขึ้นเสียง “เธอจะสามารถหาที่ที่ดีกว่าได้อีกไหม”

 

 

“แม่ แม่ดุเธอสิ!” หนิงฉิงรู้ว่าฉินหร่านไม่ฟังคำพูดของเธอ จึงหันศีรษะไปหาเฉินซูหลาน 

 

 

ฉินหร่านไม่ได้สนใจหนิงฉิง เธอตบ ๆ แขนเสื้อแล้วลุกขึ้นยืน มองไปทางเฉินซูหลาน “คุณยาย หนูกลับโรงเรียนก่อนนะคะ” 

 

 

เฉินซูหลานกำชับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “กลับไปเถอะ กลับดี ๆ ละ”

 

 

ฉินหร่านหยิบหมวกแก๊ปตัวเองมาใส่แล้วค่อย ๆ เปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเดินออกไป

 

 

หนิงฉิงไม่กล้าตามไป

 

 

เพียงแค่มองไปที่เฉินซูหลานอย่างเหลือเชื่อ “แม่ ทำไมแม่ไม่ว่าเธอ แล้วยังปล่อยเธอไปแบบนี้อีก?”

 

 

ฉินหร่านฟังแค่คำพูดของเฉินซูหลาน ถ้าเฉินซูหลานให้เธอไป เธอก็ไป

 

 

“เธอไม่อยากไป” เฉินซูหลานเอ่ยเบา ๆ

 

 

“มันไม่ใช่เรื่องที่เธออยากไปหรือไม่อยาก แม่รู้ไหมว่าเธอทิ้งโอกาสแบบไหนไป” หนิงฉิงเม้มปาก “ต่อไปอย่ามาพูดแล้วกันว่าเธอสอบไม่ติดมหาวิทยาลัย ถึงจะสอบติดก็ไปทำงานใหญ่ ๆ แบบนี้ไม่ได้แน่ ๆ”

 

 

เธอรู้อยู่แล้วว่าเฉินซูหลานรักฉินหร่านมาก อาจพูดได้ว่าสาเหตุหนึ่งที่ฉินหร่านเป็นแบบนี้เพราะเฉินซูหลานตามใจ

 

 

แต่เธอคิดไม่ถึงว่า เฉินซูหลานจะตามใจฉินหร่านถึงเพียงนี้

 

 

เฉินซูหลานกระแอมไอเบา ๆ พักนี้เธอไม่ค่อยมีชีวิตชีวา ป่วยออด ๆ แอด ๆ มาตลอด จะพูดก็ไม่มีแรง “ตกอกตกใจอะไร ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย” 

 

 

ปีนั้นที่จิงเฉิงครูเทียวไปเทียวมาอยู่สามครั้งก็พูดให้ฉินหร่านไปเรียนไวโอลินที่ปักกิ่งไม่ได้ นับประสาอะไรกับครั้งนี้ 

 

 

น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา แต่หนิงฉิงได้ยินชัดเจน

 

 

เธอระงับอารมณ์ไว้ “แม่ หมายความว่ายังไงที่ไม่ต้องตกอกตกใจ……”

 

 

หนิงเวยเห็นว่าทั้งสองคนจะทะเลาะกันเรื่องของฉินหร่าน จึงรีบดึงหนิงฉิงออกไปทันที “พอแล้วพี่ ไม่ต้องพูดแล้ว”

 

 

เธอหยิบกระเป๋าของหนิงฉิงพร้อมกับดันหนิงฉิงให้ออกไปจากห้องพักผู้ป่วย

 

 

รอให้หนิงฉิงไป มู่หยิงยืนอยู่ข้าง ๆ หนิงเวยก็พูดขึ้น “แม่ แม่ว่าทำไมพี่เขาถึงไม่ไปเหรอ โอกาสดีขนาดนี้……”

 

 

ถ้าเป็นเธอ เธอจะไม่ทิ้งโอกาสนี้อย่างแน่นอน

 

 

มู่หนานมองเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทำไมเธอสนใจขนาดนี้ล่ะ”

 

 

พูดจบก็เดินตรงไปที่ลิฟต์โดยไม่รอคำตอบของมู่หยิง

 

 

**

 

 

ทางด้านนี้ หนิงฉิงกลับถึงบ้าน

 

 

เพราะอยากไปหาหลินหว่านที่จิงเฉิง คนในตระกูลหลินต่างรู้ว่าฉินอวี่อยากไหว้คนหลักคนโต มีคนไม่น้อยเลยที่มาดูฉินอวี่วันนี้

 

 

รอให้คนเหล่านั้นไปจนหมดก็มืดค่ำแล้ว

 

 

“วันนี้คุณไปโรงพยาบาล เจอหรานหร่านบ้างไหม” หลินฉีถามหนิงฉิง

 

 

คุณท่านหลินสนใจเรื่องนี้ หลินฉีจึงเอ่ยถาม

 

 

หลินจิ่นเซวียนวางตะเกียบลงแล้วมองไปที่หนิงฉิง

 

 

ฉินอวี่นั่งอยู่อีกฝั่งได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น กำตะเกียบไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว ระงับความเกลียดในใจเอาไว้

 

 

ท่าทีของตระกูลหลินที่มีต่อฉินหร่านพักนี้ทำให้หนิงฉิงรู้สึกถึงวิกฤต

 

 

พูดถึงเรื่องนี้ หนิงฉิงก็หงุดหงิดเล็กน้อย เธอส่ายศีรษะพลางพูดด้วยน้ำเสียเหนื่อยหน่าย “ฉันบอกไปแล้วค่ะ หรานหร่านเธอไม่เห็นด้วย”

 

 

มือของหลินฉีหยุดชะงัก เขามองไปที่หนิงฉิง “ไม่เห็นด้วย? ทำไมล่ะ ไม่มีตำแหน่งเหลือแล้ว? ”

 

 

“ไม่ทราบค่ะ นิสัยของเธอฉันรู้ดี” หนิงฉิงวางตะเกียบลง “เธอบอกว่าไม่ไป ไม่ไปเด็ดขาด แม่ฉันก็ไม่เกลี้ยกล่อมเธอ”

 

 

เดิมทีฉินอวี่ว้าวุ่น ได้ยินหนิงฉิงพูดแบบนี้แล้วอยู่ ๆ ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา

 

 

เมื่อก้มหน้าทานข้าว รอยยิ้มบนริมฝีปากปรากฏขึ้นอย่างปกปิดไม่มิด

 

 

ขอแค่ฉินหร่านไม่ไปตระกูลเฟิงก็พอแล้ว

 

 

หลินฉียังต้องรายงานให้คุณท่านหลินทราบ ทานข้าวเสร็จ เขาก็หยิบโทรศัพท์ไปที่ห้องสมุดเพื่อรายงานคุณท่านหลิน

 

 

“ยายของเธอน่ะเป็นสาวบ้านนอก” คุณท่านหลินเองก็ตกใจเช่นกัน เขาเงียบไปพักหนึ่ง มีความหมายว่าเฉินซูหรานมองการณ์ไม่ไกล

 

 

“คุณสามารถไปเกลี้ยกล่อมเธอได้” เงียบไปสักพัก คุณท่านหลินจึงพูดขึ้นมาอีก “ฉินหร่านนั่นน่ะ ยอมรับอีกครั้งได้”

 

 

ได้ยินคุณท่านหลินพูดแบบนี้ หลินฉีไม่ได้พูดออกมาในทันที

 

 

ครั้งที่แล้วเป็นเพราะเรื่องของฉินอวี่ เขาเลือกข้างฉินอวี่อย่างชัดเจน เรื่องนี้เขาไม่ได้บอกใคร คุณท่านหลินกับหลินจิ่นเซวียนไม่รู้เรื่องนี้

 

 

ตามนิสัยของฉินหร่าน เธอจะไม่มีที่ตระกูลหลิน

 

 

หลินฉีถอนหายใจ ยังไม่ได้เล่ารายละเอียดให้คุณท่านหลินทราบ “พ่อ เรื่องนี้ผมรู้อยู่แก่ใจดี”

 

 

**

 

 

วันจันทร์อีกครั้ง

 

 

เข้าสู่สัปดาห์ของการสอบ บรรยากาศภายในโรงเรียนตึงเครียดจริงจังมากขึ้นกว่าเดิม ครูทุกวิชาก็เข้มงวดมาก 

 

 

หลังเลิกเรียน นักเรียนบางกลุ่มของห้องเก้าเริ่มทบทวนบทเรียนโดยไม่คุยเล่นกัน

 

 

วิชาสุดท้ายใกล้จะเลิกแล้ว หลินซือหรานส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านยังคงอ่านกวีเล่มนั้นที่เฉิงมู่เคยบ่น หันมาหยิบกระดาษขึ้นเปิดอ่าน เป็นตัวหนังสือของเฉียวเซิง ‘ตอนบ่ายไปกินข้าวที่โรงอาหารไหม’

 

 

เธอครุ่นคิด มือขวาหยิบปากกาขึ้นมา ตอนที่ก้มศีรษะเขียนก็พบว่ามันไม่ถูก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นมือซ้ายแล้วเขียนลงไปทีละเส้น “ไป”

 

 

เมื่อเลิกเรียน เฉียวเซิงรอไปกินข้าวกับฉินหร่านที่ประตูหลัง

 

 

ตอนที่อยู่ที่โรงอาหาร บังเอิญเจอกับเว่ยจื่อหังที่ใบหน้าให้ความรู้สึกอย่างกับอันธพาลโรงเรียน เขาเอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋า รอบข้างไม่มีใครอยู่ในระยะหนึ่งเมตร

 

 

เฉียวเซิงค่อนข้างคุ้นเคย เขารู้ว่าเว่ยจื่อหังรู้จักกับฉินหร่าน กระตือรือร้นมาก แสดงถึงความอยากคลี่คลายปัญหาให้จบลง “เว่ยจื่อหัง มานั่งด้วยกันสิ”

 

 

เว่ยจื่อหังยังคงสวมชุดกีฬา มองเฉียวเซิงพลางยิ้มมุมปาก “อืม”

 

 

ก็พูดรวบรัดดี

 

 

เฉียวเซิงเลิกคิ้วขึ้น ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนเขาคงมีเรื่องกับเว่ยจื่อหังสักยกแล้ว แต่ว่าตอนนี้คิดดูแล้วนั่นเป็นเพื่อนของฉินหร่าน เขาอดกลั้นเอาไว้

 

 

คนกลุ่มหนึ่งสั่งข้าวเสร็จแล้วมานั่งด้วยกัน

 

 

มันเป็นเรื่องยากที่หัวโจกทั้งสี่คนที่เลื่องชื่อของอีจงจะมาอยู่รวมกัน ทำให้โรงอาหารฮือฮาไม่ใช่น้อย

 

 

เฉียวเซิงมักจะเล่นบาสที่สนามบาสบ่อย ๆ นักเรียนอีจงเห็นกันเยอะ แต่อีกสามคนส่วนใหญ่คนมักจะพบได้แค่บนเวทีสุนทรพจน์เท่านั้น 

 

 

สวี่เหยากวงไม่ค่อยทานอาหารที่โรงอาหาร โดยปกติมีเพียงนักเรียนที่พักอยู่หอโรงเรียนที่มีกิจวัตรเหมือนกัน เมื่อก่อนยังไปดูฉินอวี่สีไวโอลินได้ ตอนนี้ฉินอวี่ลา เวลาที่พบเขาที่ตึกศิลปะจึงน้อยมาก

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเว่ยจื่อหัง หลังจากที่มาที่อีจงก็ลาไปสองครั้งใหญ่ ๆ ติดต่อกัน หลังจากลาก็มาเรียน เพราะเป็นนักกีฬา เก็บตัวเงียบไม่ค่อยพบใคร คนอื่น ๆ ก็เจอตัวได้ยาก

 

 

ส่วนฉินหร่าน ถ้าไม่เจอที่ห้องพยาบาลก็ร้านชานม โดยปกติจะเลิกเรียนช้ากว่าคนอื่น เพราะตำแหน่งดาวประจำโรงเรียน ทำให้คนไม่น้อยมาที่ห้องเก้าเพื่อเจอเธอ แต่มักจะมาดูแค่แวบเดียวก็ไป แค่หนังสือหนึ่งกอง เธออยู่หลังหนังสือนั่น โดยปกติก็มองไม่เห็นใบหน้าของเธอหรอก 

 

 

สายตาของนักเรียนในโรงอาหารล้วนมองมาทางนี้

 

 

เห็นได้ชัดว่าทั้งสี่คนคุ้นเคยกับการถูกสายตาจ้องมองแบบนี้ เลยค่อนข้างใจเย็น

 

 

หลินซือหรานนั่งข้างฉินหร่าน เอาแต่ตัวสั่น

 

 

โรงอาหารเสียงดังมาก เว่ยจื่อหังวางถ้วยลงบนโต๊ะ ตอนที่นั่งลงเขาตั้งใจมองไปที่ฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านก้มศีรษะหยิบตะเกียบ สีหน้าเรียบเฉยไม่ได้หงุดหงิดเหมือนเมื่อก่อน

 

 

เว่ยจื่อหังเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

 

 

เขาไม่คาดคิด

 

 

“ฉันนึกว่าเธอมากินข้าวที่โรงอาหารไม่ได้ซะแล้ว” เขาหยิบตะเกียบ หัวเราะเบา ๆ

 

 

ฉินหร่านส่งเสียงอืม “ช่วงนี้พอได้”

 

 

“มือเธอเป็นอย่างไรบ้าง” เขาเหลือบมองไปที่มือขวาของเธอ 

 

 

ฉินหร่านถือตะเกียบด้วยมือซ้าย แบมือขวาให้เขาดู เหลือเพียงรอยสีชมพูจาง ๆ 

 

 

“ดีขึ้นเร็วนี่” เว่ยจื่อหังถอนหายใจ “ไม่มีผลกระทบตามมานะ”

 

 

เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ ๆ หูของเธอและถามเสียงเบา

 

 

ฉินหร่านส่ายหน้าแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เฉียวเซิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามหยิบตะเกียบมาเคาะโต๊ะ “สองคนนั้นน่ะ กระซิบกระซาบอะไรกัน” 

 

 

เว่ยจื่อหังเงยหน้ามองเขา ไม่ได้ตอบกลับ

 

 

เฉียวเซิงส่งเสียง หึ ออกมา เขาทานมันฝรั่งทอด หยิบโคล่าที่อยู่ข้างมือยกไปทางเว่ยจื่อหัง “เว่ยจื่อหัง พวกเราเลิกแล้วต่อกันดีไหม”

 

 

พูดถึงก่อนหน้านี้ที่เว่ยจื่อหังว่าฉินอวี่ว่าสีไวโอลินไม่เพราะ และมีเรื่องกับเฉียวเซิง

 

 

เว่ยจื่อหังหยุดไปสองวิ จึงจะหยิบขวดน้ำแร่ที่อยู่ข้างมืออย่างไม่รีบร้อน

 

 

เฉียวเซิงไม่ได้ถือสามากนัก

 

 

ทานไปสองคำ ก็หยิบตะเกียบพลางถามเว่ยจื่อหัง “นี่ ก่อนหน้านี้ทำไมไม่จัดการแก้แค้นฉินอวี่ให้พี่หร่านของนายล่ะ ”

 

 

“เปล่า ก่อนหน้านี้ฉันไม่รู้ว่าเป็นเธอ” เว่ยจื่อหังตอบกลับ  

 

 

“แล้วทำไมอยู่ ๆ ถึงได้บอกว่าฉินอวี่เล่นไวโอลินไม่เพราะ” เฉียวเซิงท้าวมือไว้กับโต๊ะ นึกสงสัย

 

 

ตัดเรื่องนิสัยของเธอออกไป เธอก็เล่นไวโอลินได้ดีจริง ๆ

 

 

สวี่เหยากวงที่นั่งทานข้าวเงียบ ๆ พอฟังถึงตรงนี้ก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามอง 

 

 

เว่ยจื่อหังมองเขา “ฉันไม่ได้โกหก ก็เธอสีไม่เพราะจริง ๆ ฉันเคยฟังที่เพราะกว่าเธอร้อยเท่ามาแล้ว”

 

 

ใครจะรู้ว่าที่พูดเป็นความจริง เฉียวเซิงก็ดูอยากจะหาเรื่องเขา

 

 

เฉียวเซิงเงียบไปสักพัก คิดว่าเว่ยจื่อหังพูดแบบขอไปที เขาพูดอย่างเย้ยหยันว่า “แล้วที่นายไปได้ยินมานี่ไวโอลินของเทพอะไรล่ะ” 

 

 

มีเพียงสวี่เหยากวงเท่านั้นที่เงยหน้ามองไปที่เว่ยจื่อหัง

 

 

**

 

 

วันอังคารท้องฟ้ามืดครึ้ม มีฝนตกปรอย ๆ

 

 

หนิงฉิงที่กำลังทาเล็บอยู่ที่บ้านหลินอยู่ ๆ ก็ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาล

 

 

“คุณว่าไงนะ แม่ฉันเป็นอะไร” น้ำยาทาเล็บที่อยู่ในมือถูกเขวี้ยงกระเด็น หลังจากรับโทรศัพท์เสร็จก็รีบเร่งให้คนขับรถขับรถไปโรงพยาบาล

 

 

หลินฉีรู้เรื่องสถานการณ์ตอนนี้ของเฉินซูหลานจากป้าจาง เขายุ่งจนตัวเป็นเกลียว เลยให้หลินจิ่นอวี้มาดูสถานการณ์โดยรวมก่อน

 

 

เมื่อหนิงฉิงมาถึงโรงพยาบาล มีหมอหลายคนอยู่นอกห้องพักผู้ป่วยของเฉินซูหลาน

 

 

หลินจิ่นอวี้กำลังคุยกับหมอเจ้าของไข้ของเฉินซูหลานอยู่

 

 

“คุณรู้ว่าสิ่งที่คุณเฉินต้องใชอยู่ในระหว่างการทดสอบ cns ที่ไม่ได้ถูกใช้ในตลาด” หมอเจ้าของไข้อธิบายกับหลินจื่นอวี้ “แต่ว่าตั้งแต่เมื่อวานโรงพยาบาลของเราไม่มี…cns พวกเรากำลังคุยถึงสิ่งที่จะเอามาใช้กับคุณเฉินทดแทน แต่ก่อนหน้านี้ร่างกายของเธอได้รับการฉายมามากแล้ว ยาส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยไม่ผลกับเธอ แม้แต่cnsเธอก็ใช้ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ  ”

 

 

“แล้ว แล้วจะทำอย่างไรดี” หนิงฉิงยืนอยู่ข้าง ๆ หลินจิ่งอวี้ตื่นตระหนกแล้ว

 

 

“คุณหนูฉินไม่ได้มาเหรอครับ” หมอเจ้าของไข้ไม่พบฉินหร่านตรงทางเดินจึงอดไม่ได้ที่จะถาม

 

 

หนิงฉิงยังไม่ได้สติกลับมา “คุณพูดถึงใครนะคะ”

 

 

“คุณหนูฉินครับ” หมอเจ้าของไข้นึกถึงฉินหร่านขึ้นมา

 

 

“เธอยังเรียนอยู่ที่โรงเรียน สถานการณ์แบบนี้ตามเธอมาก็ไม่มีประโยชน์ ยังจะทำให้เธอไม่มีสมาธิอีก” หนิงฉิงสับสนเล็กน้อย แต่ก็ยังส่ายศีรษะ “คุณให้เธอมาก็ไม่มีประโยชน์หรอก”

 

 

หลินจิ่นอวี้เดินไปอีกทางเพื่อโทรศัพท์หาเพื่อนของตัวเอง

 

 

cnsมาจากห้องทดลองของจิงเฉิง มีขายข้างนอกเพียงไม่กี่ร้าน

 

 

แต่ที่จิงเฉิงกับคนบางกลุ่มกลับไม่ใช่ปัญหา

 

 

หมอเจ้าของไข้ไม่ได้พูดอะไรพลางครุ่นคิด เขาไปที่ห้องทำงานเพื่อโทรหาฉินหร่าน 

 

 

เครือข่ายของหลินจิ่นอวี้กว้างขวาง

 

 

เขาหาคนได้ก่อน ยาก็สามารถรับได้ แต่เมื่อผ่านขั้นตอนต่าง ๆ กว่าจะได้ก็สามวันให้หลังแล้ว

 

 

หมอเจ้าของไข้โทรศัพท์เสร็จแล้วจึงกลับมา แจ้งผลอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ผมเคยบอกกับพวกคุณแล้วว่าร่างกายของคุณเฉินได้รับการฉายแสงมาหลากหลายวิธี อ่อนแรงเต็มที ต้องเพิ่งยา เมื่อวานcnsไม่มีแล้ว คืนนี้ก็หาไม่ได้” 

 

 

เขาไม่ได้พูดต่อ แต่ความหมายก็ชัดเจน

 

 

เฉินซูหลานถูกส่งไปยังห้องดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินปลอดเชื้อ

 

 

หนิงฉิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านนอกห้องปลอดเชื้อ ศีรษะของเธอห้อยลง

 

 

ไม่นานหนิงเวยก็วางของในมือแล้วเดินมา ก็เห็นหนิงฉิงนั่งอยู่ด้านนอก

 

 

“พี่” หนิงเวยรู้สึกเหมือนมีก้อนจุกอยู่ที่คอ “แม่เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

หนิงฉิงไม่ได้พูด เพียงแค่มองเธอแล้วนั่งนิ่ง ๆ เหมือนเดิม

 

 

หลินจิ่นเซวียนกำลังรอให้หลินฉีมา 

 

 

เห็นหนิงฉิงกับหนิงเวยเป็นแบบนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา และตามหมอเจ้าของไข้ “มียาที่สามารถอยู่ได้สามวันไหม เพื่อนของผมทำcnsได้ช้าสุดก็สามวัน”

 

 

หมอเจ้าของไข้ส่ายหน้า “ร่างกายของเธอดื้อยา ไม่มียามาแทนได้ครับ” 

 

 

หลินจื่นเซวียนอยากจะพูดอะไรอีก

 

 

ในเวลานี้ มีความรู้สึกบางอย่างจึงมองไปที่ลิฟต์

 

 

ทางด้านนั้นร่างบางร่างหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้ ผมตรงหน้าผากมีหยดน้ำฝน และเกาะอยู่ที่คิ้ว 

 

 

เห็นได้ชัดว่าเธอมาอย่างรีบร้อน ร่มก็ไม่ได้เอามา เสื้อตัวนอกเปียกโชกไปด้วยน้ำฝน 

 

 

เดินมาด้านหน้าหมอเจ้าของไข้ ฉินหร่านเช็ดหน้าเช็ดตา “ยังขาดอะไรอีกเหรอคะ”

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset