เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 268 พวกเธอใจเย็นกันก่อน

สถานที่จัดงานเลี้ยงเฉิงมู่ได้ตระเตรียมเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งกลับประเทศ แขกของอวิ๋นเฉิงมาจากที่ต่างๆ มากมาย การจัดลำดับการจองถูกจัดไว้หนึ่งเดือนให้หลัง  

 

 

เพื่อที่จะให้เหล่าวัยรุ่นได้สนุกเต็มที่ พ่อบ้านเฉิงได้วางแผนเวลาเอาไว้ กำหนดเวลาที่หกโมงเย็น  

 

 

จากนั้นก็เริ่มแจ้งกับเพื่อนร่วมชั้นเหล่านั้นทีละคน  

 

 

ที่บ้านตระกูลเฉียว เฉียวเซิงเมื่อรับโทรศัพท์แล้ว ในที่สุดก็ลงจากเตียง  

 

 

เขานั่งทบทวนชีวิตอยู่บนเตียง จากนั้นก็ยื่นมือไปพิมพ์ข้อความส่งให้สวีเหยากวง…  

 

 

“งานเลี้ยงเจ๊หร่าน จะไปไหม”  

 

 

อีกฝ่ายตอบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว…  

 

 

“ไม่ไป”  

 

 

บ้านของตระกูลสวีที่เมืองหลวง กำลังเป็นช่วงอาหารเที่ยง  

 

 

สวีเหยากวงกลับมาที่เมืองหลวงหลังจากสอบเสร็จสองวัน  

 

 

“วันนี้คะแนนสอบที่เมืองอวิ๋นเฉิงออกแล้ว” พ่อบ้านตระกูลสวียืนอยู่ข้างตัวสวีเหยากวง ถามขึ้นเบาๆ ว่า “คุณตรวจสอบคะแนนแล้วหรือยังครับ”  

 

 

“ยัง” สวีเหยากวงวางโทรศัพท์มือถือลง เมื่อกินข้าวเสร็จเขาก็วางตะเกียบลง สีหน้าเย็นชา  

 

 

เขารู้ว่าวันนี้ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยออกแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ตรวจสอบ คะแนนที่เขาคาดการณ์แต่ไหนแต่ไรไม่เคยผิดพลาดมาก่อน  

 

 

สายตามองไปที่โทรศัพท์มือถือ ช่องสนทนากับฉินอวี่อยู่ต่อจากเฉียวเซิง  

 

 

ฉินอวี่ครั้งนี้คะแนนวิทยาศาสตร์ไม่ถึงสองร้อยแปดสิบคะแนน มีแค่คะแนนวิทยาศาสตร์วิชาเดียวที่ดูไม่ออก สวีเหยากวงเองก็ได้ถามคะแนนวิทยาศาสตร์ของพานหมิงเย่ว์ไปแล้ว ดูเหมือนจะไม่ถึงสองร้อยแปดสิบคะแนนเสียด้วยซ้ำ  

 

 

ข้อสอบในปีนี้นับว่ายากจริงๆ  

 

 

พ่อบ้านตระกูลสวีได้ยินสวีเหยากวงตอบ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ บ้านตระกูลสวีนับแต่รุ่นก่อนถึงรุ่นปัจจุบันก็ไม่เคยปรากฏคนที่ผลการเรียนแย่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่นของสวีเหยากวง ดูราวกับเติบโตมาด้วยคะแนนที่เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันเสียด้วยซ้ำ   

 

 

ต่อให้ครั้งนี้เขาจะสอบได้ระดับจอหงวนของประเทศ พ่อบ้านตระกูลสวีและผู้คนที่เมืองหลวงก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรมากมาย คงคิดว่าเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว  

 

 

“ข้อสอบทั่วทั้งประเทศครั้งนี้มหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ในเมืองหลวงร่วมมือกันออก” พ่อบ้านตระกูลสวีเห็นสวีเหยากวงกินข้าวเสร็จแล้ว ก็ให้คนเก็บถ้วยชามออกไป  

 

 

ได้ยินดังนั้น แววตาของสวีเหยากวงในที่สุดก็มีความเปลี่ยนแปลง เขาเงยหน้าขึ้น “พวกอธิการบดีโจวหรอ”  

 

 

พ่อบ้านสวีพยักหน้า  

 

 

สวีเหยากวงผู้ซึ่งไม่เคยตรวจสอบคะแนนมาก่อนเลยครั้งนี้กลับอยู่ไม่สุข เขาหยิบโทรศัพท์มือถือเดินกลับห้องของตัวเองไป แล้วก็เปิดคอมพิวเตอร์  

 

 

พ่อบ้านสวีก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคงไปตรวจสอบคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัย พอคิดดังนั้น ก็เดินตามหลังเขาไป  

 

 

สวีเหยากวงจำรหัสเข้าสอบของตัวเองได้  

 

 

ตอนที่พ่อบ้านสวีเดินมาถึง บนหน้าเว็บไซต์ก็แสดงผลคะแนนออกมา  

 

 

“เจ็ดร้อยสามสิบสองหรือ” พ่อบ้านสวียืนอยู่หลังสวีเหยากวง มองไปหน้าคะแนนที่รีเฟรชใหม่ ก็ยิ้มขึ้นอย่างพอใจ   

 

 

ยิ้ม…แต่เมื่อได้เห็นคำว่า “อันดับสองของเมือง” เท่านั้น เขาก็รู้สึกตกใจ “คะแนนถึงขนาดนี้ยังได้แค่อันดับสองหรือ”  

 

 

ข้อสอบที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งจับมือกันออกนั้น เมื่อแบ่งตามระดับแล้ว ถือว่าเป็นความยากระดับที่บรรดาเด็กวัยรุ่นเรียกกันว่าฝันร้ายเลยทีเดียว พ่อบ้านตระกูลสวีย่อมรู้ดีว่าสามารถสอบได้คะแนนเจ็ดร้อยสามสิบสองสำหรับสวีเหยากวงเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมแล้ว  

 

 

แต่อันดับที่สองของเมืองทำให้พ่อบ้านสวีรู้สึกประหลาดใจอย่างมากจริงๆ  

 

 

สายตาของสวีเหยากวงมองไปที่คะแนนนั้นอยู่นาน ในหัวรู้สึกวูบวาบ   

 

 

หลังจากสอบ เขานึกถึงเรื่องที่ฉินหร่านใช้มือขวาเขียนบนกระดาน  

 

 

คิดถึงเรื่องนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดหาข้อความเฉียวเซิง แล้วถามคะแนนของฉินหร่านจากเขา  

 

 

เฉียวเซิงตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา  

 

 

เขาแคปหน้าจอคะแนนของฉินหร่านส่งกลับมา  

 

 

หน้าจอที่แคปเป็นประเด็นถกอันร้อนแรงในเหิงชวน แม้กระทั่งเว็บไซต์ของเวยป๋อก็เริ่มมีการเผยแพร่ภาพนี้ออกไป  

 

 

สวีเหยากวงเปิดดู  

 

 

พ่อบ้านสวียืนอยู่ข้างตัวเขา ย่อมต้องเห็นคะแนนนั้น เขาพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ “คะแนนรวมเจ็ดร้อยสี่สิบเจ็ดเลยหรือ! เป็นระดับจอหงวนของทั้งประเทศปีนี้เลยหรอ?!”  

 

 

“ฉันจะกลับไปที่เมืองอวิ๋นเฉิง” สวีเหยากวงมองอยู่สักพักใหญ่ แล้วดึงเก้าอี้ออกก่อนลุกขึ้น  

 

 

**  

 

 

ช่วงเย็นห้าโมงสี่สิบนาที ผู้คนจากห้องเก้าต่างทยอยกันมาถึงโรงแรมอวิ๋นติ่ง  

 

 

ชั้นดาดฟ้าของโรงแรมอวิ๋นติ่งถูกพ่อบ้านเฉิงเหมาจัดงานอย่างหรูหรา  

 

 

คนจากห้องเก้าอยู่ในห้องวีไอพีที่รายล้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างครบครัน  

 

 

การรวมตัวของเหล่านักเรียนกลุ่มนี้ เฉิงเจวี้ยนไม่ได้เข้าร่วม หลักๆ แล้วเป็นเพราะพ่อบ้านเฉิงคิดว่าหากเฉิงเจวี้ยนมาด้วยจะส่งผลต่อความสนุกของพวกเด็กๆ  

 

 

ตอนที่ฉินหร่านผลักประตูเข้าไป ตอนแรกคิดว่าจะได้เห็นฉากอันสนุกสนานครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คน  

 

 

แต่ทว่าในห้องวีไอพีกลับดูเงียบเหงาอย่างน่าประหลาดใจ  

 

 

ผู้คนที่อยู่ในห้องวีไอพีที่นั่งอยู่บนม้ายาวและโซฟาต่างก็นั่งนิ่งอยู่กับที่ แสงไฟในห้องวีไอพีสว่างเพียงพอที่จะเห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมของผู้คน  

 

 

พนักงานทั้งแปดคนเห็นได้ชัดว่าเป็นครั้งแรกที่ได้พบฉากเช่นนี้ แบ่งกันยืนอยู่สองฝั่งท่าทางทำตัวไม่ถูก  

 

 

จนกระทั่งพ่อบ้านและฉินหร่านปรากฏตัว ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมา ต่างมองไปยังทั้งสองคนด้วยสายตาต้องการคำถาม  

 

 

ฉินหร่านพุ่งตรงไปที่ห้องวีไอพีนี้ เธอสวมหมวกแก๊ปอยู่บนศีรษะ เห็นภาพเช่นนั้นแล้ว เธอถอดหมวกลงช้าๆ แล้วกระแอมเบาๆ “…ไม่ใช่นะ พวกเธอใจเย็นก่อน”  

 

 

พ่อบ้านนิ่งอึ้ง เขาไม่ค่อยเข้าใจนิสัยใจคอของเด็กห้องเก้านัก  

 

 

คราวนี้เมื่อดูไปแล้ว ดูเหมือนว่าคนในห้องเก้าจะโกรธเป็นพิเศษ  

 

 

เขารู้สึกเสียใจที่เชิญคนพวกนี้มาอย่างอดไม่ได้  

 

 

คิดเช่นนั้นแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังฉินหร่าน แล้วพูดขึ้นอย่างประหม่า “คุณฉิน…”  

 

 

ยังไม่ทันพูดจบ เสียงของเฉียวเซิงก็ชิงดังขึ้น “ใจเย็นไม่ได้! ถ้าเธอไม่พาพวกเราให้ได้เก้าดาว เรื่องนี้จะจบไม่ได้!”  

 

 

หัวหน้าห้องไม่ยอมที่จะทำตัวหงอเช่นกัน “ฉันก็อยากดูเหมือนกันว่าเก้าดาวจะหน้าตาเป็นอย่างไร”  

 

 

“ฉันต้องมีชื่อ!”  

 

 

“ว้าว?! ที่แท้ก็มีเรื่องดีๆ แบบนี้รอฉันอยู่หรอกหรอเนี่ย”   

 

 

“…”  

 

 

คนที่ออกมาโวยวายส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย เด็กผู้หญิงแกล้งเงียบอยู่นาน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวหัวเราะกลิ้งบนโซฟา  

 

 

ฉินหร่านพูดขึ้นอย่างเข้าใจ “คนเยอะไปนะ หนึ่งดาวแล้วกัน”  

 

 

“ไม่ได้ พวกเราเป็นพวกที่สามารถซื้อได้ด้วยดาวหนึ่งดวงหรือไง?!”  

 

 

ฉินหร่านดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งออกแล้วนั่ง สองมือกอดอก เอามือลูบคาง “การ์ดเทพคนละใบแล้วกัน”  

 

 

หัวหน้าห้องเป็นแกนนำ เทชาให้ฉินหร่านแก้วหนึ่งด้วยความชื่นชมอย่างเต็มที่ “เจ๊หร่าน พวกเราค่อยๆ คุยกัน ไม่ต้องรีบ จะการ์ดเทพหรือไม่ไม่ใช่ปัญหา พาพวกเราขึ้นระดับเก้าดาวคุณคงเหนื่อยน่าดู หนึ่งดาวก็ได้ ประเด็นคือพวกเราชอบอยู่ที่หนึ่งดาว”  

 

 

พ่อบ้านมองไปยังเหล่าเด็กๆ จากห้องเก้าสีหน้าเหลอหลา “…???”  

 

 

 อะไรนะ? การ์ดเทพที่ว่ามันคืออะไรกัน?  

 

 

ตอนแรกเขาคิดไปว่าฉินหร่านคงได้ทะเลาะกับคนพวกนี้แน่ สรุปจบแบบนี้หรือ  

 

 

“พ่อบ้านเฉิง คุณไปอีกด้านก่อนเถอะ” ฉินหร่านรับชามาจากหัวหน้าห้อง จากนั้นก็มองไปยังพ่อบ้านเฉิง แล้วบอกให้เขาออกไป  

 

 

พ่อบ้านเฉิงเดินออกจากห้องวีไอพีใหญ่ด้วยสีหน้างุนงง แล้วเดินเข้าห้องวีไอพีเล็กอย่างสับสน  

 

 

ในห้องวีไอพีเล็ก นายท่านเฉิงเปลี่ยนเป็นชุดสูท กำลังนั่งอยู่อย่างสง่าภูมิฐาน  

 

 

**  

 

 

เพราะว่าเวลาค่อนข้างเร่งด่วน หนิงฉิงจึงไม่ได้จองห้องวีไอพีที่ดีอะไรมากมาย จึงได้ห้องโถงใหญ่ที่ชั้นสิบแปด   

 

 

บ้านตระกูลหลินต้องเห็นแก่หน้าฉินอวี่แน่นอน  

 

 

ฉินอวี่เองก็ได้เชิญนักเรียนจากห้องหนึ่ง แต่ที่มาได้มีเพียงไม่กี่คน ที่เหลือล้วนแต่เป็นคู่ค้าทางธุรกิจของตระกูลหลิน  

 

 

สำหรับเหล่าญาติๆ ป้าสะใภ้ตระกูลหนิง เพราะติดด้วยเรื่องเวลาหนิงฉิงจึงได้เพียงโทรศัพท์แจ้ง ไม่ได้ไปเชิญรายคน  

 

 

การสอบเข้ามหาวิทยาลัยของฉินอวี่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ซ้ำยังได้เป็นผู้มีชื่อในสมาคมไวโอลินเมืองหลวง ต่อให้เป็นหลินหว่าน ก็ต้องทิ้งงานในมือไว้ก่อน เร่งรีบกลับมายังเมืองหลวงตั้งแต่รุ่งเช้า  

 

 

หลินหว่านเป็นคนของตระกูลเฉินแห่งเมืองหลวง ต่างจากคนอื่นในตระกูลหลิน  

 

 

หนิงฉิงและฉินอวี่ไปรับที่สนามบินโดยตรงด้วยตัวเอง  

 

 

ฉินอวี่และหลินหว่านนั่งที่เบาะหลัง หนิงฉิงนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ  

 

 

“ฉันเองก็ได้ยินที่เมืองหลวง ว่าการสอบเข้าครั้งนี้ได้รับการให้ความสำคัญจากโรงเรียนมัธยมใหญ่หลายแห่ง” หลินหวั่นรู้คะแนนของฉินอวี่แล้ว เขาหรี่ตาลง “คะแนนของเธอเป็นตัวทดสอบชีวิตศิลปิน มหาวิทยาลัยเมืองหลวงคงน่าจะพอแล้ว”  

 

 

ทุกปีที่เมืองYคะแนนสอบสายวิทย์สองร้อยอันดับแรกจึงจะสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมืองหลวงได้  

 

 

ลำดับที่ฉินอวี่ได้เพียงพอที่จะเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงแบบถูไถ แต่ความสามารถทางศิลปะนั้นโดดเด่น ซ้ำฉินอวี่ยังเป็นถึงลูกศิษย์ของไต้หราน จึงอยู่ในโครงการเพิ่มคะแนนสอบ  

 

 

หนิงฉิงเผยรอยยิ้มออกมา พูดจาน้ำเสียงฟังดูผยองเล็กน้อย “อวี่เอ๋อร์เพิ่งจะโทรศัพท์หาอาจารย์ของเธอ เขาพอใจไม่น้อยเลย”  

 

 

หลินหว่านมองหนิงฉิงแวบหนึ่ง เธอยื่นมือไปทัดผมหลังหู ก่อยยิ้มตอบ “อืม จะว่าไปแล้ว ฉันจำได้ว่าฉินหร่านปีนี้ก็สอบเหมือนกันใช่ไหม เธอสอบเป็นอย่างไรบ้าง”  

 

 

บ้านตระกูลเมิ่งกับเรื่องที่ฉินหร่านได้รับบาดเจ็บถูกปิด เรื่องนี้พัวพันกับหลายเรื่อง หลินหว่านรู้เพียงว่าตระกูลเมิ่งเสียเริ่มอิทธิพล แต่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับฉินหร่านด้วย  

 

 

หนิงฉิงชะงัก วันนี้ทั้งวันเธอโทรศัพท์คุยกับเหล่าญาติๆ ตระกูลหนิงและตระกูลหลิน จนลืมเสียสนิทว่าปีนี้ฉินหร่านเองก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยเช่นกัน  

 

 

พูดถึงเรื่องนี้ในเวลาเช่นนี้ รอยยิ้มของเธอก็เหือดแห้งไปไม่น้อย จิตใจรู้สึกหดหู่ขึ้นมาเล็กน้อย คิดถึงเรื่องที่เธอเข้ากันไม่ได้กับฉินหร่าน ก็เม้มปาก “มือเธอมีปัญหานิดหน่อย ปีนี้ไม่ได้เข้าร่วมสอบ”  

 

 

“จริงหรือ” หลินหว่านยิ้มบาง แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ  

 

 

เธอและฉินหร่านมีเรื่องระหองระแหงกัน ย่อมรู้ว่าฉินหร่านนั้นเหลวไหลเพียงใด มาพูดเรื่องนี้ในเวลานี้ ฟังน้ำเสียงก็รู้ได้อย่างชัดเจนว่าคงอยากรอดูฉากเด็ด  

 

 

สีหน้าหนิงฉิงทื่อไป  

 

 

สำหรับฉินอวี่ หลังจากคะแนนออกมาแล้ว ในใจเธอก็คิดแต่เพียงรายชื่อที่ถูกระบุไว้โดยสมาคมไวโอลินเมืองหลวงปีนี้ หากไม่ใช่เพราะว่าหลินหว่านพูดถึงฉินหร่านขึ้นมา เธอคงลืมฉินหร่านคนนี้ไปนานแล้ว สำหรับที่ว่าฉินหร่านจะสอบได้กี่คะแนนนั้น…ตอนนี้เธอไม่ได้ใส่ใจเลยแม้เพียงสักนิด  

 

 

รถของตระกูลหลินจอดอยู่ที่ลานจอดรถของโรงแรม  

 

 

ตอนนี้งานเลี้ยงที่โรงแรม คงจะฉายคำแสดงความยินดีบนม่านสีเงินที่ประตูใหญ่ทางเข้า หากมีเยอะก็จะฉายสลับกัน  

 

 

 คำแสดงความยินดีงานแต่งงาน คำแสดงความยินดีวันเกิดเด็กน้อย คำแสดงความยินดีงานแซยิดผู้ใหญ่ คำแสดงความยินดีการสอบเข้ามหาวิทยาลัย  

 

 

ในคืนนี้ส่วนใหญ่เป็นคำแสดงความยินดีที่สอบได้คะแนนสูงในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เมืองอวิ๋นเฉิง  

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ
Status: Ongoing
ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset