เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 147 ลางบอกเหตุก่อนระเบิดอารมณ์

เสียงของสวีเหยากวงราบเรียบ แต่มือที่ยันโต๊ะกลับเกร็งเล็กน้อย

 

 

           เฉียวเซิงโยนลูกบาสลงพื้น มองสวีเหยากวงแล้วมองฉินหร่าน ไม่รู้ว่าสองคนนี้หมายความว่าอย่างไร

 

 

           Q?

 

 

           ใครอีกล่ะเนี่ย

 

 

           สีหน้าของฉินหร่านไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด เธอหันหน้ามานิดหน่อย ทั้งเย็นชาและไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่”

 

 

           จากนั้นก็ลุกขึ้น ก้มหน้าลง เส้นผมตรงหน้าผากลู่ลงมาเคลื่อนผ่านคิ้วไป “รบกวนช่วยหลีกทางหน่อย”

 

 

           สวีเหยากวงยังอยากจะพูดอะไรต่อ

 

 

           แต่มือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้นพอดี

 

 

           เขาล้วงออกมาดู เป็นสายจากฉินอวี่

 

 

           แค่เวลาเพียงชั่วขณะ ฉินหร่านก็เดินผ่านเขาไปแล้ว

 

 

           สวีเหยากวงกำมือถือทำท่าครุ่นคิด สุดท้ายก็รับสายฉินอวี่

 

 

           “คุณชายสวี พวกคุณลาเรียบร้อยหรือยัง” ฉินอวี่ที่อยู่ปลายสายยืนอยู่ข้างล่างเวที เสียงหวานมาก “จะมาเมืองหลวงเมื่อไหร่ ฉันจะไปรับพวกคุณที่สนามบิน ให้อาของฉันช่วยจองโรงแรมไว้ให้”

 

 

           “ฉันลาแล้ว เฉียวเซิงอาจจะไม่ไป” สวีเหยากวงมองแผ่นหลังของฉินหร่าน เสียงเรียบ “เธอไม่ต้องมารับหรอก”

 

 

           “ไม่ต้องรับเหรอ” เมื่อได้ยินว่าเฉียวเซิงไม่มา ฉินอวี่ก็นิ่งไป แต่ก็ไม่พูดอะไร

 

 

           สวีเหยากวงพูดส่งๆ ไปอีกไม่กี่คำก็ตัดสาย

 

 

           เขาตามออกไป ฉินหร่านลงจากตึกไปนานแล้ว

 

 

           เฉียวเซิงก็กำมือถือตามออกมา มองจากระเบียงลงไปข้างล่าง “คุณชายสวี Q คนนั้นมันเรื่องอะไรกัน”

 

 

           “เมื่อก่อนเธอเป็นสมาชิกของ OST อาทิตย์หนึ่งก่อนการแข่งขันฤดูหนาวเมื่อสามปีก่อน เธอรับสายหนึ่งแล้วจากไปทันที ไม่ทิ้งคำพูดอะไรไว้เลย จากนั้น ไม่ว่าใครก็ติดต่อเธอไม่ได้อีกเลย” สวีเหยากวงมองลงไปข้างล่างเช่นกัน ตอนนี้ฉินหร่านออกจากตึกไปแล้ว

 

 

           กำลังดึงฮู้ดของตัวเอง และคุยโทรศัพท์กับใครบางคนอยู่

 

 

           เฉียวเซิงพยักหน้า จากนั้นพูดเสียงเบาว่า “นายรู้ว่าเธอเป็นคนสร้างการ์ดเทพสามใบนั้นงั้นเหรอ”

 

 

           “นายรู้จริงๆ ด้วย” สวีเหยากวงหันมา เอ่ยปากนิ่งๆ

 

 

           เฉียวเซิงลูบหัวป้อยๆ “คืนนั้นตอนที่ฉันไปเข้าห้องน้ำ เห็นเทพพระอาทิตย์อยู่กับเจ๊หร่านพอดี หมายความว่าเจ๊หร่านก็คือ Q งั้นเหรอ ทำไมไม่เคยมีใครพูดถึงเลย”

 

 

           สวีเหยากวงลงจากตึก ฝีเท้าสม่ำเสมอ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้พูดขึ้นมาว่า “นายเคยเห็นสถิติแชมป์อารีนาของฉินหร่านไหม”

 

 

           “ไม่เคย” เฉียวเซิงเปลี่ยนไปถือลูกบาสด้วยมืออีกข้าง

 

 

           เขาเองก็เพิ่งรู้บัญชีของฉินหร่านเมื่อคืนเหมือนกัน

 

 

“สถิติในตอนนั้นคือ 100% ทั้งในและต่างประเทศต่างก็รู้จัก Q จอมปีศาจผู้คลั่งไคล้การโซโล่ แฟนคลับนับไม่ถ้วน” สวีเหยากวงก้มหน้า พูดนิ่งๆ ว่า “ถ้าว่าง นายลองไปถามอันดับค่า APMของทีมกับสมาชิกของ OST ได้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยพูดถึงหรอก แต่เป็นเพราะเธอเป็นคนในโซนแรก ฉันขอถามหน่อย นายเคยเห็นไอดีของโซนแรกไหม สมาชิกเก่าของโซนแรกมีหลากหลายประเทศ” สวีเหยากวงมองเฉียวเซิงอีกรอบ “ทั้งทีม OST มีแค่หยางเฟยที่มีไอดีของโซนแรก เขาน่าจะมีสิบเจ็ดดาว ฉินหร่านเองก็น่าจะเหมือนกัน เมื่อวานฉันเห็นไม่ชัด คนที่ติดตามอีสปอร์ต ไม่มีใครไม่รู้จัก Q จอมปีศาจผู้คลั่งไคล้การโซโล่ เธอเป็นบุคคลประเภทหมาป่าเดียวดาย ลองไปค้นหาคำว่าโซนแรก ก็จะรู้ว่าเธอโด่งดังแค่ไหน” น้อยครั้งที่สวีเหยากวงจะพูดมากขนาดนี้

 

 

ตอนนี้เกมท่องยุทธภพเป็นที่นิยมมาก โซนแรกปิดไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว จำนวนคนใช้ไม่เยอะ แต่เป็นยอดฝีมือขั้นเทพลึกลับเป็นกอบเป็นกำ

 

 

คราวนี้เฉียวเซิงก็รู้แล้วว่า

 

 

Q 700+ ที่สวีเหยากวงเขียนเมื่อตอนเที่ยงหมายความว่าอย่างไร

 

 

เท่ากับว่านั่นคือ APM ของเจ๊หร่านงั้นเหรอ

 

 

APM ของหยางเฟยคือ 600+ ตอนนี้โด่งดังจนถล่มทลาย แฟนคลับทั้งชายหญิงสามารถโอบรอบโลกได้แล้ว

 

 

ในเวยป๋อเคยมีข่าวว่าเมิ่งซินหรานมีค่า APM สูงกว่าหยางเฟย ผู้ติดตามของเมิ่งซินหรานพุ่งสูงถึงสามล้าน โด่งดังชั่วพริบตา หากพวกแฟนคลับของ OST รู้ว่าฉินหร่านไม่ใช่แค่สร้างการ์ดเทพทั้งสามใบ แต่ยังเป็นคนที่มีค่า APM สูงกว่าหยางเฟยอีกด้วย คงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่

 

 

 

 

           ช่วงเรียนภาคค่ำ ฉินหร่านไม่ได้ไปห้องพยาบาล และไม่ได้ไปห้องเรียนเช่นกัน

 

 

           แต่ตรงกลับหอพัก เปิดโน้ตบุ๊กที่วางอยู่บนโต๊ะ

 

 

           หน้าจอยังคงเป็นภาพทะเลทรายขาวสะอาด ไม่มีแม้แต่ไอคอน

 

 

           เธอรินน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง จากนั้นหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ เคาะแป้นพิมพ์ไม่กี่ที หลังโปรแกรมแก้ไขภาษาโผล่ขึ้นมา ก็ลงมือพิมพ์ทันที

 

 

           ไม่ถึงยี่สิบนาที ก็พิมพ์เสร็จเรียบร้อย

 

 

           ฉินหร่านถึงได้กดโทร.วิดีโอเชื่อมต่อกับฉางหนิง

 

 

           “ฉันคิดโจทย์เสร็จแล้ว จะส่งเข้าอีเมลคุณเดี๋ยวนี้แหละ” ฉินหร่านนั่งพิงพนัก ยกแก้วขึ้นละเลียดดื่มอย่างไม่รีบร้อน

 

 

           วันนี้เธอไม่ได้เปิดวิดีโอ เป็นแค่วอยซ์คอล

 

 

           ฉางหนิงยิ้มกว้าง สะกดกลั้นความดีใจไว้ไม่ได้ “เร็วจริงๆ เธอรีบส่งมาให้ฉันเร็ว”

 

 

           มือข้างหนึ่งของฉินหร่านยกแก้ว อีกข้างจับเมาส์ ท่าทางดูเชื่องช้า “ขอเตือนคุณว่า โจทย์ของฉันพิลึกนิดหน่อย เธอคิดให้ดีแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะใช้หรือไม่”

 

 

           “ไม่เป็นไร” ฉางหนิงไม่ใส่ใจแต่อย่างใด

 

 

           “คุณไม่กลัวว่าจะไม่มีคนมาสมัครเหรอ” ฉินหร่านวางแก้วลงบนโต๊ะ เริ่มส่งไฟล์ให้ฉางหนิง

 

 

           “ไม่มาสมัครงั้นเหรอ เธอดูถูกตัวเองเกินไปแล้วหรือเปล่า” อีกฝั่งของหน้าจอ ฉางหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง ท่าทางเหมือนจะยิ้ม “ถ้าปล่อยชื่อหมาป่าเดียวดายของเธอออกไป จะมีคนตั้งเท่าไหร่กระโจนกันเข้ามา ยังต้องกลัวว่าจะมีคนไม่สมัครอีกเหรอ”

 

 

           ฉินหร่านกดปุ่มส่ง “เอาเถอะ เธอไม่กลัวก็ดีแล้ว”

 

 

           เสียงของหลินซือหรานกับเซี่ยเฟยดังขึ้นข้างนอก ฉินหร่านลุกขึ้นแล้วกดปิดเสียง “คุณค่อยๆ ดูไป รูมเมทฉันกลับมาแล้ว”

 

 

           ไม่รอให้ฉางหนิงตอบด้วยซ้ำ

 

 

           หน้าจอโน้ตบุ๊กเพิ่งดับไป หลินซือหรานก็ผลักประตูเข้ามา ยื่นอมยิ้มแท่งหนึ่งให้ฉินหร่าน “เมื่อกี้เจอพานหมิงเยว่พอดี เธอให้เอามาให้”

 

 

           ฉินหร่านพยักหน้า แกะออกแล้วยัดเข้าปาก

 

 

           …

 

 

           เช้าวันเสาร์

 

 

           ฉินหร่านไปอำลาที่ห้องพยาบาล

 

 

           “ฉันจะไปต่างเมืองหน่อย” ฉินหร่านกินโจ๊กอย่างเชื่องช้าจนหมด ลองคำนวณเวลา “ไปเย็นนี้ กลับวันพฤหัสหน้า”

 

 

           เฉิงเจวี้ยนยื่นสตัฟฟ์ที่ทำเสร็จแล้วให้ฉินหร่าน หยิบเสื้อนอกที่พาดอยู่ตรงเก้าอี้ขึ้นมา โยนใส่โซฟา “ไปไหน”

 

 

           “เยี่ยมผู้อาวุโสคนหนึ่ง” ฉินหร่านวางตะเกียบลง “เขาคนนี้ดื้อนิดหน่อย ฉันตั้งใจจะไปขอให้เขาวางมือให้ไวหน่อย”

 

 

           เฉิงเจวี้ยนเลิกคิ้ว มองเธอแวบหนึ่ง เม้มปากแล้วยิ้ม “คืนนี้พวกเราก็จะเดินทางเหมือนกัน กลับมาอาทิตย์หน้า”

 

 

           “ฉันให้คนส่งเธอกลับไปดีไหม” ลู่จ้าวอิ่งนั่งเท้าคางมองฉินหร่าน

 

 

           คิดว่าเธอจะกลับเขตหนิงไห่

 

 

           ฉินหร่านส่ายหน้า

 

 

           บนลำคอของเธอมีหญ้าต้นใหม่ห้อยอยู่

 

 

           ตอนที่เฉิงมู่ยกชามาให้ฉินหร่าน เขาชะงักไปครู่หนึ่ง

 

 

           “คุณหนูฉิน บนลำคอของคุณ…” เฉิงมู่ชี้หญ้าต้นนั้น “เปลี่ยนอันใหม่แล้วเหรอ”

 

 

           “ใช่ เพื่อนร่วมโต๊ะของฉันให้มาอีกแล้ว” ฉินหร่านหมุนหญ้าสีเขียวบนลำคอของตัวเอง พูดอย่างสบายๆ ว่า “นายอยากได้เหรอ”

 

 

           เฉิงมู่ส่ายหน้าหวือ เขาจ้องหญ้าต้นนั้นเขม็ง สมจริงเกินไปแล้ว

 

 

           สมจริงจนเขาไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นของปลอม

 

 

           “เพื่อนของฉันบอกบ้านเธอมีเป็นสวนเลย ต่อให้ไม่ใช้ก็จะถูกแมวบ้านเธอแอบกิน” ฉินหร่านนั่งไขว่ห้าง เอนตัวพิงพนัก “ถ้านายอยากได้ล่ะก็ ฉันจะให้เธอเอามาให้นายอันหนึ่ง”

 

 

           มีเป็นสวน?

 

 

           เฉิงมู่ส่ายหน้าทันที “ไม่ต้องหรอก” เขาเป็นคนที่มีอุดมการณ์ ต่อให้จนก็ไม่ใช้ของเลียนแบบ

 

 

           “อ่อ” เขาไม่อยากได้ ฉินหร่านก็ไม่บังคับ

 

 

           หลังบอกลาเสร็จแล้ว ฉินหร่านก็กลับหอพักไปเก็บของ

 

 

           ที่จริงก็ไม่มีอะไร ก็แค่กระเป๋าใบเดียว เสื้อผ้าไม่กี่ชุด หนังสือหนึ่งเล่ม กับขวดน้ำใสแจ๋ว

 

 

           ไม่ได้ออกเดินทางทันที แต่ไปที่โรงพยาบาลก่อน

 

 

           …

 

 

           วันนี้เป็นวันเสาร์ ตอนนี้ฉินหร่านไปถึง หนิงฉิงกับพวกหนิงเวยอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว

 

 

           “ตอนแรกอวี่เอ่อร์อยากให้ฉันพามู่หยิงกับมู่หนานไปด้วย แต่บัตรมีไม่เยอะ ครั้งหน้าแล้วกัน” หนิงฉิงกำลังคุยกับหนิงเวย

 

 

           มู่หยิงได้ยินประโยคนี้ ยังไม่ทันได้ดีใจ ก็ตกลงเหวลึกอีกครั้ง…

 

 

           ฉินอวี่ส่งบัตรมาให้เธอสองใบ หนิงฉิงน่าจะมีอีกใบอยู่สินะ

 

 

           เธอจะพาใครไปกันนะ

 

 

           หนิงเวยยิ้ม “จะพาพวกเขาไปทำไม ไปให้พี่ขายหน้าหรือไง”

 

 

           “แม่” มู่หยิงขมวดคิ้ว

 

 

           “เดี๋ยวฉันจะขึ้นเครื่องไปเมืองหลวงแล้ว วันนี้เลยมาก่อนเวลา” หนิงฉิงพูดเสร็จ น้ำเสียงก็อ่อนลง หันหน้าไปมองเธอ “แกจะไปกับแม่ไหม”

 

 

           มู่หยิงกำลังคุยกับเฉินซูหลานอยู่ พอได้ยินคำพูดของหนิงฉิง เธอก็อดเงยหน้ามองฉินหร่านไม่ได้

 

 

           เม้มปากแน่น

 

 

           ฉินหร่านพิงโต๊ะ ยืนอย่างเกียจคร้าน “ไม่ละ”

 

 

           “แก…” ตอนนี้หนิงฉิงพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ เธอเดินไปหาฉินหร่าน ล้วงบัตรใบหนึ่งออกมาให้ฉินหร่าน “นี่บัตร จะไปไม่ไปตามใจแก”

 

 

           ฉินหร่านเลิกคิ้ว

 

 

           ยังไม่ทันเอ่ยปาก เฉินซูหลานที่นั่งอิงหมอนก็กระแอมไอ “หรานหร่าน ไปหาหมอ ขอยามาให้ยายหน่อย”

 

 

           ต่อหน้าคุณยาย ฉินหร่านก็ไม่อยากทะเลาะกับหนิงฉิง เธอกำมือถือ ไปหาหมอประจำตัวของเฉินซูหลานทันที

 

 

           เฉินซูหลานตั้งใจให้ฉินหร่านออกไป ทั้งสองคนจะได้ไม่ทะเลาะกัน

 

 

           ตอนนี้ฉินหร่านหมดความอดทนกับหนิงฉิงขึ้นทุกทีแล้ว

 

 

           พอฉินหร่านออกไป หนิงฉิงก็มองเฉินซูหลานอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย “แม่ ให้ท้ายหลานอีกแล้ว แบบนี้เมื่อไหร่หลานจะก้าวหน้าล่ะ ก่อนหน้านี้เธอบอกกับน้าว่าจะสอบเข้ามหาลัยเมืองหลวง มักใหญ่ใฝ่สูง ทะเยอทะยานไม่เบาเลย มีคนตั้งเท่าไหร่รอหัวเราะเยาะเธอ”

 

 

           ทั้งสกุลหลิน สกุลเมิ่ง…

 

 

           เมื่อได้ยินหนิงฉิงพูดแบบนี้ มู่หยิงก็กำมือแน่น เธอเงยหน้ามองหนิงฉิงแวบหนึ่ง ในใจตกตะลึง ที่แท้พี่ฉินหร่านไม่ได้บอกผลการสอบกลางภาคครั้งนี้ให้คุณป้ารู้หรอกเหรอ

 

 

           เธอไม่ค่อยเข้าใจว่าฉินหร่านกำลังคิดอะไรอยู่

 

 

           เฉินซูหลานที่กำลังก้มลงดื่มน้ำชะงักไป

 

 

           เธอเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเป็นประกาย “หรานหร่าน…หรานหร่านบอกว่าจะสอบเข้ามหาลัย…แค่กๆ…”

 

 

           ยังพูดไม่จบประโยค เฉินซูหลานก็ไออย่างรุนแรง

 

 

           แทบจะไอจนปอดหลุดออกมาแล้ว

 

 

           ใบหน้าสีขาวแดงขึ้นอย่างไม่ปกติ

 

 

           ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าเธอจะหยุดไอ มือที่เต็มไปด้วยรอยเ**่ยวย่นคว้าข้อมือของหนิงฉิง “หรานหร่านเคยบอกว่าเธอจะสอบเข้ามหาลัยเมืองหลวง”

 

 

           “แม่ ใจเย็นๆ” หนิงฉิงลูบหลังของเธออย่างกังวล “เพราะเธอได้ยินอวี่เอ่อร์จะสอบเข้ามหาลัยเมืองหลวงน่ะสิ เลยบอกว่าจะสอบเหมือนกัน ไม่ต้องพูดถึงผลการเรียนที่ผ่านมาของเธอ แค่ดูเธอตอนนี้สิ เส้นทางศิลปะก็ไม่เอา แม่ว่าเธอเหมือนคนที่จะสอบเข้ามหาลัยเมืองหลวงได้เหรอ”

 

 

           เฉินซูหลานไออีกครั้ง เธอเอนตัวพิงหมอน นัยน์ตาขุ่นมัวมองออกไปข้างนอก “ไม่ว่ายังไง หรานหร่านฉลาดขนาดนั้น ต้องสอบติดแน่นอน”

 

 

           หนิงฉิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

 

 

           แม่เข้าข้างฉินหร่านมาตั้งแต่เด็ก อีกคนพูดอะไรเธอก็เชื่อไปหมด

 

 

           “ประโยคนี้เก็บไว้พูดกับตัวเอง บอกคนในบ้านได้ แต่อย่าไปพูดต่อหน้าคนนอก” หนิงฉิงมองเวลาแวบหนึ่งแล้วหยิบกระเป๋า “คนอื่นจะได้ไม่หัวเราะเยาะเอา”

 

 

           หลังพูดจบ หนิงฉิงก็กำชับหนิงเวยอีกไม่กี่ประโยคให้ดูแลเฉินซูหลาน จากนั้นก็ถือกระเป๋ากุลีกุจอออกไป

 

 

           …

 

 

           พอหนิงฉิงไปแล้ว เฉินซูหลานก็เพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้

 

 

           เธอหยิบกล่องเก่าๆ ออกมาจากใต้หมอน ยื่นให้มู่หยิงที่ยืนอยู่ข้างเตียง “เอาเจ้านี่ ใส่ลงในกระเป๋าของพี่ฉินหร่าน”

 

 

           พูดประโยคนี้เสร็จก็หลับตาเอนตัวลงไป เมื่อครู่ไอไปนานขนาดนั้น เธออ่อนแรงเป็นอย่างมาก

 

 

           มู่หยิงรับมาแล้วมองแวบหนึ่ง ข้างในหนักมาก ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

 

 

           แต่เธอก็ไม่ได้สนใจมากนัก

 

 

           กระเป๋าของฉินหร่านวางอยู่ตรงขอบโต๊ะ มู่หยิงรูดซิปออก หนังสือเล่มหนึ่งหล่นออกมาจากกระเป๋า

 

 

           มู่หยิงยัดกล่องใส่กระเป๋าสีดำ ก้มลงเก็บหนังสือ มันเป็นวรรณกรรมภาษาต่างประเทศใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่ง มองไม่ออกว่าเป็นภาษาอะไร

 

 

           ตอนที่เก็บขึ้นมา หน้าหนังสือก็แยกออกนิดหน่อย บัตรสองใบตกลงมาจากหนังสือ

 

 

           มู่หยิงเห็นบัตรสองใบนั้นชัดเจน เป็นบัตรวีไอพีของงานดนตรี

 

 

           ชัดเจนอย่างยิ่งว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉินหร่านจะมีได้ คงจะเป็นบัตรที่ฉินอวี่ส่งกลับมาให้

 

 

           มือกำบัตรไว้แน่น มู่หยิงเม้มปาก ทั้งที่ฉินหร่านบอกเองแท้ๆ ว่าจะไม่ไปเมืองหลวง และไม่อยากไปดูงานดนตรีด้วย แล้วบัตรสองใบนี้หมายความว่าอย่างไร

 

 

           “มู่หยิง ทำไมเก็บหนังสือนานขนาดนั้น” มู่หนานนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าต่างมาตลอด ก้มหน้าท่องคำศัพท์อยู่

 

 

           มู่หยิงไม่พูดอะไร แค่ถือบัตรในมือไว้แน่นก็เท่านั้น

 

 

           ฉินหร่านถือยาสองแผง เธอนึกถึงคำพูดของหมอประจำตัว ช้อนตาขึ้นเล็กน้อย หยุดอยู่ตรงทางเดินพักใหญ่ จากนั้นค่อยผลักประตูเข้าไปในห้องของเฉินซูหลาน

 

 

           พอเข้ามา เธอก็เห็นมู่หยิงถือหนังสือของเธอ ยืนอยู่ข้างโต๊ะ

 

 

           ฉินหร่านไม่ได้สนใจอะไรมาก ยื่นยาให้หนิงเวยอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์มากนัก ให้เธอละลายยากับน้ำให้เฉินซูหลานดื่ม

 

 

           “พี่ฉินหร่าน พี่ไม่ไปงานดนตรี ทำไมไม่ยอมยกโอกาสนี้ให้ฉันล่ะ” มู่หยิงกัดริมฝีปาก น้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “ทั้งๆ ที่ได้ยินคุณป้าบอกว่าจะพาฉันกับมู่หนานไป แต่พี่กลับไม่เอาบัตรสองใบนี้ออกมา”

 

 

           มู่หนานลุกออกจากเก้าอี้ เดินเข้ามาเอาหนังสือไปจากมือมู่หยิงด้วยใบหน้าเย็นเยือก “พล่ามอะไรของเธอน่ะ”

 

 

           “ฉันไม่ได้พล่าม” มู่หยิงเดินไปยืนหน้าฉินหร่าน โยนบัตรสองใบใส่หน้าเธอ “นี่เป็นบัตรวีไอพีของงานดนตรี ถ้าไม่ใช่พี่ฉินอวี่ส่งมาให้พี่จะไปเอามาจากไหน”

 

 

 

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset