เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 134 บัตรในสนาม โซน A แถว 5 ที่นั่ง 8

เกาหยางมีเบอร์โทรศัพท์ของฉินหร่าน เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยโทร.หาฉินหร่านเลย

 

 

เขาไปถามเรื่องราวจากพวกเฉียวเซิงกับหลินซือหรานมาก่อนแล้ว

 

 

ตอนนี้เมื่อได้ฟังคำพูดของหลินฉี ก็พยักหน้า

 

 

แต่ก็ไม่พูดอะไร ล้วงมือถือออกมาต่อสายหาฉินหร่านทันที

 

 

ฉินหร่านที่รับสายกลับมาถึงห้องพยาบาลแล้ว เฉิงมู่กำลังหิ้วข้าวสองกล่องกับถุงพลาสติกถุงหนึ่งเข้ามา

 

 

“อาจารย์เกา” ฉินหร่านใส่หูฟัง ไม่ออกไปข้างนอก ฝึกคัดลายมือช้าๆ พลางเอ่ยปากพูด

 

 

“มีเรื่องทะเลาะกับคนอื่นตอนกลางวันเหรอ” เสียงของเกาหยางนุ่มนวล ฟังไม่ออกว่ามีความโมโห

 

 

ฉินหร่านตอบ ‘อืม’ แล้วคัดลายมือต่อ ตัวหนังสือที่ขีดไปขีดมาด้วยมือซ้ายเมื่อก่อน ดูเหมือนว่าวันนี้ลายเส้นดูคมสวยขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

ทำเอาลู่จ้าวอิ่งมองพร้อมกับเดาะลิ้นอย่างแปลกใจ

 

 

เกาหยางชะงัก น้ำเสียงเริ่มหมดความอดทนขึ้นมาบ้างแล้ว “เธอย้ายที่นั่งกลับด้วยเหรอ”

 

 

ฉินหร่านตอบ ‘อืม’ อีกครั้ง ยังคงไม่ปริปากพูด

 

 

“เอาอย่างนี้ เธอมาหาอาจารย์หน่อย เรื่องนี้พวกเราต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เกาหยางถอนหายใจ “คุณหลินกับแม่ของเธอมากันหมดแล้ว”

 

 

“ทราบแล้วค่ะ” ฉินหร่านพูดเสียงยานคาง โยนปากกาไปอีกทาง เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยมีอารมณ์มากนัก

 

 

ไม่ได้ลุกออกไปทันที แต่นั่งอยู่ที่เดิมราวกับกำลังพินิจมองตัวหนังสือที่ตัวเองเพิ่งคัด

 

 

ไม่พูดไม่จา หลุบตาต่ำ รู้สึกถึงออร่า ‘อยู่ให้ไกลจากฉัน’ จากตัวเธอได้แต่ไกลๆ

 

 

เฉิงมู่ชะงักไปครู่หนึ่ง ส่งถุงพลาสติกเข้าไปให้เฉิงเจวี้ยน

 

 

จากนั้นวกมาทางลู่จ้าวอิ่ง ไม่กล้าไปจัดอาหารบนโต๊ะของฉินหร่าน ถามลู่จ้าวอิ่งด้วยรูปปากว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

ลู่จ้าวอิ่งแกว่งมือถือของตัวเองให้เขาดู

 

 

หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ฉินหร่านค่อยใช้มือยันโต๊ะแล้วลุกขึ้น พูดเสียงคลุมเครือว่า “มีธุระนิดหน่อย ฉันจะไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาหน่อย”

 

 

เฉิงมู่ถึงได้รู้สึกว่าบรรยากาศเย็นเยือกถูกทำลายในพริบตา ได้ทีวางอาหารลงข้างบน “แต่คุณหนูฉิน ใกล้จะได้เวลากินข้าวแล้ว”

 

 

“อาจจะดึกหน่อย พวกนายไม่ต้องรอฉัน” ฉินหร่านโบกมือให้พวกเขา เดินออกจากห้องพยาบาลไป ไม่แม้แต่จะหันมามอง

 

 

พอฉินหร่านออกไปแล้ว ลู่จ้าวอิ่งค่อยยื่นมือถือให้เฉิงมู่กับเฉิงเจวี้ยนดู

 

 

เฉิงเจวี้ยนหอบหนังสือที่เสียหายบางส่วนของฉินหร่านมาวางตรงหน้าตัวเองแล้ว

 

 

ในมือมีใบมีดกับกาวน้ำ

 

 

ใบหน้างดงามไร้ที่ติ แต่นัยน์ตาลุ่มลึก

 

 

“จะไปหาอาจารย์ใหญ่สวีไหม” คราวนี้ลู่จ้าวอิ่งนึกอยากไปเหยียบหนังสือในอาคารเรียนพวกนั้นให้เละทั้งหมด ระงับโทสะไม่ได้ “ฉันเป็นคนให้บัตรกับฉินหร่าน เกี่ยวอะไรกับเธอ”

 

 

เฉิงเจวี้ยนก้มหน้าลงอีกครั้ง “ไม่ต้อง”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งผิดหวังเล็กน้อย เขาอยากทำเรื่องใหญ่โตสักหน่อย

 

 

หยุดคิดไปครู่หนึ่งแล้วตาก็เป็นประกาย “ฉันจะไปให้พ่อหางานให้สกุลเมิ่งทำสักหน่อย”

 

 

ไม่อย่างนั้น จะอัดอั้นตันใจ

 

 

“ไปสิ” เฉิงเจวี้ยนหยิบใบมีดขึ้นมาอีกครั้ง กดเสียงต่ำ มีเสียงอู้อี้ขึ้นจมูกเหมือนยังไม่ตื่น

 

 

ลู่จ้าวอิ่งก้มหน้า พบว่าหนังสือที่วางอยู่อีกฝั่งหนึ่ง แทบจะมองไม่เห็นรอยฉีกขาดแล้ว

 

 

“นายไปหัดตอนไหนน่ะ” ลู่จ้าวอิ่งเงยหน้าน้อยๆ ถึงว่าให้เฉิงมู่แวะซื้อกาวกับใบมีดเฉพาะทางกลับมาด้วย

 

 

เฉิงเจวี้ยนเม้มปาก กระแอมเบาๆ สองที “ปีหนึ่ง”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งมองเฉิงเจวี้ยนอึ้งๆ

 

 

ขอแค่เฉิงเจวี้ยนตั้งใจกับเรื่องอะไรสักอย่าง ไม่ว่าทำอะไรก็ไม่ล้มเลิกกลางคัน ในสกุลเฉิงคงไม่มีที่ให้คนอื่นได้ออกสิทธิ์ออกเสียง และไม่ถูกคนอื่นต่อว่าว่าเขาทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

 

 

พอเขาออกไปแล้ว

 

 

เฉิงเจวี้ยนถึงได้วางใบมีดลงอย่างไม่รีบร้อน ล้วงมือถือในลิ้นชักออกมา หนามาก เป็นมือถือสีดำ

 

 

หากฉินหร่านอยู่ด้วย ต้องรู้แน่นอนว่า มือถือเครื่องนี้เหมือนกับมือถือของเธออย่างกับแกะ

 

 

เฉิงเจวี้ยนก้มหน้า สีหน้าเรียบนิ่ง เปิดโปรแกรมแก้ไขข้อความแล้วส่งข้อความออกไป

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ ก็ตอบกลับข้อความอีกหลายฉบับ

 

 

หลังตอบข้อความเสร็จแล้ว เขาก็วางมือถือใส่ลิ้นชักแล้วล็อกมันอีกครั้ง

 

 

ช้อนตาขึ้นช้าๆ ไร้ซึ่งความสง่างามเช่นที่เคย ดวงตาที่ถูกแพขนตายาวปกคลุม เปล่งประกายแวววับ เย่อหยิ่งและอ้างว้าง

 

 

 

 

ฉินหร่านมาถึงที่พักเกาหยางอย่างรวดเร็ว

 

 

พอเข้ามา หนิงฉิงก็มองเธออย่างกระวนกระวายทันที “หรานหร่าน!”

 

 

หลินฉีกลับมองฉินหร่านด้วยแววตาเย็นชา เมื่อก่อนเขาไม่บอกว่าฉินหร่านดีกว่าฉินอวี่ แต่ก็ชื่นชมนิสัยของฉินหร่านเป็นอย่างมาก

 

 

เพียงแต่คำพูดที่เมิ่งซินหรานพูดในวันนี้ทำให้หลินฉีโมโหมาก

 

 

เขาทำดีกับญาติของภรรยาคนก่อนมาตลอด

 

 

ตอนที่มาโรงเรียน เขาก็ไปดูที่เกิดเหตุใต้อาคารเรียนมาแล้ว แค่มองแวบเดียวก็เห็นหนังสือที่กระจัดกระจาย กับโต๊ะเรียนที่ถูกโยนลงมาด้วย

 

 

ต้องมีความคับแค้นมากขนาดไหนถึงได้ใช้วิธีต่ำช้าแบบนี้มาแก้ไขปัญหา

 

 

และเพราะเหตุนี้ ตอนที่ไปหาหนิงฉิง อากัปกิริยาของหลินฉีก็เฉยชามาก

 

 

ตอนนี้เห็นฉินหร่านไม่แสดงอาการอะไรเลย

 

 

ฉินหร่านไม่ร้อนรนเลยแม้แต่นิด เธอเดินเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ หยุดอยู่ตรงหน้าเกาหยาง

 

 

ไม่เหมือนผู้กระทำ และไม่เหมือนผู้ถูกกระทำด้วยเช่นกัน

 

 

แถมยังพูดอย่างมีมารยาทมากว่า “อาจารย์เกาคะ”

 

 

นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วมองหลินฉี “คุณอาหลิน”

 

 

เธอมาอยู่เมืองอวิ๋นเฉิงนานขนาดนี้ หลินฉีปฏิบัติกับเธอไม่ถือว่าดีมากนัก แต่ก็ไม่มีจุดไหนที่เอาเปรียบตัวเอง ถึงขั้นว่าเคยอยากออกแรงช่วยหลายเรื่องด้วยซ้ำ

 

 

แม้ว่าเธอจะจัดการได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องออกแรงเลยสักนิด แต่บุญคุณนี้เธอก็จดจำไว้

 

 

แต่วันนี้หลินฉีกลับเหลือบมองเธอแค่แวบเดียว ไม่พูดไม่จา และไร้การตอบรับ

 

 

สีหน้าเฉยชา

 

 

หนิงฉิงก็รู้ดีกว่าก่อนหน้านี้หลินฉีดีกับฉินหร่านมาก แม้ภายหลังฉินหร่านจะไม่ยอมเข้าร่วมสกุลเฟิง แต่มองออกว่าหลินฉีชื่นชมฉินหร่าน

 

 

ตอนนี้หลินฉีกลับแสดงอาการเย็นชาแบบนี้ ทำให้หนิงฉิงรู้สึกใจหายวาบ

 

 

“หรานหร่าน!” หนิงฉิงพูดอย่างร้อนใจ “ทำไมแกต้องเอาบัตรของคุณหนูเมิ่งไปด้วย ทุกอย่างเป็นเรื่องเข้าใจผิดใช่ไหม ไม่ว่าจะมีอะไรตอนนี้ก็ยัง…”

 

 

ฉินหร่านมองเธออย่างไม่ยี่หระ

 

 

เมิ่งซินหรานมองดูเธอที่สองมือล้วงกระเป๋า ท่าทางไม่กระวนกระวาย จึงยิ้ม แต่นัยน์ตากลับเย็นเยือก “ฉันชวนเธอไปดูการแข่งขัน เธอทำเป็นไม่สนใจ เธอเองก็ไม่คิดว่าในห้องเก้าจะมีใครกล้าค้นโต๊ะเธอล่ะสิ”

 

 

ทั้งสามคนต่างก็มีท่าทีจะบีบคั้นอีกฝ่าย

 

 

เกาหยางดูอยู่สองนาทีแล้ว จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาว่า “นักเรียนเมิ่ง ไม่ทราบว่ามันเป็นบัตรอะไร ทำไมฉินหร่านถึงไม่มีทางได้มา”

 

 

“มีอะไรจะต้องพูดอีก บัตรที่แม้แต่เฉียวเซิงยังหาไม่ได้ คุณคิดว่าเธอจะมีงั้นเหรอ” เมิ่งซินหรานเหลือบมองฉินหร่านอย่างนึกขำ “บัตรนั่นไม่มีขายให้คนนอก เป็นบัตรภายในของอวิ๋นกวงกรุ๊ป”

 

 

เกาหยางมองเธอ “ทำไมถึงไม่คิดว่ามีคนใส่ร้ายเธอล่ะ”

 

 

แววตาของเมิ่งซินหรานเฉยชา “หากยืนกรานไม่ยอมรับงั้นก็เจอกันที่โรงพัก”

 

 

หนิงฉิงลนลานแล้ว เธอกดเสียงต่ำว่า “หรานหร่าน แกคืนบัตรให้คุณหนูเมิ่งไป ขอโทษเธอก็ถือว่าสิ้นเรื่องสิ้นราวแล้ว”

 

 

หลินฉีปิดปากเงียบมาตลอด ฉินหร่านโยนโต๊ะของเมิ่งซินหรานลงมาจากชั้นห้า ขอโทษเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว

 

 

เมื่อฟังถึงตรงนี้ เกาหยางก็ไม่พูดอะไรอีก แต่หันไปหาหลินฉีที่เยือกเย็นอย่างยิ่ง

 

 

“คุณหลิน คุณน่าจะไม่ทราบรายละเอียดของเรื่องนี้สินะครับ”

 

 

หลินฉีอยู่ในแวดวงการค้า ท่าทางน่าเกรงขาม ในดวงตามีความเฉียบแหลมที่เห็นได้ชัด “ไม่ต้องให้คุณพูดหรอก ผมรู้ หลานสาวผมเคยเข้าร่วมการเทรนนิ่งของทีมหนึ่งปี เพิ่งกลับมาเรียนม.ปลายปีสามตอนนี้ ผลการเรียนของเธอดีมาก เพราะเรื่องในวันนี้ ทำให้เธอเสียเวลาในการเรียนไปทั้งบ่าย”

 

 

เกาหยางกลับไม่อ้อมค้อมเลยแม้แต่นิด พอฟังจบเขาก็ยิ้ม น้ำเสียงราบเรียบ “จากที่ผมทราบมา หลานสาวของคุณเตะโต๊ะของฉินหร่านจนล้ม ทั้งที่ยังไม่ได้ถามเรื่องราวให้แน่ชัด นักเรียนห้องเก้าต่างก็รู้ดีว่าฉินหร่านมีหนังสือที่รักมากเป็นกอง กับหนังสือที่เลิกตีพิมพ์ซึ่งหาไม่ได้ในท้องตลาดแล้ว เสียหายหลายเล่มทีเดียว แน่นอนว่า ฉินหร่านโยนหนังสือของนักเรียนเมิ่งลงไปนั้นไม่ถูกก็จริง แต่คนที่ทำผิด ไม่มีมารยาทและต้องขอโทษก่อนใช่คุณหนูเมิ่งหรือเปล่า”

 

 

หลินฉีนิ่งไป เรื่องนี้เมิ่งซินหรานไม่เคยบอกเขาเลย

 

 

เขาคิดมาตลอดว่าเมิ่งซินหร่านบอกว่าฉินหร่านขโมยบัตรของเธอ ฉินหร่านเลยเกิดโทสะโยนโต๊ะของเมิ่งซินหรานลงมา

 

 

เกาหยางไม่ได้ใช้น้ำเสียงเหน็บแนมแม้แต่นิด

 

 

แต่ทุกคำล้วนมีคมมีดแฝงอยู่ สมองที่โมโหจนตื้อของหลินฉีระเบิดดังตูม

 

 

อันที่จริงเรื่องนี้ขอแค่เขาเอ่ยปากถามสักนิด แค่ถามสักหน่อย ก็จะรู้

 

 

เสียดายที่เขาไม่แม้แต่จะถาม เอาแต่รู้สึกโกรธแทนเมิ่งซินหราน

 

 

สีหน้าของหลินฉีนิ่งค้าง ตอนนี้เริ่มรู้สึกไม่ค่อยกล้าสบตาฉินหร่านแล้ว

 

 

หนิงฉิงที่เร่งเร้าให้ฉินหร่านขอโทษอยู่ตลอดก็ชะงักไปเช่นกัน

 

 

“มาพูดเรื่องนี้ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์” เมิ่งซินหรานพูดเสียงเรียบ ในสถานการณ์แบบนี้ อากัปกิริยาของเธอยังคงสง่างาม “เพราะฉินหร่านขโมยบัตรของฉัน”

 

 

เกาหยางพยักหน้า “เฉียวเซิงไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้ว เดี๋ยวก็มา”

 

 

 

 

ก๊อกๆ

 

 

ไม่ถึงยี่สิบนาที เฉียวเซิงก็เคาะประตู

 

 

“อาจารย์” เขาเข้ามา สายตาไม่ว่อกแว่ก ยื่นแฟลชไดรฟ์อันหนึ่งให้เกาหยาง

 

 

เมื่อเห็นแฟลชไดรฟ์ในมือเฉียวเซิง หนิงฉิงก็เผลอกำมือแน่น

 

 

“หรานหร่าน แกเอาไปหรือเปล่า” เธอเริ่มร้อนใจขึ้นมาแล้วเมื่อมองเมิ่งซินหรานที่มือกอดอกท่าทีเย็นชามาก “เมิ่งซินหรานเป็นลูกสาวของคุณอาของหลินจิ่นเซวียน ได้ยินว่าเป็นคนของอวิ๋นกวงกรุ๊ปด้วย… ถ้าไม่เห็นแก่ตัวเอง ก็ต้องคิดถึงน้องสาวของแกบ้างสิ ตอนนี้เธอยังอยู่กับหลินหว่าน…”

 

 

ฉินหร่านไม่มองเธอ แค่กอดอกมองเกาหยางเสียบแฟรชไดรฟ์เข้าไป

 

 

สิ่งที่เฉียวเซิงได้เป็นแค่คลิปวิดีโอสั้นๆ เท่านั้น

 

 

ในห้องเรียนของโรงเรียนเหิงชวนอีจงไม่มีกล้องวงจรปิด มีแค่ตรงโถงทางเดิน ฉะนั้นคลิปวิดีโอที่เฉียวเซิงได้มาเป็นของโถงทางเดิน

 

 

เกาหยางเพิ่มสปีดเป็น 32 เท่า

 

 

ตั้งแต่พักเที่ยงจนถึงเมิ่งซินหรานเข้าห้องเรียนเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงกว่า

 

 

ในคลิปวิดีโอฉายชัดเจนว่าฉินหร่านออกจากห้องเรียนเป็นคนสุดท้าย

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงได้มีนักเรียนชายสองคนกลับเข้าห้อง ทั้งสองคนเข้าไปในห้องไม่ถึงครึ่งนาที ก็มีนักเรียนหญิงสองคนเดินมา

 

 

สรุปแล้ว หลังดูคลิปวิดีโอจบ ยืนยันได้ว่าคนอื่นไม่มีปัญหา กลับกันความน่าสงสัยของฉินหร่านนั้นเพิ่มขึ้น

 

 

เมิ่งซินหรานแสยะยิ้ม มองฉินหร่าน “ฉินหร่าน หลักฐานอยู่นี่แล้ว เธอออกไปคนสุดท้าย จะมีใครขโมยบัตรของฉันแล้วใส่ร้ายเธอได้อีก จะเถียงอีกไหม”

 

 

ฉินหร่านพยักหน้า มองเมิ่งซินหรานอย่างไม่แยแส “มีแค่เธอที่มีบัตร คนอื่นจะมีบัตรไม่ได้งั้นเหรอ”

 

 

เธอไม่ได้มีแค่บัตรใบเดียว เธอมีเป็นปึกด้วยซ้ำ

 

 

“หรานหร่าน พอได้แล้ว” หนิงฉิงพูดเสียงดัง จากนั้นก็มองเมิ่งซินหราน ทั้งถ่อมตัวและระมัดระวัง “คุณหนูเมิ่ง ขอโทษด้วย หรานหร่านไม่ได้…”

 

 

“เธอคงไม่ได้คิดว่าแค่มีเงินก็ซื้อบัตรนี่ได้หรอกนะ” เมิ่งซินหรานพูดจาเหน็บแนม “บัตรภายในของอวิ๋นกวงกรุ๊ป เธอฝันอยู่หรือไง”

 

 

ขณะนั้นเองหลินฉีก็เอ่ยปากพูดแล้ว

 

 

เพราะก่อนหน้านี้เข้าใจฉินหร่านผิดไป ตอนนี้เขาจึงรู้สึกผิดกับฉินหร่าน

 

 

“เรื่องนี้ไม่ว่ายังไง ขอแค่บัตรยังอยู่ก็พอ” คราวนี้หลินฉีเพิ่งมองฉินหร่าน “อาจจะเข้าใจเธอผิดไป เธอคืนบัตรให้ซินหราน อาก็จะจัดการเรื่องนี้ให้เอง ถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

 

 

เห็นได้ชัดว่าเมิ่งซินหรานไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ แต่หลินฉีเอ่ยปากแล้ว เธอก็ทำได้แค่ยืนอยู่อีกมุม แสยะยิ้มมองฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านพิงไปทางโต๊ะข้างๆ พูดด้วยเสียงที่เดาอารมณ์ไม่ได้ว่า “ฉะนั้น คุณคิดว่า ไม่ให้ฉันขอโทษ ไม่ไปแจ้งความ ก็ถือเป็นความเห็นใจอย่างสุดซึ้งที่มีต่อฉันแล้วใช่ไหม”

 

 

หลินฉีไม่คิดว่าฉินหร่านจะแสดงปฏิกิริยาแบบนี้ “ฉัน…”

 

 

เมิ่งซินหรานก็ถูกปฏิกิริยาอันมีไหวพริบของฉินหร่านทำให้ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่เย้ยหยัน

 

 

หนิงฉิงรู้ว่าฉินหร่านชอบเอาชนะมาโดยตลอด แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว เธอยังพูดจาแบบนี้อีก ก็อยากจะปิดปากเธอให้รู้แล้วรู้รอด

 

 

“ฉินหร่าน เธอคืนบัตรสี่ใบของฉันมาก่อน เป็นบัตรที่นั่งติดกันสี่ใบ” เมิ่งซินหรานไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับฉินหร่าน จึงพูดขึ้นมาอย่างเหลืออด

 

 

แต่ฉินหร่านกลับชะงัก หรี่ตาลง “หมายความว่า ที่จริงคุณหนูเมิ่งจำหมายเลขที่นั่งของบัตรภายในอวิ๋นกวงกรุ๊ปได้งั้นเหรอ”

 

 

“ฉินหร่าน ท่าทางดิ้นรนของเธอน่ารังเกียจจริงๆ” เมิ่งซินหรานยกยิ้มเย็นเยือก “บัตรในสนาม โซน B แถวเก้า ที่นั่ง 12 13 14 15 ห้ามขาดแม้แต่ใบเดียว”

 

 

“แน่ใจเหรอ”

 

 

“แน่นอน”

 

 

“ดี” ฉินหร่านพยักหน้า ล้วงบัตรที่ลู่จ้าวอิ่งให้เธอออกจากกระเป๋า “นี่เป็นบัตรของฉัน ทุกคนลองดู”

 

 

เธอโมโหจนอยากขำ ตอนแรกคิดว่าเมิ่งซินหรานจำเลขบัตรของตัวเองไม่ได้ ถึงได้คิดว่าตนเป็นขโมยบัตรของเธอ

 

 

ใครจะรู้ว่า ผู้หญิงคนนี้จะถือดีถึงขนาดนี้

 

 

เกาหยางรับไป

 

 

หลินฉีอยู่ข้างเขา เมื่อชำเลืองมอง สีหน้าก็นิ่งไป

 

 

เมิ่งซินหรานเห็นสีหน้าของทั้งคู่ จึงขมวดคิ้ว เธอดึงบัตรมาจากมือเกาหยางทันที รอยเหยียบขรุขระนิดหน่อย แต่เลขที่นั่งด้านบนชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง…

 

 

บัตรในสนาม โซน A แถว 5 ที่นั่ง 8

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset