เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 190 ลู่จ้าวอิ่งตะลึง เจ๊หร่านออกโรง

ยิ่งหยางเฟยพูด เสียงก็ยิ่งแผ่วลง

 

 

เดิมทีลู่จ้าวอิ่งยังถามเรื่องหยางเฟยอยู่ แต่พอได้ยินที่หยางเฟยพูด เสียงที่ตามมาถึงกับติดขัด อ้าปากพะงาบเพราะคิดว่าตัวเองหลอนหู “เทพพระอาทิตย์ นายว่าอะไรนะ? ฉินเสี่ยวหร่านจะเล่นแทนนายได้ยังไง เธอ…”

 

 

สมาชิกทีมไม่ใช่บอกว่าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนกันได้ง่ายๆ ผู้เล่นตัวจริงจะอยู่นอกสนามและรอการเปลี่ยนตัวเท่านั้น ส่วนผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการก็ไม่ถือว่าเป็นสมาชิกที่เข้าร่วมการแข่งขันอย่างเป็นทางการและไม่สามารถเข้าไปเล่นได้ตามใจชอบได้

 

 

“เธอทำได้ เพราะที่ผ่านมาโค้ชส่งรายชื่อเธอไปด้วย” จู่ๆ อี้จี้หมิงที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมา

 

 

เมื่อทุกคนที่อยู่ภายในห้องได้ยินอีกครั้ง บรรยากาศก็ตกสู่ความเงียบ

 

 

มีคนอยู่ไม่มาก นอกจากฉินหร่านและพรรคพวกก็เหลือเพียงอี้จี้หมิง หยางเฟย และยังมีเสี่ยวอวี๋ที่เพิ่งกลายมาเป็นสมาชิกตัวจริงตั้งแต่เมื่อวาน 

 

 

เมื่อเสี่ยวอวี๋เห็นฉินหร่าน ในหัวก็พลันนึกถึงรูปถ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะของโค้ชใบนั้นเมื่อวานนี้

 

 

แม้จะเห็นหน้าค่าตาไม่ชัดเจน แต่กลับทำให้คนรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคย เธอดูเย็นชากว่าที่เห็นในรูปถ่ายใบนั้นและดูดื้อรั้นกว่าหน่อย 

 

 

เขาเดาได้ทันทีว่านี่คือคนที่ครองตำแหน่ง c ของทีมเทพพระอาทิตย์

 

 

ลู่จ้าวอิ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลยว่าอะไรที่เรียกว่าบุคคลสั่นสะเทือนโลก เขารู้ว่าฉินหร่านรู้จักกับกู้ซีฉือมาก่อน แต่ก็ไม่ได้เหมือนอย่างตอนนี้ มีเสียง “หวึ่งหวึ่ง” อยู่ในหัวเหมือนมีผึ้งนับหมื่นตัวบินในเวลาเดียวกัน

 

 

เขามองไปที่ฉินหร่านราวกับโลกใบนี้กำลังเล่นตลก…

 

 

เขาบ้าไปแล้ว ฉินเสี่ยวหร่านคือสมาชิกทีมOST?

 

 

“มู่…” ลู่จ้าวอิ่งหันหน้าไปมองเฉิงมู่ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกพลางพึมพำ “เมื่อกี้นี้ฉัน…ได้ยินอะไรไป?”

 

 

“ดูเหมือนจะพูดว่า…” ทันทีที่เขาเอ่ย เฉิงมู่ก็ตั้งสติกลับมาได้ คล้ายกำลังเพ้อฝันอยู่หน่อยๆ และมองไปทางลู่จ้าวอิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณฉินคือสมาชิกทีมOST…”  

 

 

“อ่า” ลู่จ้าวอิ่งพยักหน้า สมองได้สูญเสียความสามารถในการสั่งการไปเรียบร้อยแล้ว มีเสียงฟ้าผ่าดังอยู่เหนือศีรษะ

 

 

เขารู้มาตั้งนานแล้วว่าฉินหร่านรู้จักกับหยางเฟยและดูเหมือนจะสนิทกันมาก

 

 

ที่หยางเฟยเพิ่มเขาก็เพราะเห็นแก่ฉินหร่าน

 

 

แต่ถึงอย่างไรลู่จ้าวอิ่งก็ยังคิดว่าทั้งสองรู้จักกันผ่านการเล่นเกมและฉินหร่านยังเล่นไพ่เสริมเก่งมากด้วย

 

 

เขาคิดว่าหยางเฟยเห็นศักยภาพในตัวฉินหร่าน

 

 

ทว่าตอนนี้หยางเฟยกับอี้จี้หมิงพูดว่าอะไรนะ?

 

 

ฉินหร่านคือหนึ่งในสมาชิกทีมOST?

 

 

นี่มันเรื่องแฟนตาซีประเภทไหน ? ! รายชื่อสมาชิกทีมOSTเพิ่มฉินหร่านมาตั้งแต่ตอนไหน ? ! เธอคือใครในนั้น ? !

 

 

ลู่จ้าวอิ่งคิดว่าก่อนหน้านี้คงเป็นเพราะตัวเองหัวเราะเยาะเจียงตงเย่และปิดบังเขาไว้ ทั้งยังมองเขาอย่างตลกขบขันเกินไปหน่อยจนสวรรค์ทนดูต่อไปไม่ได้ถึงได้จัดเรื่องนี้ไว้ให้ตัวเอง “คุณชายเจวี้ยน”

 

 

เขามองเฉิงเจวี้ยนแล้วพูดเบาๆ

 

 

เฉิงเจวี้ยนดูสงบเสงี่ยมมากกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้สนใจลู่จ้าวอิ่ง เพียงแค่หรี่ตามองฉินหร่านโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

ฉินหร่านไม่ได้พูดอะไรและไม่ได้ตอบหยางเฟย เธอก้มหน้าหยิบโทรศัพท์ต่อสายหากู้ซีฉือ

 

 

“ฉันมีเพื่อนที่นี่คนนึง” ฉินหร่านมองหยางเฟยและพูดด้วยความรวดเร็ว น้ำเสียงไม่ทุกข์ไม่ร้อน ฟังไม่ออกถึงอารมณ์ “เขาโดนวางยา ไปโรงพยาบาลอาจจะทิ้งผลข้างเคียง ต้องการส่งไปให้นายที่นั่น”

 

 

เมื่อกู้ซีฉือที่กำลังถือโทรศัพท์และกำลังใช้อีกมือหนึ่งพิมพ์เอกสารได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “ได้ แต่ตอนนี้ฉันยังหยุดทำวิจัยไม่ได้ ไปรับเขาไม่ได้ เธอให้คนส่งเขามาที่นี่สิ”

 

 

ขณะนั้นเองเจียงตงเย่อยู่ในห้องทดลองไม่มีอะไรทำ และกู้ซีฉือก็ไม่คิดจะให้เขาทำอะไร

 

 

เมื่อเจียงตงเย่ที่กำลังดูการเคลื่อนไหวของเซลล์ได้ยินประโยคนี้ก็สั่นไหวเล็กน้อย “พี่กู้ เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ทำไมไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผม? ผมเอง!”

 

 

เขาเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ที่กู้ซีฉือกำลังถือ “คุณฉิน พวกคุณอยู่ที่โรงยิมใช่ไหม?…ครับ รอผมอีกสี่สิบนาที”

 

 

เมื่อพูดเสร็จก็ทิ้งโทรศัพท์ไว้ให้กู้ซีฉือ เขาหยิบเสื้อนอกที่แขวนอยู่ด้านข้างเดินออกไปถึงประตู “อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงผมจะกลับมา”

 

 

เขาจัดการเสร็จสรรพด้วยความรวดเร็วจนกู้ซีฉือหาช่องว่างพูดไม่ได้

 

 

**

 

 

หลังจากโทรศัพท์หากู้ซีฉือเสร็จ ฉินหร่านก็ถามเฉิงเจวี้ยนเกี่ยวกับปัญหาของหยางเฟยเพิ่มเติม

 

 

“ส่งไปโรงพยาบาลก็ค่อนข้างพูดยาก คนที่วางยาเขาน่าจะเกลียดเขาพอตัว” จากอาการของหยางเฟยค่อนข้างเห็นได้ชัดว่าได้รับการกระตุ้นจากยา ความสามารถในการยอมรับเซลล์พาหะอาจได้รับผลกระทบ หากส่งไปโรงพยาบาลทั่วไปจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ เฉิงเจวี้ยนมองเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าตอนนี้สภาพร่างกายของหยางเฟยตึงเครียดถึงขั้นไหน “แต่ถ้าไปถึงมือกู้ซีฉือก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว”

 

 

เป็นถึงอัจฉริยะด้านเซลล์ไวรัสแห่งองค์กรการแพทย์โดยเฉพาะและยังซึมซับประสบการณ์ความรู้มาจากศาสตราจารย์มานับไม่ถ้วน ถ้าเขารักษาไม่ได้ 

 

 

เฉิงเจวี้ยนอาจจะห่อกู้ซีฉือส่งกลับไปให้ชายแก่คนนั้นที่องค์กรการแพทย์

 

 

“งั้นก็ดี” ฉินหร่านโล่งอก จากนั้นก็หันไปมองหมอสองคนที่อยู่ข้างๆ หยางเฟย “ขอบคุณทั้งสองท่าน ต่อไปพวกเราขอคุยกันหน่อย”

 

 

หมอทั้งสองเป็นหมอประจำทีมOST พวกเขามองหยางเฟยด้วยความลังเลเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของฉินหร่าน

 

 

หยางเฟยพยักหน้าให้พวกเขา

 

 

ทั้งสองถึงออกไป

 

 

“บอกมาซิ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” เฉิงเจวี้ยนยกขาเตะม้านั่งไปข้างๆ ฉินหร่าน ฉินหร่านนั่งลงและถามหยางเฟย

 

 

หยางเฟยขมวดคิ้ว “ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อเช้าก็ยังดีๆ อยู่เลย พอตอนบ่ายก็รู้สึกชาที่มือหน่อยๆ ฉันยังคิดว่าเมื่อวานคงฝึกซ้อมมากไป แต่ยิ่งนานมือก็ยิ่งชาขึ้นเรื่อยๆ จนชาไปทั้งตัว ฉันคิดว่าร่างกายฉันต้องมีปัญหาแน่ๆ”

 

 

ถ้าไม่ใช่เพราะเฉิงเจวี้ยนอธิบาย เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองโดนคนวางยา สีหน้าหยางเฟยหม่นหมองเล็กน้อย

 

 

“สงสัยใครบ้างไหม?” ฉินหร่านเอนหลังพิงเก้าอี้พลางหรี่ตา “คนของ WAT? หรือว่าคนของพวกนายเอง?”

 

 

เธอจำได้ว่าการแสดงการแข่งขันในคืนนั้น มาตรฐานความเป็นมืออาชีพลดลงไปมาก

 

 

เมื่อเสี่ยวอวี๋ได้ยินดังนั้นก็รีบยกมืออย่างหวั่นๆ “นั่นน่ะ โค้ชให้ yan ออกจากสนามแล้วเปลี่ยนให้ผมเป็นสมาชิกตัวจริง เมื่อเย็นวานสายตาเขาดูน่ากลัวมากตอนที่มองผมกับเทพพระอาทิตย์”

 

 

พอคิดแล้ว เสี่ยวอวี๋ก็ตัวสั่นเป็นลูกนก

 

 

หยางเฟยไม่ได้พูดอะไร

 

 

ฉินหร่านพยักหน้า พูดด้วยเสียงเรียบๆ “แข่งเสร็จค่อยเคลียร์กัน”

 

 

โค้ชเคาะประตูมาจากข้างนอก

 

 

ที่นี่คือห้องพักรับรองส่วนตัวที่อวิ๋นกวงกรุ๊ปเปิดเป็นห้องเดี่ยวให้หยางเฟยทุกครั้งที่มีการแข่งขัน

 

 

จึงมีพื้นที่จำกัด

 

 

โค้ชเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นกังวลเมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งอยู่ในห้องพักรับรอง เฉิงเจวี้ยนพิงผนังอยู่ข้างๆ ฉินหร่านอย่างเงียบๆ แต่กลับรับรู้ได้ถึงพลัง

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉินหร่านที่อยู่ข้างๆ เขา

 

 

สายตาโค้ชชะงักเล็กน้อยเมื่อมองไปที่ฉินหร่าน

 

 

ตอนที่หยางเฟยเอาตั๋วไปให้ฉินหร่านที่โรงเรียนเมื่อครั้งที่แล้วก็ได้เจอกับฉินหร่านแล้ว ในตอนนั้นเขาพอเดาได้บ้างเกี่ยวกับตัวตนของฉินหร่าน

 

 

แต่เมื่อมองไปที่ฉินหร่านและมองกลับไปที่หยางเฟยในเวลานี้ ความกังวลใจในตอนแรกก็รู้สึกสงบลงเล็กน้อย

 

 

เขาพลันนึกถึงชื่อที่เพิ่มมาหนึ่งชื่อในรายชื่อที่ส่งไปทุกๆ ครั้ง ก่อนหน้านี้เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ตอนนี้จิตใจที่ขุ่นมัวของเขากลับสงบลงทันที

 

 

“โค้ช โค้ชไปหาyanมาแล้วเหรอ?” หยางเฟยมองมาทางโค้ช

 

 

โค้ชเก็บสายตาที่มองไปทางฉินหร่าน “เปล่า ฉันอยากจะลองมาถามอาการนายดูก่อน เมื่อกี้เพิ่งถามหมอสองคนนั้นไป พวกเขาบอกว่านายจะต้องเข้าโรงพยาบาล ฉันว่าจะมาแจ้งนายหน่อยแล้วให้yanลงสนาม”

 

 

หยางเฟยไม่ได้ตอบ เพียงมองไปทางฉินหร่าน “เทพฉิน เธอลงสนามแทนฉันเถอะ yan…เขาเป็นเหมือนระเบิดเวลา”

 

 

หยางเฟยไม่เชื่อในตัวเขา

 

 

โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงเฉิงเจวี้ยนดังขึ้น เป็นสายจากเจียงตงเย่ เขารีบกดรับสายทันที “ถึงแล้ว? ได้ จะรีบออกไป”

 

 

เฉิงเจวี้ยนพูดกับเจียงตงเย่แค่สองประโยคก็ลุกขึ้น วันนี้เขายังคงสวมเสื้อกันลมสีดำตัวยาว ไม่มีกระดุม พอมองไปทั้งตัวก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แฝงอยู่ในความเฉื่อยชาอย่างอธิบายไม่ถูก

 

 

เขามองฉินหร่าน “หาคนพาตัวเขาออกไป รถเจียงตงเย่รออยู่ที่ประตูทางออก ทะเบียนรถ 686”

 

 

หยางเฟยยังลุกขึ้นได้ เขาสวมผ้าปิดจมูกและหมวกแก๊ป

 

 

“นายจะไปไหน?” พอโค้ชเห็นหยางเฟยลุกขึ้นก็ช่วยพยุงเขาไว้

 

 

“เทพฉินมีเพื่อนคนนึงที่ตรวจได้” หยางเฟยสวมผ้าปิดจมูกเรียบร้อยแล้วมองไปทางเสี่ยวอวี๋ “เสี่ยวอวี๋ นายไปส่งฉันหน่อย โค้ชครับ ต่อไปโค้ชต้องจัดการแล้ว”

 

 

เมื่อได้ยินว่าเป็นเพื่อนของฉินหร่าน โค้ชก็มีสีหน้าจริงจังแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

 

 

เนื่องจากเขาเข้ามาหลังจากที่โค้ชคนก่อนออก เขาจึงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับผู้เล่นในอดีต แต่ในฐานะโค้ช เขารู้ถึงการมีอยู่ของฉินหร่านและรู้ตัวตนของฉินหร่าน

 

 

เขากับเสี่ยวอวี๋พาหยางเฟยออกไปส่ง

 

 

ฉินหร่านและเฉิงเจวี้ยนยังอยู่ในห้องพักรับรองอย่างเงียบๆ

 

 

เฉิงเจวี้ยนเปลี่ยนท่าโดยพิงไปที่โต๊ะที่อยู่ด้านซ้ายของฉินหร่าน ก้มหน้าพลางเลิกคิ้ว “เทพฉิน? ไปเข้าร่วมทีมตั้งแต่เมื่อไหร่?”

 

 

เสียงทุ้มเล็กน้อยแต่ฟังออกว่าแฝงคำหยอกล้อ

 

 

ฉินหร่านราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่ เธอได้สติหลังจากได้ยินคำพูดของเฉิงเจวี้ยน ชะงักไปสักพักโดยไม่กล้ามองหน้าเฉิงเจวี้ยนพลางกระแอมเล็กน้อย “คุณ…เดี๋ยวก็รู้…”

 

 

เดี๋ยวก็รู้ว่าเธอเข้าร่วมทีมตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

เมื่อได้ยินประโยคนี้ เฉิงเจวี้ยนก็หรี่ตาลง

 

 

หลังจากโค้ชกับเสี่ยวอวี๋ไปส่งหยางเฟยก็กลับมาอีกครั้ง

 

 

สองทุ่มยี่สิบนาที เกมแรกได้เริ่มเลือกการ์ดไพ่แล้ว หลังจากจบการแข่งขันของพวกเขาจะมีเวลาพักให้สิบนาที จากนั้นทีม OST ก็ลงสนาม

 

 

คนทั้งห้องพักรับรองและลู่จ้าวอิ่งยังไม่ได้สติกลับมา

 

 

คนอื่นๆ ไม่กล้าพูดอะไรนอกจากเฉิงเจวี้ยน

 

 

ทุกคนหันมองไปทางฉินหร่านแทบจะทั้งหมด

 

 

ฉินหร่านใช้มือแตะคาง ขมวดคิ้วครุ่นคิดได้สักพักก็เงยหน้ามองไปทางโค้ช “นั่นน่ะ คุณมีชุดประจำทีมของฉันไหม?”

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset