เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 145 เธอใช้มือขวา

เฉียวเซิงชะงัก ยังคงอยู่ในท่าถือมือถือ เงยหน้าขึ้นมอง “คุณชายสวี”

 

 

สวีเหยากวงไม่ตอบ เอาแต่ก้มหน้ามองมือถือ

 

 

เขาจ้องโพสต์นี้ของหยางเฟยอยู่ครู่หนึ่ง กดเข้าไปในคอมเมนต์ทันที

 

 

กวาดตามองคอมเมนต์ยอดนิยมบางส่วน คอมเมนต์แรกก็คือ

 

 

‘มีแค่ฉันคนเดียวเหรอที่รอบิ๊กบอสให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ของบัญชี qr’

 

 

‘บนโลกใบนี้มีคนที่ค่า APM สูงกว่าเทพพระอาทิตย์อยู่จริงเหรอ’

 

 

โพสต์ในตอนนั้นของหยางเฟยเรียกความสนใจจากคนทั้งในและนอกวงการจำนวนมาก ทุกคนต่างก็กำลังสืบหาว่า qr เป็นใคร

 

 

มีคนไม่เชื่อว่าที่หยางเฟยเมนชั่นถึงจะเป็นแค่คนที่ไม่สลักสำคัญอะไร

 

 

ในยุคเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตยิ่งใหญ่มากแค่ไหน ชาวเน็ตก็วิเศษเหนือธรรมชาติมากเท่านั้น

 

 

แต่ทว่ากลับประสบความแพ้พ่ายในบัญชี ‘qr’ พวกเขาไม่เจอข้อมูล หาไม่เจอเลยแม้แต่นิด

 

 

‘เดาว่าน่าจะเป็นบิ๊กบอส ฉันให้เพื่อนป.เอกที่เรียนสาขาคอมพิวเตอร์ มหาลัยเมืองหลวงช่วยค้นหา ID ของ qr เขาบอกว่าทุกอย่างมืดสนิท’

 

 

‘เหมือนคอมเมนต์บน คอมของฉันเกือบถูกจู่โจม ไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าแล้ว’

 

 

“…”

 

 

สวีเหยากวงกวาดตามองจนหมด ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ นิ้วมือสะอาดเรียวยาวกดเข้าไปตามเมนชั่นที่หยางเฟยกล่าวถึง เป็นบัญชีส่วนตัวที่มีผู้ติดตาม 5.9 แสนคน ติดตาม 1 โพสต์ 0

 

 

เขาเม้มปาก ไม่พูดอะไร

 

 

ถ้าเห็นโพสต์ของหยางเฟยเมื่อวันก่อน สวีเหยากวงจะไม่คิดมากเลย แต่เมื่อวานฉินหร่านเพิ่งล็อกอินบัญชีที่ใช้ชื่อว่า QR ไปหยกๆ

 

 

อันหนึ่งเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ อีกอันเป็นตัวพิมพ์เล็ก

 

 

จะไม่ให้สวีเหยากวงคิดมากนั้นยาก

 

 

เขาไม่พูดอะไร แค่มองเฉียวเซิงเงียบๆ ใบหน้าดูหล่อเหลา มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ดำสนิทและสุกใส ราวกับอ่านใจคนได้

 

 

เฉียวเซิงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา ก้มหน้าพลิกอ่านลวกๆ ไม่ค่อยกล้าสบตาสวีเหยากวง

 

 

สวีเหยากวงพยักหน้า คืนมือถือให้เฉียวเซิง หันกลับไป ไม่พูดอะไรอีก

 

 

เฉียวเซิงมองจากข้างหลัง ไม่เหมือนว่าเขากำลังทำโจทย์อยู่ แต่ก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่างใส่กระดาษ

 

 

 

 

ในคาบเรียน เกาหยางเดินมือไพล่หลังเข้ามาให้ห้องเก้าช้าๆ

 

 

นักเรียนห้องเก้าที่นั่งเล่นเกมอยู่ก่อนหน้านี้รีบแยกย้าย กลับไปนั่งที่ของตัวเองทันที

 

 

เกาหยางยังคงยิ้มแย้ม ไม่เข้มงวดกับนักเรียนแต่อย่างใด

 

 

สายตาไล่ผ่านใบหน้าของฉินหร่าน สวีเหยากวงกับเฉียวเซิง สุดท้ายก็มองเหอเหวิน เดินไปยืนข้างเขา เคาะโต๊ะของเขา เป็นเชิงให้ตามเขาออกมา

 

 

ในห้องพักครู เกาหยางถามอย่างไม่รีบเร่ง “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น”

 

 

เรื่องเมื่อคืนไม่ใช่ความลับอะไร เหอเหวินจึงบอกไป หลังเล่าเสร็จก็นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นพูดเสริมต่อว่า “ห้องหนึ่งท้าก่อน”

 

 

“อืม เล่นก็ส่วนเล่น การเรียนสำคัญอยู่ดี” เกาหยางพยักหน้า

 

 

ปล่อยเหอเหวินกลับไป

 

 

เขานิ่งเฉย ไม่ตำหนิเลยแม้คำเดียว

 

 

หลี่อ้ายหรงลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงาน สวมรองเท้าส้นสูง “อาจารย์เกา นักเรียนห้องคุณใส่ร้ายนักเรียนของฉันในฟอรั่ม แถมยังรวมกลุ่มกันเล่นเกมด้วย ม.ปลายปีสามแล้วยังทำแบบนี้อีก คุณไม่ดุไม่ด่าเลย จบเรื่องแบบนี้เลยเหรอ”

 

 

“แล้วจะยังไง” ใบหน้าอวบอ้วนของเกาหยางเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ “คุณไม่ได้ยินเหรอว่า นักเรียนห้องคุณเป็นคนเอาโน้ตบุ๊กมา เรื่องก็ห้องของคุณเป็นของสร้าง จะให้ผมตำหนิพวกเขาว่ายังไง”

 

 

“ต่อให้คุณไม่สนใจพวกเขา แต่ก็ต้องนึกถึงการเรียนของนักเรียนห้องฉันบ้าง…”

 

 

เกาหยางฟังไม่ทันจบก็ยิ้ม นั่งลงบนเก้าอี้ช้าๆ เปิดฝาแก้วเก็บความร้อนแล้วจิบชา “ฉินหร่าน เฉียวเซิงกับสวีเหยากวงเป็นแกนนำ ถ้าคุณคิดว่ารบกวนนักเรียนห้องคุณล่ะก็ ไปคุยกับพวกเขาสิ”

 

 

หลี่อ้ายหรงพูดอะไรไม่ออกเลย อย่าว่าแต่สามคนเลย แค่ครึ่งคนเธอก็ไม่กล้าแตะต้อง

 

 

เธอสะกดกลั้นอารมณ์กลับมาที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ตอนที่ผ่านโต๊ะอาจารย์ฟิสิกส์ เห็นควิซของฉินหร่านในมือเขา ยังคงไม่เขียนเลยแม้แต่ตัวเดียวเช่นเคย

 

 

หลี่อ้ายหรงถึงได้สบายใจขึ้นมานิดหน่อย

 

 

เกาหยางไม่สนใจหลี่อ้ายหรง เพียงแค่มองกระดาษที่ฉินหร่านยื่นคำร้องขอลาในมือ หรี่ตาลงเล็กน้อย

 

 

 

 

ตลอดทั้งช่วงเช้า ฉางหนิงโทร.หาฉินหร่านอย่างไม่ยอมถอดใจ

 

 

ฉินหร่านเปิดโหมดปิดเสียง และปิดสั่นด้วย ไม่สนใจเธอมากนัก

 

 

จากนั้นก็เริ่มเปิดอ่านออเดอร์ที่ฉางหนิงส่งมาให้เธอ

 

 

คนที่ออเดอร์กับ 129 มีเป็นเบือ แต่ออเดอร์ที่ 129 รับในแต่ละเดือนมีไม่มาก ออเดอร์ที่ฉางหนิงส่งให้ฉินหร่านเป็นออเดอร์ที่คัดแล้ว ไล่ดูรอบหนึ่ง ฉินหร่านก็ไม่เจอออเดอร์ที่ตัวเองต้องการอยู่ดี

 

 

เลิกเรียนคาบสุดท้ายแล้ว

 

 

ฉินหร่านรอให้คนให้ห้องไปกันหมดแล้ว ค่อยเดินทอดน่องไปทางห้องพยาบาล

 

 

ฉางหนิงยังคงโทร.เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

 

 

ฉินหร่านใส่หูฟัง กดปุ่มรับสา ยัดมือถือใส่กระเป๋า

 

 

ข้างนอกลมแรง เธอยกฮู้ดของเสื้อกันหนาวขึ้นสวม รูดซิปจนถึงข้างบนสุด ปิดคางเอาไว้

 

 

ฉางหนิงที่อยู่ในเมืองหลวงไล่ดูรายชื่อผู้สมัครในคอมพิวเตอร์ พูดเบาๆ ว่า “สาวน้อย ลืมอะไรไปหรือเปล่า”

 

 

ฉินหร่านดึงปกเสื้อ บังจมูกไว้ “อะไร”

 

 

“ข้อสอบของสมาชิกใหม่ในปีนี้” ฉางหนิงล้วงบุหรี่ออกจากกระเป๋า เดาะลิ้นแล้วพูดพลางหัวเราะเบาๆ “เธอคงไม่ได้ลืมจริงๆ หรอกนะ”

 

 

“เปล่า เรื่องข้อสอบไม่เร่ง” ฉินหร่านหรี่ตาลง ผ่อนคลายเล็กน้อย “ต้องเสร็จก่อนคุณรับสมัครสมาชิกใหม่แน่”

 

 

พอมาถึงห้องพยาบาล เฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่งไม่อยู่ทั้งคู่ มีแค่เฉิงมู่ที่กำลังหยิบยาให้นักเรียนคนหนึ่ง

 

 

ฉินหร่านดึงฮู้ดลง สายตามองไปข้างใน เห็นหญ้าที่วางอยู่บนจานแก้ว เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง โยนมือถือใส่โซฟา เดินไปยืนพินิจมองจานแก้วใบนั้น

 

 

 

 

นอกโรงเรียนอีจง

 

 

พานหมิงเยว่สวมยูนิฟอร์มเป็นระเบียบเรียบร้อย ผมสั้นเท่าหู สวมแว่นกรอบสีดำ

 

 

“หลินจิ่นเซวียนกลับเมืองหลวงไปแล้ว ฉันรอไม่ได้อีกแล้ว” เฟิงฉือเปิดท้ายรถ หยิบของถุงหนึ่งออกมายื่นให้พานหมิงเยว่ “น่าจะกลับมาก่อนปีใหม่ไม่ได้”

 

 

พานหมิงเยว่รับมา ก้มหน้าลงนิดหน่อย

 

 

น่าจะเป็นถุงมือ ผ้าพันคอกับยาหลากชนิด

 

 

เฟิงฉือก้มหน้า นับนิ้วของตัวเอง น้ำเสียงเจือความกลุ้มใจ “สองร้อยสามวัน อีกสองร้อยสามวันจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย”

 

 

“เรื่องนี้ฉันก็ตัดสินใจไม่ได้” พานหมิงเยว่เปลี่ยนไปถือถุงอีกข้างหนึ่ง

 

 

เฟิงฉือยืนมือออกมาดึงเธอ “ไป พี่จะพาเธอไปกินข้าว”

 

 

เพิ่งหันหลัง มือถือในกระเป๋าก็แผดเสียง

 

 

เฟิงฉือเหลือบมอง บนจอเป็นหมายเลขโทรศัพท์ยาวเหยียด เขาไม่ได้บันทึกชื่อ จึงมองนิ่งๆ แล้วกดตัดสายไป

 

 

ไม่ถึงหนึ่งนาที ก็มีสายเรียกเข้าจากหลินจิ่นเซวียน

 

 

เสียงของหลินจิ่นเซวียนที่อยู่ปลายสายราบเรียบ “อยู่กับหมิงเยว่เหรอ”

 

 

“อืม” เสียงของเฟิงฉือเปลี่ยนเป็นเย็นชาและไม่ยี่หระขึ้นมาเล็กน้อย “ไม่คุยแล้ว ฉันต่อแถวให้เธอก่อน”

 

 

จากนั้นก็ก้มหน้า เสียงเบาลงหลายเท่า “ตรงนี้ลมไม่แรง เธอรออยู่ตรงนี้ ฉันจะไปต่อแถว”

 

 

ทางด้านเมืองหลวง

 

 

หลินจิ่นเซวียนมองผู้หญิงผมลอน หน้าตาสะสวย พยักหน้าอย่างสุภาพ “ได้ยินหรือยัง ไม่มีใครรอเธออยู่ที่เดิมหรอก”

 

 

เขาเปิดสปีกเกอร์โฟน

 

 

ผู้หญิงคนนั้นสวมแว่นกันแดด มองหลินจิ่นเซวียนแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร หันหลังจากไปทันที

 

 

 

 

พานหมิงเยว่รออยู่ในมุมอับแห่งหนึ่ง มือถือยาเม็ดหนึ่ง สับสนเล็กน้อย

 

 

เสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยดังขึ้น

 

 

พานหมิงเยว่เก็บยากลับเข้ากระเป๋าของตัวเองอย่างตื่นตระหนก

 

 

จากนั้นก็เงยหน้ามองเฟิงฉือที่กำลังวิ่งเหยาะๆ เข้ามา

 

 

เฟิงฉือต้องรีบไปขึ้นเครื่อง อยู่ไม่ถึงสิบนาทีก็กลับไปแล้ว

 

 

“เอ๊ะ เธอเป็นเพื่อนของฉินเสี่ยวหร่านไม่ใช่เหรอ” ลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงเจวี้ยนเห็นพานหมิงเยว่ตั้งแต่ลงมาจากรถแล้ว

 

 

ต่างหูบนติ่งหูของเขาดูแวววาวเล็กน้อยเมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์

 

 

“พวกเธอสองคนไม่ค่อยเหมือนเพื่อนกันเลย” ลู่จ้าวอิ่งแกว่งมือถือของตัวเอง ยิ้มดูอวดดีมากทีเดียว “ฉันจะไปซื้อชานมให้ฉินเสี่ยวหราน เธอเอาด้วยไหม”

 

 

ตั้งแต่ไปเอายาที่ห้องพยาบาลครั้งก่อน พานหมิงเยว่ก็ตั้งใจหลบเลี่ยงสองคนนี้มาตลอด

 

 

ลู่จ้าวอิ่งยังคงพูดคุยกับเธอย่างสนิทสนม เฉิงเจวี้ยนแค่เหลือบมองเธอช้าๆ ดวงตาคู่งามไม่มีความเห็นใจ ไร้ความเกลียดชัง ไม่มีความละลาบละล้วง

 

 

เฉยชา ราวกับมองคนแปลกหน้า

 

 

มือที่กำไว้แน่นของพานหมิงเยว่คลายลงช้าๆ

 

 

ไม่นานตอนที่ลู่จ้าวอิ่งหิ้วชานมสองถุงกลับมา พานหมิงเยว่ก็ไม่อยู่แล้ว

 

 

 

 

ตอนกลางวันสวีเหยากวงไม่ได้ไปกินข้าว แค่ขอให้เฉียวเซิงซื้อกลับมาให้เขาที่หอพัก

 

 

ในใจเขาหนักอึ้งมาตลอดทั้งช่วงเช้า

 

 

ตอนที่เฉียวเซิงมาถึงหอพัก สวีเหยากวงกำลังจ้องกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่

 

 

เขาวางอาหารลงบนโต๊ะของสวีเหยากวง จากนั้นก้มมองว่าสวีเหยากวงกำลังจ้องอะไรอยู่กันแน่

 

 

กระดาษแผ่นหนึ่ง

 

 

โล่งมาก มีแค่ตัวอักษรไม่กี่ตัว

 

 

บรรทัดบน Q 700+

 

 

บรรทัดล่าง QR 280+

 

 

บรรทัดสุดท้าย qr กับเครื่องหมายคำถาม

 

 

ด้านซ้ายเขียนการ์ดเทพทั้งสามใบแล้ววงรอบ

 

 

วงรอบ 700+ กับ 280+ เหมือนกัน

 

 

ก็ยังไม่ใช่อยู่ดี

 

 

สวีเหยากวงเคาะโต๊ะ หรี่ตาน้อยๆ

 

 

นอกจากแถวแรกแล้ว เฉียวเซิงรู้หมดเลย

 

 

แต่เขากินปูนร้อนท้อง ไม่กล้ามองนาน แค่นั่งลงบนเก้าอี้อีกฝั่ง ยกขาพาดโต๊ะ เปิดมือถือแล้วเริ่มเล่นเกม

 

 

แต่น่าแปลก นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวเซิงเห็นเขาสนใจเรื่องอื่นนอกจากฟิสิกส์กับไวโอลิน

 

 

สวีเหยากวงเปิดกล่องข้าว มือขวาจับตะเกียบกำลังกินอย่างไม่รีบร้อน

 

 

มือถือข้างมือสว่างวาบ น่าจะเป็นฉินอวี่ส่งข้อความมา สวีเหยากวงจึงใช้มือซ้ายกดดู

 

 

มือที่ยกขึ้นมาหยุดลงกะทันหัน สวีเหยากวงเงยหน้าขึ้นทันที

 

 

แววตาจ้อง 700+ ในบรรทัดแรกเขม็ง

 

 

เขาเคยเห็นฉินหร่านเขียนบอร์ด เธอใช้มือขวา

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset