เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 271 ได้ยินว่าบ้านเธอยากจน แถมเรียนหนังสือไม่เก่ง

 

 

 

ฉางหนิงที่อยู่อีกฝั่งของสาย “…”  

 

 

ปกติแล้วเป็นคนอื่นที่จะแย่งชิงกันเพื่อที่จะได้เจอเขา ต้องรอคิวนานถึงครึ่งเดือนก็ไม่เป็นไร   

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่าต้องเป็นฝ่ายเข้าคิว ฉางหนิงถอนหายใจหนึ่งที ใครใช้ให้คนนี้เป็นนายใหญ่กัน  

 

 

เขายินยอมผ่อนตามเล็กน้อย “ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะรอ”  

 

 

“ช่วงนี้ไม่มีเวลาจริงๆ อาจารย์ของฉันวางแผนไว้หมดแล้ว ถ้ามีรายการอะไรก็ให้พี่เหอเฉินมาแล้วกัน เธอออกจะว่าง” ฉินหร่านหยุดอยู่ที่หัวบันได  

 

 

“หาเวลาเจอกันก่อนค่อยว่ากัน” ฉางหนิงเดินไปที่ประตูห้องสำนักงาน ประตูเปิดออกอัตโนมัติ เขาเดินเข้าไปด้านใน เปิดคอมพิวเตอร์หาเอกสารฉบับหนึ่งแล้วส่งเข้าอีเมลของฉินหร่าน “เธอยังไม่เคยมาสำนักงานหลัก 129 สินะ”  

 

 

ทั้งสองคนคุยกันต่ออีกสักครู่ก็วางสาย  

 

 

ผ่านไปไม่นาน ข้อมูลฝั่งฉางหนิงก็ส่งเข้าถึงอีเมลของฉินหร่าน เธอโหลดลงเครื่อง จากนั้นก็เปิดดู  

 

 

**  

 

 

ที่คอนโดถิงหลานมีคนคอยทำความสะอาดอยู่ตลอด เฉิงมู่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรมาก  

 

 

แต่ทว่าเป็นเพราะด้วยทำเล กระถางดอกไม้ที่เขาเอามาด้วยจึงได้แต่วางไว้บนพื้นข้างหน้าต่าง   

 

 

นายท่านเฉิงที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาตอนนี้มองไปที่กระถางดอกไม้ในมือของเฉิงมู่ ครั้งแรกที่เห็นก็รู้สึกว่ากระถางดอกไม้นั้นดูคุ้นตา แต่ในใจของเขากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก  

 

 

จึงถือแก้วชาเดินวนไปมารอบหนึ่งที่ชั้นล่าง เขาตะแคงหัวถามเฉิงมู่ “ขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ คอนโดที่นี่มีกี่ห้องนอนหรือ”  

 

 

เฉิงมู่ที่กำลังเอาข้าวของของตนไปเก็บหยุดคิดสักพัก จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “มีห้องนอนหลักและห้องนอนรอง แล้วก็มีห้องนอนสำหรับแขกอยู่อีกห้อง”  

 

 

ไม่เพียงแต่มีห้องอยู่หลายห้อง แต่ยังมีฟิตเนสหนึ่งห้อง ห้องหนังสืออีกหนึ่งห้องกินพื้นที่ไปอีกไม่น้อย แถมชั้นล่างยังเป็นพื้นที่เปิดโล่ง   

 

 

นายท่านเฉิง “…”  

 

 

เขาหันไปมองเฉิงมู่อย่างอดไม่ได้ “แล้วเธอพักตรงไหน”  

 

 

“ผมหรือครับ” เฉิงมู่ตอบนายท่านเฉิงอย่างสุภาพเต็มที่ “ตอนผมอยู่มหาวิทยาลัย พี่ชายของผมซื้อห้องชุดที่อยู่ชั้นล่างให้หนึ่งห้อง ผมก็เลยพักอยู่ชั้นล่างคุณชายเจวี้ยน หลังจากนั้นพี่ชายของผมก็ให้คนมาต่อห้องให้เชื่อมติดกัน ลงไปจากตรงนี้ได้”  

 

 

เขาพานายท่านเฉิงและพ่อบ้านเฉิงเดินไปยังข้างบันไดที่ประดับด้วยต้นบอนไซราคาแพง มองเห็นชั้นล่างที่ตกแต่งด้วยสไตล์ขาวดำ  

 

 

ตอนนี้ไม่เพียงแต่นายท่านเฉิงที่พูดอะไรไม่ออก แม้แต่พ่อบ้านเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะมองไปเฉิงมู่ “เฉิงจินเขามีเงินมากขนาดนี้เชียวหรือ”  

 

 

เฉิงมู่ไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับราคาของที่แห่งนี้ เขานิ่งอึ้งไปช่วยครู่ “ก็…ก็พอประมาณมั้งครับ”  

 

 

พ่อบ้านเฉิงพูดไม่ออกชั่วขณะ  

 

 

นายท่านเฉิงกลับไปนั่งลงบนโซฟา เฉิงเจวี้ยนขึ้นไปชั้นบนเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดแล้วลงมา มือถือโทรศัพท์มือถือ กำลังคุยโทรศัพท์อยู่  

 

 

ฟังน้ำเสียงของเขาแล้ว น่าจะเป็นเฉิงจิน  

 

 

ลู่จ้าวอิ่งตอนที่อยู่สนามบินก็แยกทางกับพวกเขากลับไปที่บ้านตระกูลลู่ก่อน  

 

 

พ่อบ้านเฉิงยืนอยู่ด้านหลังนายท่านเฉิง เทชาแก้วใหม่ให้กับเขา  

 

 

“ทำไมพวกเขาถึงกลับมาเมืองหลวงเร็วขนาดนี้” นายท่านเฉิงมองไปที่พ่อบ้านเฉิงทีหนึ่ง แล้วกดเสียงต่ำ “หรานหร่านเธอเหมือนยังจะไม่ทันได้กรอกใบอาสาสมัคร”  

 

 

พ่อบ้านเฉิงยิ้ม “ผมได้ยินเฉิงมู่พูด ดูเหมือนจะมาพบอาจารย์ของคุณหนูฉินนะครับ”  

 

 

เป็นอาจารย์อะไรนั้น พ่อบ้านเฉิงได้ถามเฉิงมู่แล้ว เฉิงมู่มองเขาด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดา แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร  

 

 

“อาจารย์อย่างนั้นหรือ” นายท่านเฉิงวางแก้วชาลง น้ำเสียงเคร่งเครียดขึ้นมา “อาจารย์อะไร พวกเขาจะไปเยี่ยมกันเมื่อไหร่”  

 

 

พ่อบ้านเฉิงใส่หน้า “ไม่รู้ครับ เฉิงมู่ไม่ได้บอกรายละเอียด น่าจะเป็นอาจารย์คนแรกของคุณหนูฉินนะครับ”  

 

 

ทั้งสองคนคุยกันอยู่สักพัก พ่อบ้านเฉิงถึงพูดขึ้นว่า “นายท่านครับ พวกเราควรกลับกันแล้ว”  

 

 

นายท่านเฉินทำหน้านิ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน เขาพยักหน้า แล้วตอบคำอย่างเย็นชาว่า “อืม”  

 

 

เฉิงเจวี้ยนกำลังวางสายพอดี ได้ยินพ่อบ้านเฉิงพูดเช่นนี้ ก็เดินไปส่งนายท่านเฉิงออกประตูไป  

 

 

**  

 

 

อีกด้านหนึ่ง อาจารย์เว่ยหลังจากได้รับข้อความของฉินหร่านแล้ว ก็นั่งอยู่ไม่สุขขึ้นมาทันที  

 

 

“อาจารย์เว่ย สำหรับการแข่งขันแสดงในการรับสมาชิกใหม่ทางนี้…” คนจากสมาคมไวโอลินเอารายชื่อยื่นให้กับอาจารย์เว่ย  

 

 

อาจารย์ใหญ่เว่ยมองไปหนึ่งที แต่ก็ไม่ได้รับมา เขาพูดขึ้นตรงๆ “เอาให้เหวินอินจัดการ”  

 

 

เหวินอินก็คือประธานสมาคมไวโอลินของเมืองอวิ๋นเฉิงก่อนหน้านี้ เป็นคนที่รู้งาน ถูกอาจารย์เว่ยดึงมาเป็นรองประธานสมาคมที่เมืองหลวง ตอนนี้เป็นลูกมือให้กับอาจารย์เว่ย  

 

 

เขาเก็บโทรศัพท์มือถือลง แล้วดึงเก้าอี้ออก จากนั้นก็เดินตรงออกไปด้านนอก  

 

 

ผู้คนที่อยู่ในห้องสำนักงานต่างถอนใจอย่างโล่งอก ต่างมองหน้ากันไปมาอย่างห้ามไม่ได้ “อาจารย์ใหญ่เว่ยเป็นอะไร”  

 

 

“ได้ยินว่าอาจารย์เว่ยได้ลูกศิษย์แล้ว!” คนผู้หนึ่งพูดขึ้นอย่างชวนให้สงสัย  

 

 

คนอื่นทำถ้าไม่เชื่อ “อาจารย์เว่ยรับลูกศิษย์หรอ จะเป็นไปได้อย่างไร  ไม่เห็นมีความเคลื่อนไหวอะไร เขาหัวสูงขนาดนั้น แม้กระทั่งฉินอวี่นักเรียนที่เก่งกาจของสมาคมในตอนนั้นยังไม่สนใจเลย”  

 

 

“ไม่ใช่ว่าเพราะอาจารย์เว่ยบอกว่าฉินอวี่ลอกเลียนแบบงานหรอ” มีคนคิดดูชั่วครู่ “ฉันว่ามันก็เป็นไปได้  สองปีมานี้สมาคมมีคนหน้าใหม่เข้ามาไม่น้อย พวกหัวกะทิส่วนใหญ่ก็เป็นคนของอาจารย์ไต้ อีกสักสองสามปีนักเรียนที่ได้รับการคัดเลือกคงจะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ไต้หมด อาจารย์เว่ยเองสงสัยคงต้องรับลูกศิษย์บ้างแล้ว”  

 

 

อีกคนหนึ่งนิ่งไปชั่วครู่ “อาจารย์เว่ยจะรับลูกศิษย์ครั้งเดียวกี่คน ตอนนี้ลูกศิษย์ที่อาจารย์ไต้ดูแลล้วนแต่เก่งกันทั้งนั้น”  

 

 

“ลูกศิษย์ไม่จำเป็นต้องเยอะ ขอแค่สามารถกู้สถานการณ์ได้ก็พอ” อีกคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างหนักแน่น ฟังดูมีประสบการณ์  

 

 

“ถ้าอย่างนั้นคิดว่าอาจารย์เว่ยจะต้องรับลูกศิษย์แบบไหนถึงจะเอาคนรุ่นนี้ได้อยู่ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้”  

 

 

ต่อให้เป็นองค์กรที่เบื้องหน้าดูเหมือนจะไม่มีการต่อสู้แย่งชิงกับโลกภายนอก ก็ยังมีการแย่งชิงอำนาจกันเอง   

 

 

**  

 

 

อาจารย์ใหญ่เว่ยไม่สนใจว่าจะมีคนที่สำนักงานนินทาเขา เมื่อออกจากประตูแล้ว จากนั้นก็จัดการเรื่องที่มอบหมายของสมาคมจนเรียบร้อย แล้วเดินไปที่ลิฟต์  

 

 

ลานจอดรถ อาไห่รออยู่นานแล้ว ประตูรถถูกเปิดไว้แล้ว “พวกเราตอนนี้ไปสนามบินใช่ไหมครับ”  

 

 

อาไห่รู้ว่าวันนี้ฉินหร่านจะมา  

 

 

“ไม่ต้อง” อาจารย์เว่ยส่ายหน้า ขึ้นนั่งบนรถ “ไปที่ถิงหลาน”  

 

 

ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาเร่งด่วนหลังเลิกงาน แต่รถก็ติดอยู่นาน อาจารย์เว่ยใช้เวลาเกือบจะสี่สิบนาทีถึงจะไปถึงคอนโดถิงหลาน  

 

 

ยามของคอนโดถิงหลานดูแลแน่นหนาอย่างมาก  

 

 

ยามบันทึกข้อมูลอาจารย์ใหญ่เว่ยแล้ว จึงปล่อยให้เขาเข้าไป  

 

 

“คงเป็นที่นี่สินะ” อาไห่มาถึงด้านนอกคอนโดดูเพล็กซ์ จ้องไปที่ป้ายประตูสักครู่เพื่อยืนยันให้แน่ใจ แล้วถึงได้กล้าเคาะประตู  

 

 

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง พ่อบ้านเฉิงก็เปิดประตูออกมา กำลังจะกลับไปที่คฤหาสน์พร้อมกับนายท่านเฉิง  

 

 

ทั้งสองฝ่ายเปิดประตูพร้อมกัน ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักอะไรกันมากนัก  

 

 

อาจารย์ใหญ่เว่ยนับว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลอย่างมากในวงการไวโอลิน แต่นายท่านเฉิงแตกต่างจากคนตระกูลสวี นายท่านเฉิงไม่ได้สนใจวงการไวโอลิน  

 

 

เขาเคยได้ยินชื่อของอาจารย์เว่ย แต่ไม่ได้ชื่นชมเหมือนอย่างคนตระกูลสวีจนถึงกับต้องไปดูการแข่งขันไวโอลินโดยเฉพาะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการไปดูงานแสดงไวโอลิน  

 

 

บางทีอาจเคยปรากฏตัวพร้อมกันในงานเลี้ยงขึ้นชื่อที่ต่างๆ แต่ก็ไม่เคยทักทายกัน   

 

 

“คุณคือ…” นายท่านเฉิงยั้งฝีเท้าลง   

 

 

เขาจำไม่ได้ แต่พ่อบ้านเฉิงที่อยู่ข้างกายเขาจำได้ “นายท่านครับ ท่านผู้นี้คืออาจารย์ใหญ่เว่ย เป็นเพื่อนสนิทของอาจารย์ใหญ่เจียง”  

 

 

“ที่แท้ก็อาจารย์เว่ยนั่นเอง” นายท่านเฉิงนึกได้ จากนั้นก็ก้าวถอยหนึ่งก้าว แล้วพูดขึ้นอย่างสุภาพ “อาจารย์ใหญ่ทำไมถึงมาที่นี่ได้ครับ”  

 

 

อาจารย์ใหญ่เว่ยรู้จักนายท่านเฉิง นี่คือบุคคลที่สำคัญเป็นพิเศษคนหนึ่งของอาจารย์ใหญ่สวี ถือว่าอยู่ในระดับสูงเลยทีเดียว ตัวเขาเองก็รู้สึกประหลาดใจ “คุณเฉิง”  

 

 

นายท่านเฉิงตอนแรกตั้งใจจะกลับไปแล้ว  

 

 

เห็นอาจารย์ใหญ่เว่ยมา ก็กลับไปนั่งลงที่โซฟาพร้อมกับอาจารย์ใหญ่เว่ย  

 

 

เฉิงเจวี้ยนทักทายอาจารย์ใหญ่เว่ย แล้วพูดขึ้นด้วยความเคารพ “อาจารย์ครับ ท่านกรุณารอสักครู่ เดี๋ยวผมจะไปเรียกเธอลงมา”  

 

 

นายท่านเฉิงและพ่อบ้านเฉิงสนใจจนอดชำเลืองตามไม่ได้  

 

 

เฉิงมู่เทชาแก้วหนึ่งให้กับอาจารย์ใหญ่เว่ย  

 

 

“ได้ ฉันไม่รีบ” อาจารย์เว่ยยกแก้วชาขึ้น จิบหนึ่งคำ แล้วส่ายหน้า  

 

 

นายท่านเฉิงและพ่อบ้านเฉิงเมื่อได้เห็นอาจารย์เว่ย สิ่งแรกที่นึกขึ้นได้ก็คืออาจารย์เว่ยน่าจะมาหาเฉิงเจวี้ยน เพราะอาจารย์เว่ย ตลอดทั้งปีถ้าไม่อยู่ที่เมืองหลวงก็อยู่ที่รัฐ M  

 

 

ที่นายท่านเฉิงได้ยินชื่อเสียงอันใหญ่โตของอาจารย์เว่ย ไม่เพียงแต่ด้านไวโอลิน ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งก็คืออาจารย์ใหญ่เว่ยอยู่ที่รัฐ M สนิทสนมกับตระกูลมาส  

 

 

แต่ดูท่าทีตอนนี้ของเฉิงเจวี้ยนแล้ว อาจารย์เว่ยน่าจะไม่ได้มาหาเขาหรอก  

 

 

“อาจารย์เว่ย คุณมาหาหรานหร่านหรือ” นายท่านเฉิงตอนนี้สังเกตอะไรบางอย่างได้ เขามองไปที่อาจารย์เว่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่งอย่างมาก   

 

 

อาจารย์เว่ยเอามือวางพาดบนที่พักแขน เขาหัวเราะ “ใช่แล้ว ตอนนี้เธอกำลังเรียนไวโอลินกับผม วันหยุดฤดูร้อนเป็นช่วงรับนักเรียนใหม่ของสมาคมที่เมืองหลวงพอดี เธอมาตอนนี้ได้จังหวะพอดี”  

 

 

ฉินหร่านลงมาจากชั้นบนแล้ว อาจารย์เว่ยลุกขึ้นอย่างดีใจ  

 

 

ชื่อเสียงของอาจารย์เว่ย ต่อให้เป็นคนที่ไม่ได้สนใจไวโอลินก็ต้องเคยได้ยิน  

 

 

สามารถเป็นลูกศิษย์ของเขา  พรสวรรค์ทางด้านไวโอลินของฉินหร่านต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน  

 

 

นายท่านเฉิงมองที่พ่อบ้านเฉิงทีหนึ่ง แล้วขมวดคิ้ว “นายบอกว่าเธอมาพบอาจารย์คนแรกของเธอใช่ไหม”  

 

 

พ่อบ้านเฉิง “…”  

 

 

นายท่านเฉิงพูดขึ้นอีกครั้ง เสียงเบาอย่างมาก “…นายบอกว่าสาขาของเธอคือคอมพิวเตอร์ไม่ใช่หรอ”  

 

 

พ่อบ้านเฉิงมองเงียบไปที่เฉิงมู่ทีหนึ่ง “ผมเองก็ไม่รู้ว่าคุณหนูฉินจะมีความสามารถทางไวโอลิน”  

 

 

และก็…  

 

 

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยตรวจสอบข้อมูลของฉินหร่าน แต่ก็เคยได้ยินมาบ้าง ว่าฉินหร่านมาจากตำบลหนิงไห่ ได้ยินว่าเป็นพื้นที่แร้นแค้น พ่อบ้านเฉิงยังเคยได้เฉิงมู่บอกว่าบ้านของคุณหนูฉินสภาพยากจน แถมยังเรียนหนังสือไม่เก่งอีกด้วย  

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ
Status: Ongoing
ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset