เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 237 คุณชายเจวี้ยนก็ตกม้าเป็นนะ

ณ สวนดอกไม้ ฉินหร่านยังสนทนาอยู่กับผู้กองลั่ว

 

 

ทั้งสองคุยกันไม่กี่ประโยคก่อนเฉิงสุ่ยที่อยู่อีกฝั่งเดินเข้ามา พูดจาอย่างมีมารยาทว่า “คุณหนูฉิน รถเตรียมพร้อมแล้วครับ พวกคุณสามารถออกเดินทางได้เลย”

 

 

ฉินหร่านส่งฝักบัวรดน้ำให้เฉิงสุ่ยก่อนหยิบหมวกมาใส่ ตอบกลับ “อืม” คำหนึ่ง

 

 

การฝึกซ้อมของเฉิงมู่ได้สิ้นสุดลงแล้ว ฉินหร่านไม่ได้จับตาดูเขาอีก

 

 

“ยังมีสิ่งนี้ด้วยครับ เมื่อครู่เฉิงมู่ให้ผมนำมาส่งให้คุณ”เฉิงสุ่ยเดินตามหลังฉินหร่านก้าวหนึ่ง พร้อมกับยื่นสมุดในมือให้ฉินหร่าน

 

 

มันคือสมุดที่ฉินหร่านเป็นคนสั่งให้ซือลี่หมิงบันทึกการเปลี่ยนแปลงร่างกายทั้งหมดของเฉิงมู่ขณะได้รับยา

 

 

ฉินหร่านยื่นมือรับเปิดพลิกดูทีละหน้า ก่อนเดินออกจากประตูใหญ่

 

 

เธอสวมเสื้อคลุมยาวสีดำ ในมือถือสมุดเอาไว้ ทั้งยังมีกระเป๋าเป้ใบโปรดของเธอที่เฉิงสุ่ยเพิ่งถือส่งให้ฉินหร่าน

 

 

ดูลักษณะเช่นนี้แล้วเหมือนคนกำลังออกไปข้างนอก

 

 

ถังชิงที่อยู่ลานฝึกซ้อมห้องเล็กละสายตามอง ขนตาหลุบต่ำลง “พวกเขากำลังออกไปข้างนอก?”

 

 

“น่าจะเป็นคุณหนูฉินออกไปเที่ยวข้างนอกมั้ง?” ผู้ที่อยู่ด้านข้างตอบพลางเกาหัว “ฉันเคยได้ยินผู้กองลั่วพูดว่า คุณหนูฉินมารัฐ M เพราะต้องการมาเที่ยว”

 

 

“ใช่”ถังชิงยังคงต่อยวัดค่าแรงหมัดบนเครื่องวัดอยู่ ผมสีทองสะท้อนแสงอยู่ในแววตา

 

 

พรุ่งนี้ก็เป็นวันสอบแล้ว ยังมีกะจิตกะใจออกไปเที่ยวข้างนอกอีก…

 

 

“คุณหนูฉินเคยมาฝึกซ้อมบ้างไหม?” ถังชิงเดินไปหยิบอุปกรณ์อีกฝั่งอย่างไม่รีบร้อน

 

 

ถังชิงอยู่ในคฤหาสน์ได้ยินเรื่องของฉินหร่านมาไม่น้อย โดยเฉพาะฝีมือร้ายกาจของฉินหร่าน จุดนี้ถังชิงเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

 

 

“น่าจะไม่เคยนะ ฉันไม่เคยได้ยินว่าเธอเคยมาฝึกซ้อมที่นี่…” ใช้เวลาคิดอยู่นานกว่าอีกฝ่ายจะตอบ ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าฉินหร่านเคยมาฝึกซ้อมที่นี่เมื่อไหร่

 

 

ถังชิงยังคงพยักหน้าตอบรับ เดิมเธอไม่ได้เก็บเรื่องฉินหร่านมาใส่ใจอยู่แล้ว

 

 

ทุกวันนี้ก็ไม่มีความคิดเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจแม้แต่น้อย

 

 

ทางฝั่งของฉินหร่านและเฉิงเจวี้ยนอยู่บนรถเรียบร้อยแล้ว

 

 

คนขับคือเฉิงเจวี้ยน ส่วนฉินหร่านนั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับ

 

 

แม้จะอยู่ในเขตรัฐ M แต่ระยะทางจากองค์กรการแพทย์กับคฤหาสน์นับว่าไกลกัน หากขับรถไปต้องใช้เวลาสองชั่วโมงกว่า

 

 

รถออกเดินทางบ่ายครึ่ง กว่าจะถึงองค์กรการแพทย์ก็ประมาณบ่ายสามโมงกว่า

 

 

ประตูด้านหน้าองค์กรการแพทย์ดูใหม่มาก ด้านบนมีตัวอักษรตัวใหญ่มหึมาไม่กี่คำเขียนติดไว้

 

 

แต่ที่ดินที่องค์กรการแพทย์นับว่าไม่ใหญ่มากนัก

 

 

มีเพียงตึกสูงห้าหกชั้นเท่านั้น

 

 

เฉิงเจวี้ยนจอดรถไว้บริเวณที่จอดรถยนต์ชั้นใต้ดิน จากนั้นหยิบการ์ดใบหนึ่งรูดเข้าไป

 

 

เขาไม่ได้ขึ้นชั้นบน แต่ลงมาชั้นใต้ดินชั้น12 ฉินหร่านถึงได้รู้ว่าที่แท้ยังมีชั้นใต้ดินอีก20ชั้น

 

 

เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ฉินหร่านสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของแสงสว่างที่ส่องประกายอย่างชัดเจน

 

 

พื้นที่ห้องใต้ดินทุกชั้นมีขนาดใหญ่กว่าด้านบนหลายเท่าตัว

 

 

เมื่อลงมาฉินหร่านสังเกตเห็นห้องโถงขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง ในห้องโถงมีคนไม่มากแต่ละคนสวมชุดคลุมยาวสีขาว และมีเครื่องหมายติดอยู่บนเสื้อคลุมยาวสีขาวของทุกคน

 

 

รอบห้องโถงใหญ่ทั้งสี่ทิศมีประตูเหล็กสีขาว ลูกบิดประตูทำจากคริสทัลส่องประกายแวววาวราวกับแสงพระอาทิตย์ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มีความล้ำสมัยเกินจริงมาก

 

 

มีคนจำนวนหนึ่งออกมาจากห้องด้านในอยู่บ่อยครั้ง เห็นชัดเลยว่าบานประตูเหล็กเป็นห้องวิจัยของนักศึกษาที่สามารถเปิดเข้าไปเองได้

 

 

หากคนนอกได้มาในสถานที่แบบนี้ คงคิดว่าเป็นโลกอนาคต

 

 

ในทุกวันองค์กรต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลเพื่อรักษาระบบความปลอดภัยที่ใหญ่โตนี้ ไม่ใช่สิ่งที่องค์กรทั่วไปจะสามารถจัดตั้งได้

 

 

ทางเข้าประตูเหล็กบานหนึ่งเปิดออก ด้านหลังมีกู้ซีฉือและเจียงตงเยี่ยยืนอยู่ กู้ซีฉือยังคงใส่เสื้อคลุมยาวสีขาว กระดุมเสื้อถูกปลดออก เผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวผ่องด้านใน ในขณะที่มือข้างหนึ่งกำลังถือหลอดทดลอง

 

 

เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่ยังอยู่ในห้องทดลอง เมื่อเห็นฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยน สีหน้าอ่อนเพลียของเขามีท่าทีตกใจอย่างชัดเจน “รุ่นพี่ เสี่ยวหร่าน”

 

 

เขาส่งหลอดทดลองที่อยู่ในมือให้เจียงตงเยี่ยด้านข้าง จากนั้นรีบสาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้ามา

 

 

“เสี่ยวหร่าน เธอผอมเกินไปแล้ว”เขายื่นแขนกำลังจะกอดฉินหร่าน

 

 

ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เขาสะดุ้งก่อนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

 

 

เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเฉิงเจวี้ยนที่ยืนด้วยท่าทีเกียจคร้าน มือข้างหนึ่งถือเสื้อโค้ตอยู่ในมือ ดวงตาคู่นั้นจ้องมาที่เขาพลางยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มเจื่อน

 

 

กู้ซีฉือ “…”

 

 

กู้ซีฉือลูบจมูกตัวเองก่อนเก็บมือกลับ

 

 

“คุณชายเจวี้ยน” เจียงตงเยี่ยเรียกขณะมองเฉิงเจวี้ยน

 

 

เฉิงเจวี้ยนละสายตาก่อนมองเจียงตงเยี่ย เขาเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ที่แท้เขายังไม่กลับเมืองหลวงเหรอ? ดื้อด้านขนาดนั้นเชียว?

 

 

คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาด้านใน

 

 

กู้ซีฉือแนะนำองค์กรการแพทย์ให้ฉินหร่านฟัง พื้นที่ของชั้นใต้ดินชั้นสิบสองล้วนเป็นคนของประเทศเรา ไม่กี่ปีก่อนพวกเราไม่มีห้องแม้แต่ชั้นเดียว นอกจากคนของไม่กี่ประเทศ ก็ล้วนเป็นสมาชิกจากสองสามประเทศที่ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน

 

 

แต่หลังจากองค์กรการแพทย์ถูกราชาปีศาจนิรนามเล่นงานครั้งนั้น ทุกคนก็ล้วนกลัวเขา

 

 

แต่ก็ไม่กล้าถอดชื่อราชาปีศาจคนนั้นออก หลังจากนั้น…พวกเราก็พบกับอุปสรรคครั้งใหญ่ จึงจำเป็นต้องขอคำปรึกษาจากราชาปีศาจผู้นั้น

 

 

จนถึงตอนนี้ พวกเขาถึงมีห้องทดลองการแพทย์ชั้นเดี่ยวเป็นของตัวเอง

 

 

พื้นที่ห้องทดลองมีขนาดกว้าง

 

 

ฉินหร่านหยิบสมุดบันทึกที่ซือลี่หมิงเขียนส่งให้กู้ซีฉือพลางสังเกตรอบด้าน

 

 

“อาจารย์ครับ รุ่นพี่มาถึงแล้วครับ” กู้ซีฉือรับสมุดมา ไม่ได้เปิดดูทันทีแต่พาพวกเขาเข้าไปในห้องทดลองก่อน ห้องทดลองด้านในมีชายสูงวัยยืนถัดจากอุปกรณ์ทดลอง พอชายสูงไว้ได้ยินประโยคของกู้ซีฉือ ก็มีอาการมือสั่นขึ้นมา

 

 

“อาจารย์ไม่เป็นไรนะครับ?”นักศึกษาคนหนึ่งที่ยืนถือสมุดอยู่ด้านข้างมองเขาด้วยความกังวล

 

 

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” ชายสูงวัยใช้เวลาไม่ถึงวินาทีเท่านั้นก็กลับมามีสภาพปกติ

 

 

เส้นผมทั้งสองข้างของเขามีสีขาวแซมเล็กน้อย ใบหน้ายิ้มแย้มราวกับดอกเบญจมาศดอกหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างไม่เคยใช้มาก่อน “ศิษย์รักกลับมาแล้วรึ?”

 

 

น้ำเสียงเช่นนี้อย่าว่าแต่นักศึกษาหรือเจียงตงเยี่ยเลย แม้แต่กู้ซีฉือที่รู้จักกันมานานแล้วยังอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปเกาแขน

 

 

นักศึกษาแอบตกใจตามๆ กัน

 

 

อาจารย์ที่ประจำการอยู่ในองค์กรการแพทย์ของพวกเขาคืออาจารย์ลั่วจิง เป็นคหบดีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในวงการการแพทย์ หรืออาจพูดได้ว่าเป็นสมบัติแห่งชาติของพวกเขา

 

 

แต่เขาเคยเห็นลั่วจิงแสดงท่าทีเช่นนี้หรือ?

 

 

เฉิงเจวี้ยนเพียงตอบ “อืม” คำเดียว ทักทายอาจารย์อย่างสุภาพและมีมารยาท จากนั้นกวาดตามองห้องทดลองทีหนึ่ง ด้านในมีอุปกรณ์ทดลองวางอยู่สามชิ้น

 

 

นักศึกษาต่างเห็นอย่างชัดเจน ว่าอาจารย์ลั่วจิงแอบเดินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

 

 

“การทดลองอันนี้ใครเป็นคนรับผิดชอบ?” เฉิงเจวี้ยนเดินไปยังหนึ่งในจานเพาะเชื้อหัวใจชุดหนึ่ง พลางชี้ถาม

 

 

กู้ซีฉือมองตานักศึกษาอย่างเห็นอกเห็นใจ

 

 

นักศึกษาคนนั้นกลับไม่รู้ตัว เขารีบเดินนำหน้าสองก้าว “เป็นของผมเองครับรุ่นพี่“

 

 

“อืม” เฉิงเจวี้ยนพยักหน้า หยิบบันทึกผลประจำวันขึ้นมาดู พลางพลิกเปิดอ่าน ก่อนถามอย่างขอไปทีว่า “อยู่องค์กรการแพทย์มานานแค่ไหนแล้ว?”

 

 

“ครึ่งปีครับ”

 

 

“อืม” เฉิงเจวี้ยนพลิกกระดาษไม่กี่แผ่น ก่อนวางบันทึกผลประจำวันลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “รู้จักการเกิดปฏิกิริยาของเอนไซน์ในร่างกายไหม?”

 

 

“อ้อ แน่นอนว่า…” นักศึกษารีบพลิกหน้าเปิดหนังสือในมือ

 

 

เฉิงเจวี้ยนยื่นมือกดหิวคิ้ว “หน้า429บรรทัดที่สาม”

 

 

นักศึกษาถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ

 

 

ลั่วจิงรู้สึกทนดูภาพตรงหน้าไม่ได้ “รีบเปิดหน้า429”

 

 

นักศึกษาเปิดถึงหน้า429 ปรากฏว่าอยู่บรรทัดที่สามจริงๆ

 

 

“การโคลนนิ่งอวัยวะเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ที่ดี แต่ก็ไม่สร้างสรรค์” หน้าตาสงบนิ่งของเฉิงเวี้ยนที่ดูเหมือนไม่แสดงอารมณ์ใดๆ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “การบันทึกผลประจำวันของนายในหน้าแรกบรรทัดสอง หน้าสามบรรทัดห้า หน้าสี่บรรทัดแปด เหมือนกับในตำราการแพทย์หน้า566กับ721เป๊ะ”

 

 

ท่าทีของกู้ซีฉือที่เห็นใจเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นขึงขังขึ้น

 

 

ลั่วจิงไม่พูดอะไรมาก ทุกคนสัมผัสได้ว่าเฉิงเจวี้ยนกำลังโกรธ

 

 

เป็นเช่นนั้นจริงๆ พวกเขาใช้ความพยายามตั้งเท่าไหร่ถึงสามารถให้คนในประเทศช่วงชิงพื้นที่ห้องใต้ดินชั้น12มาได้ เพื่อให้นักศึกษาพวกนี้ได้เติบโตต่อไป

 

 

มือข้างหนึ่งของฉินหร่านถือเสื้อโค้ต อีกข้างหิ้วกระเป๋าเป้ แต่ไม่ได้เดินเข้าไป

 

 

เพียงนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ด้านหลัง

 

 

เธอมองเฉิงเจวี้ยนพลางยิ้มให้เขา ไฟแห่งความโกรธเหนือศีรษะสะท้อนใบหน้าอันอ่อนโยนของเธอ

 

 

เฉิงเจวี้ยนรวบรวมสติจนโทสะหายไปหมดสิ้น เขาหันมองลั่วจิง “อาจารย์ ผมไม่รบกวนแล้ว ส่วนศาสตราจารย์ท่านอื่นก็ช่วยพูดแทนผมด้วย ผมจะมาหาอีกทีหลังปีใหม่”

 

 

ลั่วจิงพยักหน้าด้วยความละอายใจ “ฉันรู้แล้ว”

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองกู้ซีฉือและเจียงตงเยี่ย “อยากไปกับพวกฉันไหม?”กู้ซีฉือเหลืองานที่ต้องสะสางอยู่ไม่มากนัก เมื่อได้ยินประโยคนี้ของเฉิงเจวี้ยน เขากำลังจะบอกปฏิเสธ แต่เมื่อนึกถึงฉินหร่านกับเฉินซูหลาน เขาจึงเข้าใจเจตนาของเฉิงเจวี้ยน “ช่วยรอแป๊บ ผมขอไปเอาเสื้อโค้ตก่อน”

 

 

เมื่อพวกเขาเดินออกจากประตู

 

 

ลั่วจิงจึงก้มหน้ามองนักศึกษาเหล่านั้น

 

 

นักศึกษาที่เปิดตำราแพทย์หน้า566กับ721ยืนแข็งค้างอยู่นานไม่ยอมขยับ

 

 

ลั่วจิงถอนหายใจ เขาหยิบกุญแจออกจากกระเป๋าส่งให้นักศึกษา “ห้องทดลองของรุ่นพี่เฉิงเจวี้ยนของพวกเธออยู่ด้านในสุด ในนั้นมีวิทยานิพนธ์และสรุปผลการทดลองของเขา พวกเธอเข้าไปดูเถอะ”

 

 

นักศึกษาที่ยืนนิ่งอยู่นานรับกุญแจมา เมื่อออกจากประตู ก็เจอกับนักศึกษาปริญญาเอกที่ใส่เสื้อคลุมยาวสีขาวอยู่กลุ่มหนึ่ง “ศาสตราจารย์ลั่ว หัวหน้าศิษย์เอกของอาจารย์ละครับ? ผมพึ่งเห็นพวกเขาลงมาอยู่หลัดๆ…”

 

 

**

 

 

ทางด้านอีกฝั่ง เฉิงเจวี้ยนรับหน้าที่ขับรถเช่นเดิม กู้ซีฉือกับเจียงตงเยี่ยนั่งด้านหลัง

 

 

“รุ่นพี่ก็มีที่ดินอยู่ในรัฐ M เหรอครับ?” กู้ซีฉือนั่งหลังฉินหร่าน มือยันหลังเบาะฉินหร่านไว้

 

 

มองดูเส้นทางที่ขับไปคฤหาสน์ รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก

 

 

“อืม” เฉิงเจวี้ยนอืมอย่างขอไปที มือของเขาวางอยู่บนพวงมาลัย ค่อยๆ ลดความเร็วลง

 

 

คนเฝ้าประตูเห็นรถที่ขับเข้ามาอยู่ไกลๆ ก็รู้ทันทีว่าเป็นรถยนต์ของเฉิงเจวี้ยน จึงรีบเปิดประตูรอ

 

 

เมื่อฉินหร่านเห็นชื่อบนประตูเหล็กบานใหญ่ ก็หันไปมองกู้ซีฉือที่อยู่ด้านหลัง

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ
Status: Ongoing
ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset