เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 148 ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ข้างบ้าน

หนิงเวยกำลังละลายยาให้เฉินซูหลานอยู่ พอได้ยินประโยคนี้ ก็เงยหน้าทันที

 

 

           เธอรีบเดินเข้าไป ตอนเดินรู้สึกกระวนกระวายไม่น้อยเลย

 

 

           กะเผลกๆ มา

 

 

           “มู่หยิง อวี่เอ่อร์ส่งบัตรมาให้แค่สองใบ นี่จะใช่บัตรที่เธอส่งมาได้ยังไง แกทำบ้าอะไรของแกน่ะ” เธอย่อตัวลงเก็บบัตรที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา “รีบขอโทษพี่เขาซะ!”

 

 

           “แค่กๆ…” บนเตียงผู้ป่วย เฉินซูหลานที่กำลังจะเคลิ้มหลับตื่นแล้ว

 

 

           อันที่จริงหลังมู่หยิงโยนบัตรทิ้ง ก็เริ่มสำนึกผิดแล้ว

 

 

           เธอนึกถึงข่าวลือต่างๆ นานาของฉินหร่าน

 

 

           “บัตรนั่นฉันเป็นคนให้หรานหร่านเอง” เฉินซูหลานไออีกที เสียงพูดอ่อนแรง “อาจารย์ที่เคยสอนหรานหร่านคนหนึ่งส่งมาให้เธอ”

 

 

           ฉินหร่านจะมีครูส่งบัตรเข้าชมมาให้เธอได้อย่างไร

 

 

           ฉินหร่านมองเฉินซูหลานที่อยู่ข้างหลังแวบหนึ่ง จากนั้นเดินไปข้างๆ ก้าวหนึ่ง พยักพเยิดไปทางประตูห้องผู้ป่วย พูดอย่างเดาอารมณ์ไม่ออกว่า “ไสหัวออกไป”

 

 

           มู่หยิงมองฉินหร่าน เม้มปากแน่น “ขอโทษค่ะ พี่ฉินหร่าน”

 

 

           ฉินหร่านรับบัตรมา และรับหนังสือที่มู่หนานยื่นมาให้ สอดบัตรเข้าไปในหนังสือ ใส่กลับเข้าไปในกระเป๋า พูดซ้ำอีกครั้งว่า “ไสหัวออกไป”

 

 

           หนิงเวยกับมู่หนานไม่พูดอะไร เฉินซูหลานเองก็หลับตาพริ้ม

 

 

           คนทั้งห้องผู้ป่วยล้วนยืนข้างฉินหร่าน

 

 

           นัยน์ตาของมู่หยิงแดงก่ำ ไม่พูดอะไร วิ่งออกไปทันที

 

 

           “หรานหร่านต้องขอโทษด้วย” หนิงเวยมองไปทางที่มู่หยิงวิ่งออกไป จากนั้นยื่นบัตรให้ฉินหร่าน “หยิงหยิงน่ะ…เป็นเพราะน้าสั่งสอนไม่ดีเอง…”

 

 

           หนิงเวยนั่งลงบนเก้าอี้ ยกมือขึ้นปิดหน้า

 

 

           ตอนนี้สามีของเธอยังอยู่ในสภาพผัก ปกติเธอจะวนเวียนอยู่แค่กับงานไม่ก็โรงพยาบาล เธอละเลยเด็กสองคนนี้ไปแล้วจริงๆ

 

 

           “ไม่เป็นไร คุณน้าเองก็ไม่ได้สอนมู่หนาน แต่เขาเป็นคนดีมาก” ฉินหร่านหยิบเป้ขึ้นมาแล้วสะพายหลัง น้ำเสียงเฉยชา

 

 

           วันนี้ฉินหร่านไม่มีอารมณ์ เธอบอกลาเฉินซูหลานแล้วออกจากห้องผู้ป่วย

 

 

           มู่หนานส่งเธอออกมาอย่างเงียบงันไม่พูดอะไร

 

 

           ประตูลิฟต์เปิดออก มู่หนานเอ่ยปากแล้ว สีหน้าไร้อารมณ์ “ฉันเห็นคะแนนของเธอบนบอร์ด”

 

 

           ฉินหร่าน “…”

 

 

           “646 คะแนน ทำได้ดีมาก”

 

 

           ฉินหร่าน “…”

 

 

           เป็นเพราะมู่หนาน ความหงุดหงิดจากเรื่องน่าปวดหัวเรื่องนั้นจึงอันตรธานหายไป

 

 

           มู่หนานมองเธอแวบหนึ่ง เม้มปาก ใบหน้ายังคงไร้อารมณ์ “คืนสมุดของพี่ซ่งมาให้ฉัน”

 

 

           ฉินหร่าน “…”   

 

 

           …        

 

 

           เมื่อออกจากโรงพยาบาล ฉินหร่านไม่ได้ตรงไปที่สนามบิน แต่ไปธนาคารก่อนแล้วค่อยเรียกรถไปที่สนามบิน

 

 

           16.55 น. สนามบินเมืองหลวง

 

 

           พอหนิงฉิงลงจากเครื่องบิน ก็เห็นฉินอวี่มารอเธอแล้ว

 

 

           “อวี่เอ่อร์” หนิงฉิงโบกมือให้ฉินอวี่ เร่งฝีเท้าขึ้น

 

 

           “แม่ นี่เป็นคนขับรถของสกุลเสิ่น” ฉินอวี่หันหน้าไปแนะนำผู้ชายที่ใส่สูทสีดำข้างๆ เธอ

 

 

           หนิงฉิงมองไป ชายคนนั้นรับสัมภาระไปจากมือเธอ เขาสวมชุดสูทเรียบร้อย ใบหน้าเฉยชา มาดดูเคร่งขรึมมาก

 

 

           เธอแอบตกใจ ไม่คิดว่าแม้แต่คนขับรถของสกุลเสิ่นก็ไม่ธรรมดาแล้ว

 

 

           ฉินอวี่เคยชินแล้ว เธอมองไปข้างหลังของหนิงฉิงแวบหนึ่งแล้วเลิกคิ้ว “แม่ พี่ไม่มาจริงๆ เหรอ”

 

 

           “อืม” พอพูดถึงเรื่องนี้หนิงฉิงก็เผลอขมวดคิ้ว เธอเดินออกไปข้างนอกพร้อมฉินอวี่ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เลิกพูดถึงเธอเถอะ”

 

 

           เฉินซูหลานบอกว่าเธอยังเด็ก ไม่ต้องรีบร้อนอะไร

 

 

           แต่ฉินอวี่เด็กกว่าเธอตั้งหนึ่งปี นี่ไม่ใช่ปัญหาที่อายุน้อยหรือไม่น้อยเลยสักนิด  

 

 

           มองเหตุการณ์ไม่รอบด้าน ไม่เคยคว้าโอกาสอะไรไว้เลย ไวโอลินที่ฝึกมาตั้งแต่เด็กก็ถอดใจไปแล้ว

 

 

           ไม่ควรจะเสียเวลาเหล่านี้กับเธอเลยแม้แต่นิด

 

 

           ทั้งสองขึ้นรถไปด้วยกัน รถไม่ได้มุ่งหน้าไปที่สกุลเสิ่น แต่เป็นโรงแรมแห่งหนึ่ง

 

 

           แม้จะไม่ค่อยสบายใจมากนัก แต่หนิงฉิงก็โล่งใจอย่างไม่รู้ตัวเช่นกัน

 

 

           แค่หลินหว่านคนเดียวก็รับมือไม่ค่อยไหวแล้ว สกุลเสิ่นมีคนเยอะขนาดนั้น ถึงตอนนั้นจะหายใจไม่ออกแน่

 

 

           ยามของโรงแรมรับสัมภาระไปจากมือหนิงฉิง

 

 

           “แม่ จัดการเช็กอินเรียบร้อยหมดแล้ว นี่เป็นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง คุณอาเปิดห้องชั้น 56 ให้ ชมวิวกลางคืนของเมืองหลวงได้ด้วย” ฉินอวี่พาเธอขึ้นลิฟต์ “เดี๋ยวส่งแม่ถึงห้องแล้ว หนูต้องกลับไปก่อน คืนนี้ท่านเสิ่นจะกลับบ้าน คุณอาให้หนูไปเล่นไวโอลินให้ท่าน”

 

 

           “งั้นแกรีบกลับไปฝึกไวโอลินเถอะ” เมื่อรู้ว่าผู้เฒ่าสกุลเสิ่นชอบฉินอวี่ หนิงฉินก็ไม่กล้าทำให้ฉินอวี่เสียเวลา

 

 

           ฉินอวี่ใช้การ์ดสแกนตรงประตูห้อง พูดเสียงเรียบว่า “ไม่ได้รีบขนาดนั้นหรอก ให้พวกเขารอสักหน่อยได้”

 

 

           เธอกล้าพูดแบบนี้ คงเพราะมีคนคุ้มกะลาหัวเป็นแน่ หนิงฉิงรู้ว่าฉินอวี่อยู่ที่สกุลเสิ่นดีกว่าที่เธอจินตนาการไว้มาก

 

 

           “แม่ ดูข้างนอกสิ” ฉินอวี่ใช้รีโมทเปิดม่าน ยืนอยู่ข้างบานกระจก มองดูวิวยามค่ำคืนในเมือง จากนั้นเอี้ยวตัว แววตาเป็นประกาย “สกุลเสิ่นเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของเมืองหลวง ในเมืองปักกิ่ง สกุลเสิ่นก็อยู่แค่ระดับล่างสุดก็เท่านั้น”

 

 

           ฤดูหนาวอากาศเย็น และฟ้าก็มืดไวด้วย

 

 

           แต่ข้างนอก เป็นวิวยามราตรีที่เต็มไปด้วยแสงหลากสีสันของไฟ

 

 

           หนิงฉิงบิดฝาขวดออกแล้วดื่มน้ำ ได้ฟังดังนั้นก็มองฉินอวี่

 

 

           ฉินอวี่หันกลับมา เธอหยิบมือถือออกมาแล้วยิ้ม “พี่ไม่มาด้วย น่าเสียดายจริงๆ”

 

 

           …

 

 

           ฉินหร่านที่ถูกฉินอวี่พูดถึง ตอนนี้เพิ่งถึงสนามบิน

 

 

           เธอสวมเสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีขาว ข้างนอกทับด้วยเสื้อโค้ต ฮู้ดของเสื้อกันหนาวคลุมหัว หิ้วกระเป๋าเดินตรงไปทางแท็กซี่

 

 

           ส่งข้อความให้ลู่จ้าวอิ่งก่อน บอกว่าตัวเองถึงบ้านญาติแล้ว

 

 

           ลู่จ้าวอิ่งที่อยู่บนเครื่องบินแล้วส่งสติกเกอร์ ‘OK’ ให้เธอ จากนั้นก็มองเฉิงเจวี้ยนที่นั่งอยู่ข้างหน้า “ท่านเจวี้ยน ฉินเสี่ยวหรานบอกว่าถึงบ้านญาติแล้ว”

 

 

           เฉิงเจวี้ยนตอบอืมอย่างเอื่อยเฉื่อย จากนั้นก็ดึงผ้าคลุมบนตัวขึ้นเล็กน้อย

 

 

           ฉินหร่านที่อยู่ในสนามบินเมืองหลวงเพิ่งหย่อนมือถือใส่กระเป๋า

 

 

           มันแผดเสียงอีกครั้ง

 

 

           ฉินหร่านใส่หูฟัง เป็นสายจากกู้ซีฉือ

 

 

           “เพิ่งกลับมา ถึงเซี่ยงไฮ้แล้ว” เสียงของกู้ซีฉือเอื่อยเฉื่อย ฟังออกว่าเหนื่อยล้า “พรุ่งนี้จะไปหาเธอที่อวิ๋นเฉิง จากนั้นเอาพวกเครื่องมือของฉันไปหายายของเธอ”

 

 

           ฉินหร่านกำลังเข้าแถวรอรถ เธอดึงฮู้ดของเสื้อกันหนาวลง ยืนพิงราวกั้นข้างๆ อยู่อย่างนั้น ขายาวไขว้กัน แลดูป่าเถื่อนอย่างเอาแต่ใจ “ไม่ต้อง ฉันอยู่เมืองหลวง”

 

 

           กู้ซีฉือที่อยู่ปลายสายขำน้อยๆ เขาเทน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง “งั้นฉันไม่ไปเมืองหลวงแล้ว ในเมืองนั่นเป็นดงหมาป่าชัดๆ มีคนตั้งเท่าไหร่อยากจับตัวฉัน”

 

 

           “อืม” แถวขยับเล็กน้อย ฉินหร่านเห็นว่าจะถึงคิวตัวเองแล้ว จึงเดินไปข้างหน้าสองก้าว “รอฉันกลับอวิ๋นเฉิงก่อนค่อยว่ากัน ยายฉัน…นายยังไม่ต้องไปเยี่ยม”

 

 

           เสียงของเธอผิดปกติ มือของกู้ซีฉือชะงัก ลุกขึ้นจากโซฟา “เป็นอะไรหรือเปล่า”

 

 

           “ค่ารังสีสูง อวัยวะเสื่อมสมรรถภาพผิดปกติ” ฉินหร่านเห็นแท็กซี่คันหนึ่งแล่นเข้ามา เอ่ยเสียงเรียบว่า “แพ้ยาส่วนใหญ่”

 

 

           น้ำที่กู้ซีฉือดื่มแทบจะพุ่งออกมา เขาไออยู่นานมาก “ยายเธอโดนรังสีเหรอ รังสีอะไร รังสีคอมพิวเตอร์จากช่างซ่อมคอมข้างบ้านเธอน่ะเหรอ”

 

 

           “บอกกี่รอบแล้วว่า อาลู่ไม่ใช่ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์” แท็กซี่จอดอยู่ข้างๆ ฉินหร่านเปิดประตูข้างหลัง หย่อนตัวนั่งลง จากนั้นแก้ไขคำพูดของกู้ซีฉือ

 

 

           กู้ซีฉือทำได้แค่ตอบส่งๆ ไปว่า “โอเค ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ พอใจหรือยัง”

 

 

           เพิ่งจะวางสาย

 

 

           ก็มีข้อความของเว่ยจือหังโผล่มาในวีแชท

 

 

           ‘เจ๊ฉิน เฉียวเซิงบอกว่าวันนี้เธอลา เข้าเมืองหลวงไปแล้วใช่ไหม’

 

 

           ฉินหร่านพิมพ์ตอบเขากลับไปอย่างเชื่องช้าว่า

 

 

           ‘อืม’

 

 

           ทางด้านเมืองอวิ๋นเฉิง เว่ยจื่อหังที่กำลังกินบะหมี่กับเฉียวเซิงที่ร้านบะหมี่เนื้อร้านนั้นวางตะเกียบลง แล้วหยิบกระดาษขึ้นเช็ดปาก ต่อสายหาใครบางคนอย่างนิ่งสงบ “ซื้อตั๋วเครื่องบินไปเมืองหลวงไฟล์ทที่เร็วที่สุดให้ฉันหน่อย”

 

 

           เฉียวเซิงนั่งไขว่ห้างอยู่ฝั่งตรงข้าม พอได้ยินก็เงยหน้าขึ้น “ทำไมแต่ละคนไปเมืองหลวงกันหมดเลยล่ะ”

 

 

           หากไม่ใช่เพราะเว่ยจื่อหังไม่ชอบฉินอวี่ เฉียวเซิงคงคิดว่าเขาไปดูการแสดงดนตรีของฉินอวี่ด้วยแล้ว

 

 

           ข้อมูลไฟล์ทบินถูกส่งเข้ามาที่มือถือของเว่ยจื่อหังอย่างรวดเร็ว

 

 

           ดวงตาคมของเว่ยจื่อหังหรี่ลง ก้มมองแวบหนึ่งแล้ววางตะเกียบลง อ่อนโยนมาก ไม่มีมาดของหัวโจกโรงเรียนเลยแม้แต่นิด “นายค่อยๆ กินนะ ฉันไปสนามบินก่อนละ”

 

 

           …        

 

 

           เซี่ยงไฮ้

 

 

           กู้ซีฉือวางสาย เอนตัวลงบนโซฟาอีกครั้ง ก้มหน้าส่งข้อความให้ฉินหร่านส่งแฟ้มผู้ป่วยของเฉินซูหลานมาให้เขา

 

 

           คราวนี้ลุกขึ้น หยิบโน้ตบุ๊กออกมา คัดลอกที่อยู่เว็บไซต์จากหน้าโต๊ะแล้วกดเข้าสู่เว็บไซต์

 

 

           เว็บไซต์นี้เป็นเว็บไซต์ของสมาคมแฮ็กเกอร์ที่เขาซื้อมาด้วยเงินหนึ่งล้าน

 

 

           ตำรวจอาชญากรรมสากลให้เขามา คนที่สืบเรื่องของเขามีเยอะเหลือเกิน ตำรวจคนนั้นถูกเขาตื๊อจนทนไม่ไหว จึงให้เขาจ่ายเงินแล้วโยนที่อยู่เว็บไซต์นี่มาให้เขา

 

 

           เขาเปิดเว็บไซต์ หน้าหลักขาวโพลน กล้องของโน้ตบุ๊กเปิดอัตโนมัติ หลังตรวจสอบใบหน้าของเขาแล้วก็ล็อกอินเข้าสู่ระบบหลังบ้านของลูกค้าทันที

 

 

           ด้านบนเป็นออเดอร์เมื่อไม่กี่วันก่อนของกู้ซีฉือ

 

 

           กู้ซีฉือดื่มน้ำคำหนึ่งแล้ววางแก้วลง

 

 

           กดยืนยันโดยตรง นิ้ววางอยู่บนแป้นพิมพ์ กำลังพิมพ์ประเมินอย่างไม่รีบร้อน

 

 

           doctorGU ‘ความสามารถในการทำงานของพวกคุณสุดยอดมาก แค่แป๊บเดียวก็จัดการปัญหาให้ฉันได้แล้ว นอกจากชื่อหลี่ต้าจ้วงที่น่าเกลียดไปหน่อย อย่างอื่นดีหมดทุกอย่าง’

 

 

           อีกฝ่ายคืนเงินให้ทันที

 

 

           จากนั้นส่งเครื่องหมายคำถามกลับมา

 

 

           ‘…พวกเรายังไม่ได้เริ่มทำงานเลย’

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset