เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 160 ติดต่อกู้ซีฉือ ทุกฝ่ายปฏิบัติการ

มู่หนานได้แต่มองฉินหร่านอย่างเงียบๆ

 

 

หนิงเวยดิ้นหลุดจากมือมู่หนาน เธอเดินไปข้างหน้าสองก้าวโซซัดโซเซเล็กน้อย ทว่าเธอยังเดินไปที่ข้างเตียงของตัวเองโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

 

 

จากนั้นก็ยิ้มจางๆและหันไปมองฉินหร่าน “เธอดูสิ น้าไม่ได้เป็นอะไรสักนิด ยังดีๆ อยู่เลย แต่ไหนแต่ไรมาขาข้างนี้ก็เดินไม่คล่องอยู่แล้ว เธอก็รู้นี่ว่าจะตัดหรือไม่ตัดก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากนัก…”

 

 

ไม่สำคัญ?

 

 

หนิงเวยเป็นคนทระนงตัวมากแค่ไหน ทำไมฉินหร่านจะไม่รู้?

 

 

ไม่ว่าจะในที่ลับหรือที่แจ้งเธอเสียพลังใจไปไม่น้อยกับขาคู่นี้ของหนิงเวย ทุกวันได้แต่เฝ้ามองขาเธอหายดีขึ้นเรื่อยๆ

 

 

แต่ตอนนี้…

 

 

ฉินหร่านหยิบเอกสารเคสผู้ป่วยที่อยู่บนเตียง เธออ่านตั้งแต่ต้นจนจบ ในที่สุดก็วางมือลงบนเตียงผู้ป่วย

 

 

พวกเขาไม่พูด เธอก็จะตรวจสอบเอง ตรวจสอบไปทีละแห่ง

 

 

เธอไม่มองมู่หนานหรือหนิงเวย แต่เอื้อมมือรั้งพยาบาลคนหนึ่งไว้ด้วยดวงตาแดงก่ำ เธอยังคงสะกดกลั้นอารมณ์ไว้และเอียงศีรษะเล็กน้อย “ขอโทษนะคะ คุณหมอหลี่อวิ๋นอยู่ไหน?”

 

 

พยาบาลมองเธอ ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำราวกับย้อมด้วยเลือด ทั้งเย็นชาและดุร้าย ทำให้คนที่ได้สบตาถึงหนาวเหน็บ

 

 

“อยู่…อยู่ห้องผู้ป่วยนอกชั้นสาม ใกล้จะเลิกงานแล้ว”

 

 

“ขอบคุณค่ะ” ฉินหร่านพยักหน้าให้เธออย่างสุภาพ จากนั้นก็เอื้อมมือถอดหมวกเสื้อกันหนาวที่คลุมบนหัวโดยไม่พูดอะไรอีกและเดินตรงเข้าไปในลิฟต์

 

 

หลังจากที่เธอไป หนิงเวยก็พยุงตัวอยู่บนเตียงผู้ป่วยไม่ไหวแล้ว

 

 

เหงื่อเม็ดโตบนหน้าผากไหลลงมาเป็นเม็ดๆ

 

 

เธอยื่นมือไปจับแขนมู่หนานพลางเงยหน้า “มู่หนาน ตามลูกพี่ลูกน้องแกไป อย่าให้เธอรู้ว่าเป็นโรงงานเรา”

 

 

มู่หนานช่วยพยุงเธอขึ้นเตียงผู้ป่วย ลากโต๊ะที่อยู่ปลายเตียง หลังจากจัดวางอาหารเสร็จก็ถึงจะตามฉินหร่านไปอย่างเงียบๆ

 

 

**

 

 

ชั้นสาม

 

 

แผนกผู้ป่วยนอกเลิกงานนานแล้ว แต่เนื่องจากวันนี้หลี่อวิ๋นยังต้องดูแลนักศึกษาฝึกงาน คอยสอนพวกเขาเกี่ยวกับวิธีใส่ท่อช่วยหายใจ

 

 

หลังจากแสดงตัวอย่างครบสามรอบ เธอก็ถอดเสื้อกาวน์และเดินไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

 

 

วันนี้เธอทำงานถึงตรงนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว

 

 

ทันทีที่ออกจากห้องก็เห็นสายตาเย็นชาคู่หนึ่ง

 

 

“รบกวนสักครู่ ฉันอยากจะถามอาการคนไข้เตียง 72 หน่อยค่ะ”

 

 

หนึ่งนาทีต่อมา ที่ห้องทำงานในหอผู้ป่วยของโรงพยาบาล หลี่อวิ๋นได้นำผลการวินิจฉัยของหนิงเวยออกมาให้ฉินหร่านดู “โครงสร้างเนื้อเยื่อของผู้ป่วยได้รับความเสียหายอย่างหนักจนไม่มีทางรักษาได้อีกต่อไป ถ้าไม่รีบตัดขาโดยเร็วที่สุดอาจจะเกิดโรคที่คุกคามถึงแก่ชีวิตผู้ป่วย คุณเป็นญาติผู้ป่วย คุณควรจะเข้าใจว่าการทำการตัดอวัยวะแต่ละส่วน เราทำอย่างระมัดระวัง….”

 

 

ตอนนี้ในหัวฉินหร่านเกิดอาการสับสน หว่างคิ้วย่นเข้าหากันอย่างเห็นได้ชัด

 

 

เธอรู้จักทุกคำในผลการวินิจฉัย แต่พอมาปะติดปะต่อกันเธอกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย

 

 

“ผมถามมาแล้ว” มู่หนานที่ยืนอยู่ข้างนอกพูดออกมาอย่างใจเย็น

 

 

ฉินหร่านยังคงยืนตัวตรง ไม่หันกลับไป

 

 

“คุณหมอหลี่ ฉันต้องการย้ายไปโรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งโดยเร็วที่สุด” ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีแพทย์ที่มีชื่อเสียงจำนวนมากจากทั่วทุกมุมโลกย้ายมาที่โรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งในอวิ๋นเฉิง

 

 

ผลที่ตามมาคือคนไข้หลั่งไหลเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ

 

 

ในวงการทางการแพทย์ต่างรู้เรื่องพวกนี้ดี

 

 

หลี่อวิ๋นพยักหน้า “ได้ แต่ยังไงผลการวินิจฉัยก็ออกมาเหมือนกัน พวกคุณเตรียมใจให้พร้อม”

 

 

เนื่องจากโรงพยาบาลของพวกเขามีขนาดเล็ก การที่ญาติผู้ป่วยไม่ยอมรับผลการวินิจฉัยนี้ เธอเองก็เข้าใจดี 

 

 

อย่างไรก็ตามโดยพื้นฐานแล้วผลการวินิจฉัยก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก

 

 

เนื่องจากผู้ป่วยอยู่ในขั้นตัดอวัยวะซึ่งเป็นสภาวะฉุกเฉิน การส่งมอบผู้ป่วยระหว่างสองโรงพยาบาลจึงเป็นไปด้วยความรวดเร็ว

 

 

หลี่อวิ๋นไม่เคยทำเรื่องย้ายโรงพยาบาลเร็วขนาดนี้มาก่อน

 

 

เธอสวมเสื้อกาวน์อีกครั้งและขอให้พยาบาลฝึกหัดข้างๆตรวจสอบสถานการณ์ผู้ป่วย ในขณะที่รวบรวมข้อมูล รถพยาบาลก็มาถึง

 

 

เมื่อทั้งสองฝ่ายทำการยืนยัน กระบวนการส่งมอบจึงทำไม่ถึงสิบนาที

 

 

ดูเหมือนว่าหัวหน้าทีมจะดูคุ้นหน้าคุ้นตา

 

 

เมื่อรถพยาบาลของโรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งออกไป ทันใดนั้นหลี่อวิ๋นก็จำหน้าหัวหน้าคนนั้นได้ นั่นคือหัวหน้าแผนกศัลยกรรมของโรงพยาบาลแห่งที่หนึ่งที่ทำรายงานการวิจัยที่อวิ๋นเฉิงครั้งที่แล้วไม่ใช่หรือ?

 

 

หลี่อวิ๋นถือกระเป๋าพลางคิดด้วยความประหลาดใจ

 

 

ตอนที่เห็นสภาพของมู่หนานกับหนิงเวย เธอยังคิดเลยว่าเป็นคนน่าสงสารที่ถูกโรงงานกลั่นแกล้ง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองจะไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เธอคิด

 

 

อย่างน้อยเด็กผู้หญิงสวมชุดนักเรียนที่ดูมุทะลุคนนั้นก็ดูไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป

 

 

**

 

 

โรงพยาบาลแห่งที่หนึ่ง

 

 

หนิงเวยเห็นว่าได้เปลี่ยนโรงพยาบาลและยังพักห้องเดี่ยว จากนั้นก็มีกลุ่มแพทย์เข้ามาทันทีทันใด เธออึกอักอยู่ในลำคอ

 

 

ได้รับการตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญ

 

 

เธอยังไม่ทันได้คิดเลยว่าฉินหร่านที่เป็นเพียงเด็กชั้นมัธยมคนหนึ่งจะเตรียมการแบบนี้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

 

 

ในเวลานี้เธอพยายามลุกขึ้นนั่ง

 

 

“หร่านหร่าน ขาน้า น้ารู้ดี” หนิงเวยกล่าว “หรือเธอไปหาหลิน…”

 

 

กลุ่มผู้เชี่ยวชาญยังคงปรึกษาหารือกันเบาๆ

 

 

ฉินหร่านก้มหน้า เธอยื่นมือถอดชุดนักเรียนที่เป็นเสื้อนอกออก เหลือเพียงเสื้อกันหนาวสีขาว จากนั้นก็พูดด้วยเสียงเรียบๆ “เปล่า ฉันไม่ได้ไปหาตระกูลหลิน น้า เรื่องนี้น้าไม่ต้องเป็นห่วง”

 

 

หลังจากผู้เชี่ยวชาญหารือกันเสร็จแล้ว ทุกคนต่างก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

มีพยาบาลเข้ามาเพื่อช่วยหนิงเวยเจาะสายน้ำเกลือ หลายคนก็ได้พากันเข็นเตียงผู้ป่วยออกไปกันพึ่บพับ “เก็บตัวอย่าง ส่วนญาติผู้ป่วยก็ตามมา”

 

 

มู่หนานโล่งใจลงไปบ้างแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่ากลุ่มแพทย์จะมากะทันหันแบบนี้

 

 

เขามองฉินหร่าน

 

 

“ไม่ต้องห่วง” ฉินหร่านหันไปพยักหน้าให้เขา

 

 

เขาเชื่อความประหลาดในตัวฉินหร่าน แม้ในขณะนี้สถานการณ์จะเกินความคาดหมาย

 

 

แต่เขาไม่ได้ถามอะไรมาก เดินตามเตียงหนิงเวยที่กำลังทำการตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง

 

 

ส่วนฉินหร่านไม่ไป

 

 

เธอตามกลุ่มผู้เชี่ยวชาญไปที่ห้องสำนักงาน

 

 

กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกำลังปรึกษาหารือโดยอ้างอิงข้อมูลที่ได้รับมาจากหลี่อวิ๋นอยู่เป็นเวลานาน

 

 

ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ผลลัพธ์ที่ได้จากเครื่องมือที่แม่นยำก็ไม่ต่างจากผลการถ่ายทอดของหลี่อวิ๋นมากนัก

 

 

ผลที่ดีที่สุดหลังจากการวินิจฉัยก็ยังต้องตัดขา

 

 

ทุกคนที่ทราบผลต่างก็มองไปทางฉินหร่านซึ่งนั่งอยู่ที่ไกลที่สุดจากโต๊ะประชุม “คุณฉิน…”

 

 

เธอวางมือข้างหนึ่งไว้บนโต๊ะและอีกมือกำลังถือโทรศัพท์มือถือพลางจ้องไปที่ข้อมูลทางการแพทย์ที่วางอยู่ข้างมือเธอ

 

 

“เดี๋ยวก่อน” ไม่รู้ว่าฉินหร่านกำลังคิดอะไรอยู่ เธอลุกขึ้นและเดินไปหาหมอคนหนึ่งซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่กำลังเปรียบเทียบรูปในคอมพิวเตอร์อยู่ในห้องสำนักงาน

 

 

นี่เป็นบันทึกการทำงาน หมอหลีกทางให้เธอ

 

 

ฉินหร่านก้มหน้าลง นิ้วกดชุดรหัสเชื่อมต่อกับบัญชีส่วนตัวของกู้ซีฉือโดยตรง

 

 

ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ใบหน้างดงามก็ปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เขาพิงตัวอยู่บนเรือยอชต์ ลมกำลังพัดเสื้อผ้าเขา

 

 

“ฉันกำลังเที่ยวพักผ่อนอยู่นะ? มีอะไร ทำไมถึงเรียกฉันด่วนแบบนี้?” กู้ซีฉือเพิ่มเสียงเนื่องจากลมทะเลเสียงดัง จากนั้นก็กลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ยิน เขาจึงคลำหาหูฟังสีขาวในกระเป๋ากางเกงออกมาเสียบหูตัวเอง

 

 

แสงไฟบนเรือยอชต์สะท้อนใบหน้าของเขาทำให้ขาวเหมือนหิมะ

 

 

“หัวหน้าคะ คุณช่วยพูดแบบเมื่อกี้ให้เขาฟังอีกรอบได้ไหม?” ฉินหร่านเม้มริมฝีปาก เธอหันคอมพิวเตอร์ไปทางกลุ่มแพทย์ที่อยู่ในห้องสำนักงาน

 

 

กลุ่มแพทย์ในสำนักงานมองไปที่หน้าเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยความประหลาดใจ

 

 

อย่างไรก็ตามยังคงเป็นหน้าที่ของแพทย์ หมอจึงทำการรายงานอาการป่วยและข้อมูลต่างๆ

 

 

พอกู้ซีฉือได้ยินเสียงฉินหร่านก็รู้สึกแปลกๆ

 

 

เขาเดินเข้าไปข้างในเรือที่ไม่มีเสียงลมแล้ว สีหน้าค่อยๆจริงจังขึ้น “เส้นเลือดที่ต้นขาไม่สามารถทำการซ่อมแซมได้อย่างแน่นอน ผมเพิ่งได้วิจัยยาสลายลิ่มเลือด แต่ก็ไม่สามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อได้ คุณก็รู้ว่าผมไม่ใช่ศัลยแพทย์ แต่ผมถนัดเรื่องโรคติดต่อ โรคไวรัส หรือโรคประจำถิ่นรวมไปถึงอวัยวะมนุษย์ ทำการวิจัยเกี่ยวกับเซลล์ไวรัสและแบคทีเรียวิทยา”

 

 

“ผมทำได้แค่ช่วยคุณยับยั้งการแพร่กระจายของแบคทีเรียของคนไข้คนนี้และมั่นใจว่าเธอจะไม่เป็นอะไรมากจนต้องถูกตัดขา แต่ขาของเธอจะยังคงเป็นอัมพาตแต่ไม่ร้ายแรงถึงขนาดต้องตัดขา อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้ดีไปมากกว่านี้”

 

 

กู้ซีฉือส่ายหน้า เมื่อฟังคำพูดของเขา ศัลยแพทย์หลายคนในห้องก็อดไม่ได้ที่จะขัดจังหวะใบหน้าที่เบื่อหน่ายในวิดีโอ “ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร?”

 

 

ขาของหนิงเวยสภาพไม่ค่อยดี ผลรอบใหม่ออกมาคือตัดขา

 

 

ทว่าคนคนนี้กลับบอกว่าเขาสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้?

 

 

แบคทีเรียเป็นปัญหาที่ไม่สามารถควบคุมได้ในทางการแพทย์มาโดยตลอด เนื่องจากแบคทีเรียมีขนาดเล็กมากและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บนโลกนี้ยังมีแบคทีเรียอีกหลายล้านชนิดที่พวกเขายังไม่มีการวิจัยออกมา

 

 

เรียกรวมๆกันได้ว่าโคโลนีแบคทีเรีย

 

 

“ผมน่ะเหรอ? หมอเร่ร่อนที่โดนดรอปเรียน ไม่ใช่คนสำคัญอะไร” กู้ซีฉือพูดส่งๆ หลังจากคิดถึงเรื่องนี้แล้วเขาหันไปพูดกับฉินหร่าน “มีบางคน…ช่างเถอะ พรุ่งนี้ฉันก็ถึงแล้ว”

 

 

ครั้งสุดท้ายเป็นเพราะฉินหร่านบอกว่าไม่ให้เขาไปพบเฉินซูหลาน เขาจึงออกไปเที่ยวตามแพลนตัวเอง

 

 

ทุกครั้งที่ออกจากอวิ๋นเฉิงไปสามเดือน เขาจะลาให้ตัวเองหนึ่งครั้ง

 

 

ฉินหร่านวางสาย

 

 

ผลการตรวจส่วนใหญ่ของหนิงเวยออกมาแล้ว ฉินหร่านไม่ได้ไปที่ห้องผู้ป่วย

 

 

เธอออกจากประตูห้องสำนักงานและยืนอยู่บริเวณทางเดิน

 

 

ตามที่มู่หนานและหนิงเวยช่วยกันปกปิดเรื่องนี้จะต้องมีมูลเหตุ 

 

 

เธอก้มหน้ามือสั่นอยู่เป็นเวลานานกว่าจะโทรหาผู้บัญชาการเฉียนเป็นการส่วนตัว เขารับสายภายในไม่เวลาไม่นาน

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนได้ยินเพียงเสียงราบเรียบของฉินหร่าน “ช่วยฉันตรวจสอบหน่อยว่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีโรงงานพลาสติกที่ไหนที่มีคนงานได้รับบาดเจ็บบ้าง ฉันต้องการทั้งหมด อย่าให้พลาดแม้แต่ที่เดียว”

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset