เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 196 เจอกันตัวต่อตัว

หลังจากส่งข้อความเสร็จ ฉินหร่านก็โยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างๆ

 

 

เธอหยิบขนมปังขึ้นมาและมองไปทางกู้ซีฉือ

 

 

ก่อนจะถามอะไรบางอย่างออกไป เฉิงเจวี้ยนที่นั่งตรงข้ามเธอก็พูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “เมื่อไหร่ผลจะออก?”

 

 

ทางองค์กรการแพทย์ได้ประชาสัมพันธ์ออกไปแล้ว

 

 

เหมือนมีระลอกคลื่นนับพันกระตุ้นวงการแพทย์ระดับโลก แต่ปฏิกิริยาในโลกออนไลน์ไม่ได้เป็นที่ฮือฮาเท่าเรื่องอื้อฉาวของดาราแถวหน้า

 

 

“การเร่งปฏิกิริยาการเกิดใหม่ของเนื้อเยื่อชุดแรกจะออกมาเย็นนี้” ใบหน้ากู้ซีฉือที่แต่เดิมเซื่องซึมอยู่พลันเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นมาทันทีเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

 

 

เขานั่งข้างฉินหร่านและเห็นเฉิงเจวี้ยนมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

 

 

กู้ซีฉือนิ่งไปสักพักแล้วขยับไปด้านข้าง

 

 

เจียงตงเย่ที่บังเอิญนั่งอยู่ข้างๆ กู้ซีฉือง่วงนอนเล็กน้อย พอเห็นกู้ซีฉือขยับมาทางนี้ เขาก็เบี่ยงมาด้านข้าง

 

 

“รุ่นพี่ ผมมีข้อมูลที่ยังต้องให้คุณช่วยทำ” กู้ซีฉือคิดได้สักพักก็เงยหน้ามองไปทางเฉิงเจวี้ยน “รอผมกลับมาจากอวิ๋นเฉิง ผมจะไปหาอาจารย์ที่นั่นสักรอบ”

 

 

เฉิงเจวี้ยนที่ยื่นมือหยิบแก้วน้ำได้ยินดังนั้นก็ตอบเพียง “อืม” และไม่ได้พูดอะไรต่อ 

 

 

ฉินหร่านกัดขนมปังพลันนึกถึงเรื่องที่เหยียนซีส่งข้อความมาหาเธอเมื่อวานตอนเย็น เธอไม่ได้ตอบกลับไปทันที เพราะจุดประสงค์ที่เธอมาเซี่ยงไฮ้คือรอผลการทดลองจากกู้ซีฉือเป็นหลัก

 

 

ทว่าตอนนี้ผลการทดลองของกู้ซีฉือยังไม่ออกมา คาดว่าเธอยังพอมีเวลาไปพบเหยียนซีสักครั้ง

 

 

หลังจากทานอาหารเสร็จ เฉิงเจวี้ยนและกู้ซีฉือก็ไปที่ชั้นสามเพื่อจัดเรียงผลการทดลองขั้นสุดท้าย

 

 

ส่วนลู้จ่าวอิ่งไม่มีอะไรทำหลังจากทานอาหารเสร็จ พอเขาเห็นโอวหยางเวยกำลังชวนเขาเล่นเกม เขาคิดอยู่สักพักก็นั่งลงที่คอมพิวเตอร์ตรงมุมห้องโถง

 

 

“ฉินเสี่ยวหร่าน เทพพระอาทิตย์ มาเล่นด้วยกันไหม?” ลู่จ้าวอิ่งแตะหูฟังแล้วหันมามองหยางเฟย

 

 

หยางเฟยลุกจากโซฟาพลางส่ายหัว “ไม่ละ ผมต้องกลับทีมแล้ว”

 

 

กู้ซีฉือบอกว่าอาการเขาดีขึ้นแล้ว หยางเฟยจึงไม่อยู่ที่บ้านกู้ซีฉือต่อ

 

 

เฉิงมู่หยิบกุญแจที่อยู่บนโต๊ะแล้วผงกหัว “ผมไปส่งคุณเอง”

 

 

“งั้นก็ได้” ลู่จ้าวอิ่งมองหยางเฟยด้วยความเสียดาย จากนั้นก็ออกไปส่งเขา

 

 

หลังจากทั้งสองไปกันแล้ว ฉินหร่านก็มองไปที่แผ่นหลังลู่จ้าวอิ่งพลางแตะคางคิด จากนั้นก็กลับห้องของเธอที่อยู่ชั้นสอง

 

 

ก้มหน้าดูโทรศัพท์ ทางด้านเหยียนซีก็ยังไม่ตอบกลับ

 

 

เธอเปิดคอมพิวเตอร์ที่กู้ซีฉือให้ติดตัวมา

 

 

และล็อกอินเข้าไอดีเกมตัวเอง

 

 

**

 

 

ชั้นล่าง หลังจากลู่จ้าวอิ่งไปส่งหยางเฟยเสร็จก็กลับมานั่งหน้าคอมพิวเตอร์และเปิดเข้าเกม

 

 

วันนี้ฉินหร่านไม่อยู่ เฉิงมู่ก็ไม่อยู่ ส่วนเจียงตงเย่ กู้ซีฉือ กับเฉิงเจวี้ยนก็ขึ้นไปชั้นสาม

 

 

ลู่จ้าวอิ่งจึงเล่นคู่กับโอวหยางเวย

 

 

“วันนี้นายว่างอยู่คนเดียวเหรอ?” เสียงของโอวหยางเวยฟังดูนุ่มนวลและสุภาพ

 

 

“อืม พวกเขามีธุระน่ะ” ลู่จ้าวอิ่งควบคุมการ์ดไพ่ตามหลังโอวหยางเวย ทั้งสองเล่นไม่ค่อยเข้าขากันเท่าไหร่ แต่เกมนี้ก็ชนะอย่างทุลักทุเล

 

 

ตอนที่ลู่จ้าวอิ่งเล่นคู่กับโอวหยางเวยครั้งแรก ลู่จ้าวอิ่งก็รู้แล้วว่าตัวเองกับโอวหยางเวยเล่นไม่เข้าขากัน

 

 

ตอนแรกยังเคยตกใจที่ฉินหร่านเล่นไพ่เสริมได้ดี

 

 

พอตอนนี้ลู่จ้าวอิ่งได้รู้ความจริง…

 

 

เขาถอนตัวออกมาหลังจากเล่นเกมแรกจบ

 

 

เสียงของโอวหยางเวยที่อยู่อีกด้านเริ่มพูดขึ้นมาว่า “คราวที่แล้วฉันได้ยินเฉิงมู่บอกว่าตอนนี้พวกนายอยู่เซี่ยงไฮ้?”

 

 

“ใช่แล้ว” หลังจากลู่จ้าวอิ่งถอนตัวก็ยังคิดจะเล่นด่านต่อไปต่อ

 

 

เพียงแวบเดียวเขาก็เห็นจุดสีแดงที่อยู่หลังโลโก้เพื่อนตรงมุมขวาบนของหน้าเกม เขาควบเมาส์ไปคลิกดู——

 

 

(OST,QR เพิ่มคุณเป็นเพื่อน)

 

 

ลู่จ้าวอิ่งมือสั่น จากนั้นก็กดยอมรับ

 

 

“นายรอเดี๋ยวนะ เพื่อนของฉันจะเข้ามาอีกคน” ลู่จ้าวอิ่งไม่ได้เริ่มเกมทันที แต่เปิดหน้าเพื่อนและเชิญฉินหร่านเข้าร่วมเกมโดยเล่นกันสามคน

 

 

ฉินหร่านปฏิเสธเขา

 

 

ลู่จ้าวอิ่งแอบคิดในใจ “งั้นจะเพิ่มฉันทำไม” เขาเห็นจุดสีแดงบนกล่องข้อความที่มุมขวาบนของหน้าเกม

 

 

ไม่รู้ว่าคิดอะไร ลู่จ้าวอิ่งถึงได้เอาแต่จ้องกล่องข้อความนั้น

 

 

นิ้วเรียวขยับเมาส์ช้าๆ และในที่สุดก็คลิกที่กล่องข้อความ——

 

 

(คุณได้รับไพ่เทพสามใบที่ส่งโดย OST, QR เพื่อนของคุณ)

 

 

มือของลู่จ้าวอิ่งที่กำลังถือเมาส์เริ่มสั่นระริก เขาคลิกไปยังไพ่เทพสามใบที่ขยายใหญ่บนหน้าเกม เรียงเป็นแถวเดียว

 

 

ในเกม โอวหยางเวยรอนานมากแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นลู่จ้าวอิ่งเพื่อนของเขา

 

 

เขาอดไม่ได้ที่จะถามเบาๆ ว่า “คุณชายลู่ เพื่อนนายคนนั้นมาหรือยัง?”

 

 

“ห๊ะ” ลู่จ้าวอิ่งตอบ ในไม่ช้าก็ได้สติ “โอวหยาง ฉันไม่เล่นแล้ว วันหลังค่อยนัดเล่นใหม่”

 

 

พอพูดเสร็จ เขาก็ถอนตัวออกจากทีมทันที

 

 

โอวหยางเวยที่อยู่อีกด้านก็ขมวดคิ้วมองลู่จ้าวอิ่งที่มีท่าทีแปลกไป

 

 

**

 

 

สถานที่ถ่าย MV ของเหยียนซี

 

 

เขาไม่ใช่ตัวเอกของ MV แค่มีส่วนร่วมกับพล็อตเรื่องและเข้าฉากไม่กี่ฉาก

 

 

สถานที่ถ่ายทำค่อนข้างเป็นความลับ แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงกรี๊ดเช่นนี้อยู่บางส่วน บางครั้งก็มีทีมงานชี้มาทางเหยียนซีและกรีดร้องด้วยความตื่นเต้น

 

 

คนรอบข้างของเหยียนซีเจอจนไม่รู้สึกแปลกอะไรแล้ว

 

 

เหยียนซีตามทีมงานไปถ่ายทำ ผู้จัดการจึงเก็บโทรศัพท์ของเขาใส่ในกระเป๋า

 

 

ตอนที่ฉินหร่านส่งข้อความมา โทรศัพท์เหยียนซีก็สั่นได้สักพัก

 

 

นี่คือโทรศัพท์ส่วนตัวของเหยียนซี ผู้จัดการจึงดูไม่ได้

 

 

รอจนกว่าเหยียนซีกลับมาหลังจากถ่ายทำเสร็จก็ผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วโมง ผู้จัดการยื่นเสื้อขนเป็ดตัวยาวให้เหยียนซี

 

 

“น่าจะไม่มีถ่ายเพิ่มแล้ว ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของตัวเอกสองคน ถ้านายรีบ เราก็กลับเมืองหลวงเย็นนี้เลยก็ได้นะ…” ผู้จัดการหยิบสมุดบันทึกออกมาและคุยกับเหยียนซีเกี่ยวกับตารางงานถัดไป

 

 

เนื่องจากต้องเข้าร่วมทำการถ่ายทำ เหยียนซีจึงสวมแค่เสื้อเชิ้ต ตอนนี้เขากำลังก้มลงสวมเสื้อขนเป็ดตัวยาวอย่างไม่รีบร้อน

 

 

นิ้วเรียวดึงซิปขึ้นอย่างระมัดระวัง

 

 

ขณะที่ฟังตารางงานจากผู้จัดการคร่าวๆ

 

 

“โทรศัพท์ผมล่ะ?” ทันใดนั้นเขาก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้จึงหันมาหาผู้จัดการ

 

 

ผู้จัดการดูสมุดบันทึก ตารางงานส่วนใหญ่เขาจำไว้ในใจหมดแล้วจึงปิดสมุดบันทึก จากนั้นก็ยัดใส่ในกระเป๋ากางเกงและหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้เหยียนซี

 

 

เขารู้ดีว่าเหยียนซีจะต้องรอเจียงซานอี้ตอบข้อความแน่ๆ เขาจึงไม่ได้แปลกใจนัก

 

 

จากนั้นก็หยิบผ้าปิดจมูกพร้อมกับแว่นกันแดดยื่นให้เหยียนซี

 

 

ขณะที่สวมผ้าปิดจมูก เหยียนซีก็เปิดโทรศัพท์ไปด้วย  หน้าจอล็อกสกรีนมีหนึ่งข้อความ——

 

 

(ที่อยู่)

 

 

เหยียนซีที่กำลังสวมผ้าปิดจมูกอยู่ถึงกับตะลึง

 

 

คาดว่าตะลึงไปสามนาที

 

 

เป็นเวลานานมากจนผู้จัดการรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

 

 

เมื่อผู้จัดการที่กำลังยืนรอเหยียนซีสวมผ้าปิดจมูกเสร็จเห็นว่าเขาไม่กระดุกกระดิก เขาจึงเดินเข้ามาพลางเลิกคิ้วเรียก “เหยียนซี?”

 

 

“ห๊ะ” เหยียนซีรู้สึกตัว เขาเงยหน้าขึ้นพลางมองผู้จัดการด้วยดวงตาสีเข้มเป็นประกาย “ท่านเทพถามที่อยู่เรา”

 

 

**

 

 

ทางด้านกู้ซีฉือ

 

 

เฉิงเจวี้ยนทำมาตรฐานข้อมูลเสร็จไปแล้วหลายรายการ พอลงมาก็เห็นเพียงลู่จ้าวอิ่งนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์แค่คนเดียว

 

 

เฉิงเจวี้ยนยืนอยู่บนบันไดขั้นสุดท้าย จากนั้นก็เอนหลัง เขากวาดตามองไปทั่วห้องโถงก็พบว่าไม่มีร่องรอยของคนอื่นๆ อยู่เลย

 

 

คิ้วบางเลิกขึ้นพลางหันไปถามลู่จ้าวอิ่ง “คนอื่นล่ะ?”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเข้าใจดีว่า ‘คนอื่น’ ที่เฉิงเจวี้ยนถามไม่ใช่เฉิงมู่หรือหยางเฟย แต่เป็นฉินหร่านโดยไม่ต้องคิด 

 

 

“ฉินเสี่ยวหร่านออกไปเจอเพื่อน เฉิงมู่เป็นคนไปส่งเธอ” ในที่สุดลู่จ้าวอิ่งก็ดึงสายตาออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เอียงศีรษะมองเฉิงเจวี้ยน “คุณชายเจวี้ยน ฉินเสี่ยวหร่านมีเพื่อนในเซี่ยงไฮ้ด้วยเหรอ? ฉันถามเธอ เธอก็ไม่บอก พูดแค่ว่าเพื่อนเหมือนเป็นความลับ”  

 

 

ครั้งสุดท้ายที่เธอบอกว่าจะไปพบเพื่อนคนหนึ่ง

 

 

ผลก็คือกู้ซีฉือ

 

 

เพื่อนที่ไปพบตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นใคร

 

 

ลู่จ้าวอิ่งคิดว่าน่าจะไม่ใช่เพื่อนระดับเดียวกับกู้ซีฉือ

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น เฉิงเจวี้ยนก็ควานหาบุหรี่ในกระเป๋ากางเกง เขาเหลือบมองลู่จ้าวอิ่งโดยไม่พูดอะไร

 

 

ลู่จ้าวอิ่งหดหัวกลับโดยไม่รู้ตัว “นายโทรศัพท์ไปถามเฉิงมู่ดูก็ได้นี่”

 

 

**

 

 

อีกด้านหนึ่ง เฉิงมู่กำลังขับรถตามจีพีเอสไปส่งฉินหร่านตามที่อยู่ที่เธอให้มา

 

 

ผ่านแม่น้ำสายหนึ่งก็ถึงหน้าประตูร้านกาแฟที่ดูเงียบสงบ

 

 

ดูแล้วเหมือนเป็นสถานที่นัดเดท เฉิงมู่คอยสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ

 

 

“คุณฉิน ที่เพื่อนคุณพูดถึงคือที่นี่ใช่ไหมครับ?” เขาจอดรถตรงข้ามร้านและมองฉินหร่านผ่านกระจกมองหลัง

 

 

ฉินหร่านที่พิงหน้าต่างลุกนั่งตัวตรงพลางมองไปบริเวณรอบๆ เธอยื่นมือเปิดประตูแล้วลงจากรถ พูดเบาๆ “อืม”

 

 

เธอยังคงอยู่ในเสื้อสเวตเตอร์สีขาวและเสื้อโค้ตสีดำ ดึงหมวกเสื้อสเวตเตอร์มาบังลม

 

 

เขาจงใจเลือกสถานที่แห่งนี้และวันนี้ยังเป็นวันจันทร์ ตอนเช้าคนจึงไม่พลุกพล่าน

 

 

ฉินหร่านเดินตรงไปหาพนักงานเสิร์ฟ เธอชะงักสักพักแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่เต็มไปด้วยความสุภาพ “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าห้องหมายเลข 12 ไปทางไหนคะ?”

 

 

หลังจากนั้นไม่นานฉินหร่านก็หยุดอยู่ที่ประตูห้องหมายเลข 12 เธอยกมือขึ้นเคาะประตู

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset