เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 254 นายน้อยเจวี้ยนมารับคุณหนูฉิน มีเรื่องสกปรกให้จัดการอีกแล้ว

 

 

 

งานศพของหลินซูหลานเมื่อปีที่แล้ว มู่หยิงอยู่ที่นั่นขณะที่ฉินอวี่กำลังพูดถึงศาสตราจารย์เว่ย  

 

 

ในเวลานั้นจิตใจของฉินอวี่ไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว เนื่องจากรู้ว่าตอนเด็กฉินหร่านเคยเรียนไวโอลินเช่นเดียวกัน  

 

 

ตอนนั้นเธอสงสัยว่าศาสตราจารย์เว่ยรับฉินหร่านเป็นศิษย์ใช่หรือไม่  

 

 

จนเมื่อเธอได้คำตอบที่เมืองหลวง เธอไม่เห็นฉินหร่านที่สมาคม ทั้งไม่มีใครพูดถึงฉินหร่านมาก่อน  

 

 

สำหรับศาสตราจารย์เว่ยเองก็คง…  

 

 

หลังจากงานศพของหลินซูหลาน เขาก็กลับสมาคมไวโอลินที่เมืองหลวง มีโอกาสได้เข้าร่วมงานใหญ่ไม่น้อย ฉินอวี่กับนักเรียนคนอื่นเคยได้ยินเรื่องคาบเรียนของศาสตราจารย์เว่ย  

 

 

เธอไตร่ตรองอย่างระมัดระวังว่าไม่เคยได้ยินศาสตราจารย์เว่ยพูดถึงฉินหร่านมาก่อน  

 

 

แม้ฉินอวี่จะถามเรื่องของฉินหร่านกับคนในสมาคม แต่คำตอบที่ได้รับคือทุกคนล้วนไม่เคยได้ยินชื่อของฉินหร่าน เมื่อรู้เช่นนั้น เธอจึงวางใจลงได้  

 

 

ดูเหมือนว่าศาสตราจารย์เว่ยไม่ได้รับฉินหร่านเป็นศิษย์  

 

 

ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่ได้แปลกแต่อย่างใด หากฉินหร่านรู้จักกับศาสตราจารย์เว่ยก่อนหน้านี้ ทำไมที่ผ่านมาไม่เคยพูดถึงเลย?  

 

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เธอจึงค่อยๆ คีบผักกวางตุ้งเข้าปากคำหนึ่ง พลางมองฉินหร่านด้วยความสงสัย  

 

 

จู่ๆ ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา  

 

 

เธอไม่รู้ว่าครึ่งปีที่ผ่านมาฉินหร่านอยู่ที่รัฐ M มาโดยตลอด ทั้งไม่รู้ว่าฉินหร่านทำอะไร รู้เพียงแค่ว่าฉินหร่านยังคงไม่ชอบเรียนหนังสือเหมือนอย่างเมื่อก่อน ถึงได้พักการเรียนไปอีก  

 

 

อย่างไรก็ตามตอนนี้ฉินหร่านมีคดีติดตัว  

 

 

ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของฉินอวี่และฉินหร่านต่างตึงเครียดมาโดยตลอด เธอเกลียดที่ฉินหร่านได้ครอบครองทุกสิ่ง ราวกับว่าไม่ต้องลงมือทำอะไรเอง แต่คนข้างตัวก็ติดตามฉินหร่านอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก  

 

 

เพียงแต่ตอนนี้…  

 

 

ฉินอวี่รู้สึกว่าตัวเองได้สลัดพื้นที่เล็กๆ อย่างอวิ๋นเฉิงออกไปแล้ว ราวกับว่าทิ้งบ้านเกิดของตัวเองไป บรรลุสิ่งที่ตลอดชีวิตของฉินหร่านไม่อาจมาถึงในจุดนี้ได้  

 

 

เมื่อก่อนเวลามีเรื่องกระทบกระทั่งกับฉินหร่าน เธอก็ไม่ได้หยิบเรื่องฉินหร่านมาคิดเล็กคิดน้อย  

 

 

เมื่อได้ยินฉินอวี่พูดเช่นนี้ ฉินหร่านก็นิ่งเงียบสักพัก  

 

 

เธอเงยหน้ามองฉินอวี่แวบหนึ่ง  

 

 

หนิงเวยกระแอมทีหนึ่ง “หรานหร่าน หนูกินน้ำซุปดู น้าตุ๋นตั้งแต่เมื่อบ่ายแล้ว”  

 

 

เธอหยิบถ้วยฉินหร่านที่อยู่ด้านข้าง ก่อนตักน้ำซุปให้ฉินหร่าน  

 

 

ฉินหร่านเพียงรับถ้วยน้ำซุปที่หนิงเวยตักให้ตัวเอง พลางหยิบช้อนด้านข้างกินอย่างไม่เร่งรีบ ก่อนตอบฉินอวี่ด้วยน้ำเสียงสบายๆ “อืม สอบน่ะ”  

 

 

“ฟู่” เห็นฉินหร่านมีท่าทีสบายๆ เช่นนี้ฉินอวี่ก็แอบกลอกตา เธอทนไม่ไหวหัวเราะออกมา “โอเคพี่ งั้นสู้ๆ นะ ตั้งใจสอบ หนูจะรอพี่ที่เมืองหลวง”  

 

 

หนิงฉิงที่นั่งข้างฉินอวี่ หากเป็นหนึ่งปีที่แล้ว เธอต้องเอ่ยปากตำหนิฉินหร่านเป็นแน่ ทว่าปีนี้แม้หน้าตาของเธอจะดูคร่ำเครียด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร  

 

 

มู่หนานก้มหน้าก้มตากินข้าว ท่าทางเย็นชาเหมือนอย่างที่เคยเป็น  

 

 

“มู่หยิง เธอก็จะสอบเข้าเมืองหลวงใช่ไหม?” ฉินอวี่ไม่ได้รู้สึกว่าฉินหร่านจะข่มขู่อะไร เธอจึงตักข้าวเข้าปากไปสองคำอย่างมีความสุข ก่อนวางตะเกียบมองมู่หยิง  

 

 

มู่หยิงก้มหัวอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย เธอเม้มปากพูดด้วยน้ำเสียงเบา “ค่ะ…”  

 

 

เกรดของนักเรียนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงล้วนอยู่ในระดับสูง  

 

 

ยังไงเกรดของมู่หนานก็สอบผ่านอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้แม้คะแนนของมู่หยิงไม่ได้ดีกว่ามู่หนาน แต่ก็สามารถสอบเข้าโรงเรียนมัธยมเหิงชวนได้ไม่ยาก  

 

 

แต่ครึ่งปีมานี้คะแนนสอบของเธอในแต่ละครั้งลดลงอย่างเห็นได้ชัด  

 

 

เมื่อก่อนรายชื่อยังติดอันดับหนึ่งในสิบ แต่ตอนนี้ทำได้เพียงประมาณอันดับที่สามสิบเท่านั้น   

 

 

เป็นสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วน…  

 

 

“อืม” ฉินอวี่พยักหน้า “พี่ยังเก็บสมุดเลกเชอร์ไว้อยู่ ถ้าหากเธอต้องการ เดี๋ยวกลับไปเอาที่บ้านสกุลหลินกับพี่ก็ได้”  

 

 

เมื่อได้ยินฉินอวี่พูดเช่นนี้ มู่หยิงเงยหน้าพูดอย่างไม่คิดไม่ฝัน “ขอบคุณค่ะพี่รอง!”  

 

 

**  

 

 

เดิมฉินหร่านมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับหนิงเวย แต่ตอนนี้มีฉินอวี่กับหนิงเวยอยู่ เธอจึงไม่มีกะจิตกะใจพูดถึง จึงส่งข้อความให้เฉิงมู่เข้ามารับ  

 

 

ฉินอวี่ก็ไม่คิดจะอยู่บ้านหนิงเวยนาน กินข้าวเสร็จก็จะกลับบ้านสกุลหลิน  

 

 

มู่หยิงเห็นเธอไปแล้ว จึงรีบจัดการตัวเอง  

 

 

ขณะเดินตามหลังฉินอวี่ไป ก็ตะโกนไปด้านหลัง “แม่หนูไปเอาสมุดเลกเชอร์กับพี่รองนะคะ”  

 

 

หนิงฉิงเดินตามหลังทั้งสองอยู่ก้าวหนึ่ง เพื่อรอฉินหร่านชั่วครู่  

 

 

“ฉินหร่านทำไมหนูถึงพักการเรียนอีกแล้ว]jะ?” หนิงฉิงม้วนริมฝีปาก ไม่รู้ว่าต้องใช้น้ำเสียงอย่างไร “แล้วก็ อวี่เออร์บอกว่าศาสตราจารย์เว่ยไม่เคยรับลูกศิษย์ แล้วหลายเดือนที่ผ่านมาหนูไปไหนมากันแน่?”  

 

 

ฉินหร่านดูโทรศัพท์ที่เฉิงมู่ตอบเธอมาประโยคหนึ่ง บอกว่างเจวี้ยนจะเป็นคนมารับเธอ  

 

 

จากนั้นเธอเก็บโทรศัพท์ลง ไม่ได้ตอบกลับข้อความ  

 

 

ทั้งไม่ตอบคำถามหนิงฉิง มีเพียงหน้าตาที่เย็นชายิ่ง  

 

 

หนิงฉิงเห็นเธอมีท่าทีเช่นนี้ก็รู้ว่าเธอเริ่มต่อต้านอีกแล้ว ความจริงแล้วเธอยังอยากถามเรื่องเฟิงโหลเฉิงและศาสตราจารย์เว่ยด้วย แต่เห็นฉินหร่านเป็นแบบนี้เธอจึงพูดอย่างช่วยไม่ได้ “น้องของลูกก็นับว่าเรียนทั้งไวโอลิน อีกทั้งไม่เคยทิ้งการเรียน อาศัยตัวเองจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงได้อย่างไม่มีปัญหา แม่รู้ว่าลูกเกลียดแม่มาโดยตลอด แต่ลูกไม่เคยคิดบ้างหรือว่า นี่จะเป็นปัญหาของแม่คนเดียว? หากลูกเชื่อฟัง ทำคะแนนให้ดีเหมือนน้องบ้าง…ช่างเถอะ แม่ไปละ ”  

 

 

เธอพูดจบ ก็ใส่รองเท้าส้นสูงเดินจากไป  

 

 

ฉินหร่านเดินตามหลังหนิงฉิงอยู่หลายก้าวอีกทั้งเดินช้าๆ  

 

 

เมื่อเธอเดินลงมา หนิงฉิงก็นั่งข้างคนขับพร้อมปิดประตูแล้ว  

 

 

ช่วงนี้บรรยากาศไม่ค่อยดีนัก  

 

 

มีฝนตกห่าใหญ่ลงมาในช่วงเย็น  

 

 

ฉินหร่านยืนอยู่หน้าประตู  

 

 

รถจากบ้านสกุลหลินยังไม่ออกไป ขณะหน้าต่างประตูรถด้านหลังเลื่อนลง เผยให้เห็นใบหน้าอันน่ารักของฉินอวี่ “พี่จะไปไหนคะ ให้คนขับรถไปส่งพี่ไหม? ฝนตกแล้วเดินไปไม่น่าจะดีนะคะ”  

 

 

ฉินหร่านที่กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้น ตอบด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวและเยือกเย็นว่า “ไม่ต้อง”  

 

 

ฉินอวี่หัวเราะ อยากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ขณะนั้นเองมีรถสีดำคันหนึ่งจอดลงช้าๆ ด้านข้าง  

 

 

ร่างสูงอันหล่อเหล่าเดินลงมาจากที่นั่งคนขับ  

 

 

แม้จะมีลมกระโชกและฝนโปรยลงมา แต่ร่างนั้นก็ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด แสงจากโคมไฟข้างทางตกสะท้อนได้ไม่ชัดเจนนัก ขณะมือข้างหนึ่งถือร่มสีดำเดินเข้ามาช้าๆ ราวกับว่าตกอยู่ในภาพวาดหมึกดำของแม่น้ำเจียงหนาน  

 

 

“อยากจะไปหาน้าเล็กของเธอไหม?” เฉิงเจวี้ยนยืนอยู่ที่บันไดด้านล่างเพื่อรอฉินหร่านลงมา ไม่ได้สนใจสายตาที่จ้องมองมาจากด้านในรถ พลางถามเสียงทุ้มต่ำ  

 

 

ฉินหร่านเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า ก่อนส่ายหัว ตอบเสียงอันเบา “ไม่ล่ะ ตอนเย็นนี้น้าต้องไปทำงานอีก”  

 

 

เฉิงเจวี้ยนคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่ได้เดินขึ้นไป  

 

 

ตอนกลับมาเขาให้เฉิงมู่ส่งของบางอย่างให้หนิงเวย  

 

 

ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินขึ้นรถพร้อมกัน  

 

 

**  

 

 

ไม่ใกล้ไม่ไกล รถของสกุลหลินยังไม่ออกไปพวกเขาต่างเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  

 

 

เฉิงเจวี้ยนผู้นี้ฉินอวี่เคยเจอมาก่อน แต่เมื่อเธอมาที่เมืองหลวง เรื่องระยะหลังที่เกิดขึ้นเธอจึงไม่รู้แน่ชัด  

 

 

ตอนอยู่กับอาจารย์ไต้ ฉินอวี่ก็เจอคนมากหน้าหลายตา โดยเฉพาะเมื่อครั้งเข้าร่วมงานเลี้ยงใหญ่โตหลายงานที่เมืองหลวง ทั้งยังมีที่รัฐ M ครั้งหนึ่ง  

 

 

ทว่าเธอไม่เคยเจอบุคคลที่น่าดึงดูดและมีอำนาจเท่ากับคนที่อยู่ข้างกายฉินหร่านมาก่อน  

 

 

“แม่ แม่รู้จักเขารึเปล่า?” ฉินอวี่ถามพลางมองไปยังกระจกรถอีกฟาก  

 

 

หนิงฉิงส่ายหัว ขณะหดคออย่างไม่ตั้งใจ “เขาเป็นหมอคนหนึ่ง มีแซ่เฉิง ส่วนเรื่องอื่นแม่ก็ไม่รู้แล้ว”  

 

 

มู่หยิงก็มองไปทางกระจกรถด้านนอก แววตาเต็มไปด้วยความสับสน  

 

 

เมื่อเห็นทั้งสองขึ้นรถไป เธอจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองอีกทีหนึ่ง  

 

 

ปีที่แล้วมู่หยิงอยู่ที่เมืองหลวงก็เห็นชายหนุ่มฐานะร่ำรวยมาไม่น้อย แต่ไม่ใครสักคนที่มีหน้าตาและรูปลักษณ์เทียบเท่าเฉิงเจวี้ยนได้  

 

 

เมื่อเห็นรถสีดำคันนั้นเคลื่อนที่ออกไปแล้ว มู่หยิงจึงละสายตากลับมาด้วยความสับสนมากกว่าเดิม  

 

 

ฉินอวี่พยักหน้า เธอพิจารณารถของเฉิงเจวี้ยน รถฟ็อลคส์วาเกินสีดำคันใหญ่ ทั้งด้านหน้ายังติดป้ายทะเบียนเมืองหลวง  

 

 

เธอค่อยๆ หรี่ตาอย่างไม่รู้ตัว แซ่เฉิงงั้นเหรอ?  

 

 

เธออยู่เมืองหลวงมาครึ่งปีกว่า ไม่เคยได้ยินคนแซ่เฉิงมาก่อน…อีกทั้ง ยังเป็นรถฟ็อลคส์วาเกิน  

 

 

ฉินอวี่ละสายตา  

 

 

รถของพวกเขาขับถึงบ้านสกุลหลินอย่างรวดเร็ว  

 

 

มู่หยิงเคยเข้าพักที่บ้านสกุลเสิ่นตอนไปเมืองหลวง เมื่อเปรียบเทียบสกุลหลินและสกุลเสิ่นก็มีข้อแตกต่างอยู่ไม่มาก ดังนั้น แม้จะเป็นครั้งแรกที่มาบ้านสกุลหลิน มู่หยิงก็ไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตาตื่นใจแต่อย่างใด เพียงแค่เดินตามหลังฉินอวี่ไปอย่างเงียบๆ  

 

 

“กลับมาเร็วขนาดนี้เชียว?” หลินฉีและผู้เฒ่าหลินนั่งคุยกันอยู่บนโซฟา  

 

 

ตอนนี้เมื่อคนในบ้านสกุลหลินเห็นฉินอวี่ก็ไม่อาจทำเป็นมองไม่เห็นได้อีกแล้ว โดยเฉพาะผู้เฒ่าหลิน  

 

 

ฉินอวี่เปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะ “พวกเรากินข้าวที่บ้านน้าเล็กเสร็จก็กลับมาแล้วค่ะ” ผ่านไปพักหนึ่ง เธอพูดเสริมว่า “อ้อ พ่อคะ ปู่คะ รู้ไหมคะว่าเราไปบ้านน้าเล็กแล้วเจอใคร?”  

 

 

“ใครรึ?” ผู้เฒ่าหลินยิ้ม  

 

 

“พี่สาวหนูค่ะ พี่เขากลับมาสอบ” น้ำเสียงของฉินอวี่ฟังดูตื่นเต้นยิ่ง  

 

 

ผู้เฒ่าหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้ถามอะไรมาก “เธอกลับมาแล้วหรือ”  

 

 

ไม่ได้กลับโรงเรียนมาเจ็ดเดือนกว่า เดิมคิดว่าคะแนนจะไม่ดี ฉินหร่านคงสอบมหาลัยวิทยาลัยไม่ไหว ผู้เฒ่าหลินจึงไม่ได้สนใจอะไร  

 

 

เห็นสีหน้าของผู้เฒ่าหลินและหลินฉีเช่นนี้ ฉินอวี่จึงยิ้มเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไรต่อ  

 

 

“ไปเถอะ ไปเอาเลกเชอร์ที่ห้องหนังสือพี่กัน” เธอหันมาพูดกับมู่หยิงอย่างอ่อนโยน  

 

 

**  

 

 

ฉินอวี่ไปห้องหนังสือด้านบนหยิบเลกเชอร์กองหนึ่งลงมาส่งให้มู่หยิง  

 

 

มู่หยิงรีบถือไว้ พูดอย่างกระตือรือร้น “ขอบคุณมากค่ะพี่รอง!”  

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก” ฉินอวี่ตอบช้า ๆ  

 

 

ด้านบน  

 

 

เมิ่งซินหรานกำลังโทรศัพท์หาที่บ้านของเธอ พูดถึงเรื่องช่วงเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัย  

 

 

โทรศัพท์ไปพลางเดินลงบันไดไปพลาง  

 

 

เมื่อเดินมาถึงด้านล่างก็เจอกับมู่หยิง  

 

 

เมิ่งซินหรานไม่เคยเห็นญาติทางฝั่งหนิงฉิงมาก่อน แน่นอนว่าไม่รู้จักกับมู่หยิง อีกทั้งมู่หยิงเมื่ออยู่ที่โรงเรียนก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรนัก  

 

 

ทว่าเดิมชื่อเสียงของเมิ่งซินหรานเป็นที่รู้จักกันมาก โดยเฉพาะตอนที่เพิ่งเข้าเรียนใหม่ๆ เป็นนักเรียนจากเมืองหลวง อีกทั้งยังเป็นตัวสำรองของ OST เมื่อมาอยู่ที่โรงเรียนจึงเป็นที่รู้จักกันทั่ว  

 

 

ทว่าเนื่องจากช่วงหลังเหตุการณ์ในห้องเก้าเริ่มคึกคักขึ้น ความนิยมของเธอในโรงเรียนจึงลดลง  

 

 

แต่ก็ไม่ได้กระทบถึงมู่หยิงที่รู้จักกับเมิ่งซินหราน  

 

 

เธอถือแบบฝึกหัดกองหนึ่งของฉินอวี่ไว้จากนั้นก้มหัวให้เมิ่งซินหรานอย่างเป็นมารยาท “คุณหนูเมิ่ง”  

 

 

เมิ่งซินหรานที่ถือโทรศัพท์ในมือ  

 

 

เมื่อได้ยินมู่หยิงพูดเช่นนั้น จึงตอบเพียง “อืม” เบาๆ พูดน้อยคำด้วยท่าทางหยิ่งยโสเหมือนที่เคยเป็น   

 

 

มู่หยิงรู้ดีว่าแต่เดิมเธอเป็นคนจากเมืองหลวง จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก เพียงหมุนตัวเดินจากไป  

 

 

เนื่องจากการก้มหัวของเธอ  

 

 

ทำให้มีรูปภาพใบหนึ่งหล่นลงมาจากกองเลกเชอร์แบบฝึกหัด  

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ
Status: Ongoing
ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset