เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 28 นามแฝงเขาคือ คิว

เฟิงฉือเรียนจบจากโรงเรียนอี่จง สมัยก่อน อาจารย์ใหญ่สวีเป็นคนสอนวิชาคณิตศาสตร์ด้วยตัวเอง และยังเพิ่มคลาสพิเศษเพื่อติวเข้มส่วนตัวให้เขาด้วย ในตอนที่เขาเข้าแข่งขันคณิตศาสตร์ เพราะฉะนั้น รเรียกได้ว่าเขานับเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ใหญ่สวี  

 

 

ชายหนุ่มไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้นัก จนกระทั่งมาก่อตั้งบริษัทของตัวเองที่เมืองหลวง ถึงได้ตระหนักว่า “ตำแหน่ง” นี้มีประโยชน์ขนาดไหน  

 

 

หนุ่มสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ค่อยๆ เรียนรู้ฐานะและตัวตนของอาจารย์เขา  

 

 

มีเพียงครอบครัวเดียวทั่วเมืองหลวงที่ผู้อาวุโสจะเรียกว่านายน้อยลู่  

 

 

ส่วนสำหรับนายน้อยเจวี้ยนคนนี้…  

 

 

เขาไม่รู้เรื่องของหมอคนนี้มากนัก แม้ว่าตัวเขาเองจะนับว่ามีชื่อเสียงในเมืองของตัวเอง แต่ในเมืองหลวงนั้นเต็มไปด้วยผู้คนจากบ้านร่ำรวยตำแหน่งดีมากมาย เพราะฉะนั้นคนอย่างเขาจึงนับว่าไม่ได้ใกล้เคียงกับผู้คนในระดับสังคมนั้น แม้จะมีชื่อเสียงของอาจารย์ใหญ่สวีหนุน แต่เฟิงฉือเข้าถึงได้เพียงข้อมูลทั่วไปเท่านั้น เช่น ข้อมูลที่ว่าตระกูลไหนที่เขาไม่ควรไปล่วงเกิน  

 

 

อดีตลูกศิษย์ผู้อาวุโสสวีหันหน้าไปอีกทาง  

 

 

เฉิงเจวี้ยนยืนพิงกรอบประตู สายตาจับจ้องมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ สีหน้านั้นอ่านไม่ออก  

 

 

หนึ่งนาทีหลังจากนั้น นายน้อยหน้าหล่อถึงได้เงยหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ค่อยแน่ใจ ไม่มีฝ่ายที่น่าสงสัยเลย”  

 

 

จากความเข้าใจของลู่จ้าวอิ่งเกี่ยวกับผู้เป็นนาย เขาน่าจะมีรายชื่อในใจโผล่มาบ้างแล้วในช่วงหนึ่งนาทีนั้น  

 

 

“แย่จัง” ผู้ช่วยหนุ่มรู้สึกเสียดาย เขาหันหน้าเข้าคอมเพื่อบันทึกข้อมูล แล้วส่งไปให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง  

 

 

เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มทั้งสองมีเรื่องที่ยังต้องคุยกันต่อ อดีตนักเรียนโรงเรียนอี่จงจึงขอตัวกลับ  

 

 

นายน้อยลู่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แล้วยิ้ม ในขณะที่นำมือไปแตะตุ้มหูเล่น “รอเดี๋ยว พวกเราจะออกไปเหมือนกัน ถ้างั้นมาแลกเปลี่ยนข้อมูลวีแชตกันดีไหม”  

 

 

เฟิงฉือไม่คาดคิดว่านายน้อยพวกนี้จะเป็นมิตรขนาดนี้  

 

 

ทั้งสามคนเดินลงบันไดมาด้วยกัน โดยที่เฉิงเจวี้ยนที่มือสองข้างล้วงกระเป๋าเป็นคนเดินนำ พระอาทิตย์ยังมาลับขอบฟ้าทั้งดวงดี แสงที่ทอประกายอยู่ฉายให้เห็นเงาทอดยาวของตึกเรียน  

 

 

หมอหนุ่มก้าวเดินเงียบๆ ช้าๆ โดยไม่มีเสียงอึกทึกจากนักเรียนโรงเรียนอี่จงให้ได้ยินแม้แต่น้อย แต่เมื่อพิจารณาจากบรรดาเด็กผู้หญิงที่กล้าเพียงแอบมองหนุ่มหล่อผู้นี้ โดยไม่กล้าเข้ามาหาโดยตรง ไม่ว่าใครก็บอกได้ว่า ความเย่อหยิ่ง่ฝังลึกอยู่ในเส้นเลือดเขาไม่ผิดแน่  

 

 

ลู่จ้างอิ่งเดินตามหลังรักษาระยะการเดินห่างผู้เป็นนายที่ครึ่งก้าวในขณะที่พูดคุยกับคนรู้จักใหม่ไปด้วย  

 

 

ไม่ไกลจากตรงนั้น หลินซือหรานและพานหมิงเย่ว์กำลังไปสำนักอธิการบดีเพื่อรับข้อสอบด้วยกัน  

 

 

นายน้อยลู่รู้จักใบหน้าค่าตาของหลินซือหราน เพราะเขาเคยเห็นหน้าของเด็กสาวหลายครั้งที่ชุมนุมกิจกรรมแล้ว  

 

 

“นักเรียนหลิน เพื่อนร่วมโต๊ะไปไหนซะล่ะ” ผู้ช่วยหนุ่มเรียกชื่อกรรมการสาว จากนั้นก็มองไปเห็นเด็กสาวอีกคนที่มาด้วยกัน ชายหนุ่มยิ้มขึ้น “นี่ พวกเธอเลือกคบเพื่อนจากหน้าตาอย่างเดียวหรือไงเนี่ย”  

 

 

ทั้งเด็กสาวที่เขาทักและเพื่อนร่วมโต๊ะคนสวยของเธอเจอกับนายน้อยลู่มาหลายครั้งแล้ว เขายังเคยซื้อชานมให้แม่สาวพวกนี้ด้วยซ้ำ  

 

 

“เธอยุ่งๆ น่ะค่ะ” หลินซือหรานตอบ เธอถือข้อสอบไว้แน่นในมือ  

 

 

เฉิงเจวี้ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยให้กรรมการสาว ก่อนจะเดินจากมา  

 

 

เฟิงฉือเดินออกไปทางประตูใหญ่ของโรงเรียน เมื่อเห็นนายน้อยทั้งสองใส่ใจแวะทักทายเด็กนักเรียนหญิง เขาจึงคิดสงสัยว่าเด็กนั่นคือใคร แล้วจึงเดินเข้าไปหาหล่อน  

 

 

หลินซือหรานอึดอัดเล็กน้อย เธอพูดขึ้นเบาๆ “หมิงเย่ว์ ไปกันเถอะ”  

 

 

“ทำไมพวกเธอถึงย้ายมาอยู่หอที่มหา’ลัย” เสียงทุ้มต่ำทำให้เธอต้องชะงักกลางอากาศ  

 

 

กรรมการสาวรู้สึกช็อกเล็กน้อย เธอชำเลืองดูชายหนุ่มท่าทางสมาร์ตที่อยู่ตรงข้าม จากนั้นก็หันหน้าไปหาเพื่อนของเธอ รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ  

 

 

พานหมิงเย่ว์ถือข้อสอบไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างจับมือเพื่อนไว้ ดวงตากลมโตเป็นประกายนั้นดูงดงามเหลือเกิน  

 

 

“’งานของเด็กม.หกหนักมาก อยู่ที่โรงเรียนเลยสะดวกกว่า” เด็กสาวจ้าของนัยน์ตาสวยจับข้อสอบแน่นกว่าเก่า เธอตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา  

 

 

“หมิงเย่ว์” เฟิงฉือขมวดคิ้ว แล้วเตรียมจะพูดต่อ  

 

 

แต่เด็กสาวตาสวยกลับดันให้หลินซือหรานหลบ แล้วเดินออกไปก่อน “ฉันจะไปแจกข้อสอบก่อนนะ”  

 

 

ชายหนุ่มยืนอยู่ที่เดิมสักพัก ก่อนจะตัดสินใจเดินจากไป  

 

 

ฝ่ายนักเรียนที่เดินออกมาก่อนเริ่มลดความเร็วฝีเท้าลง ตอนที่เธอมั่นใจว่าชายหนุ่มภิฐานหันหลังเดินกลับไปแล้ว  

 

 

หลินซือหรานมองดูเพื่อนด้วยความรู้สึกตกใจระคนตื่นเต้น “หมิงเย่ว์ เธอรู้จักพี่เฟิงฉือด้วย! เขาเคยเป็นไอดอลที่โรงเรียนเราด้วยนา”  

 

 

กรรมการสาวเคยอยู่ชมรมวารสารตอนมัธยมต้น ตอนนั้น เธอเคยได้ยินชื่อหลินจิ่นเซวียน และเฟิงฉือ รุ่นพี่สองคนที่ดังระเบิดในโรงเรียน  

 

 

“ได้ยินว่าตอนนี้ทั้งรุ่นพี่เฟิงและรุ่นพี่หลินต่างมีบริษัทของตัวเอง” อดีตสาวสายเม้าธ์นินทาต่อเบาๆ “รู้ไหมว่าฉินอวี่จากห้องเธอเป็นน้องของหลินจิ่นเซวียนเชียวนา ในตอนนั้น ทั้งสองคนต่างคอยปกป้องน้องเล็กคนนี้ ทำให้เธอมีอิทธิพลมากโดยไม่มีใครเทียบติด ยิ่งกว่านั้น เธอรู้ใช่ไหมว่านายกเทศมนตรีเมืองเราแซ่เฟิง ฉันไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะรู้จักเขาด้วย แต่ก็นะคนที่รู้จักเขาต่างเป็นพวกที่เลิศทั้งนั้น”  

 

 

พานหมิงเย่ว์ส่ายหน้า “ฉันเป็นเพียงญาติห่างๆของตระกูลเฟิงเท่านั้น แต่ไม่ได้สนิทกับเขาหรอก ฉันเคยไปอยู่บ้านเขาพักหนึ่งเลยรู้ว่าคนที่เขารู้จักมีแต่คนเก่งๆ แต่ฉันน่ะเทียบอะไรกับคนพวกนั้นไม่ได้หรอก”  

 

 

“ทำไมจะไม่ได้เล่า! เธอเก่งเป็นอันดับสองในโรงเรียนเลยนะ คะแนนตามสวีเหยากวงแค่นิดหน่อยเอง แต่คะแนนเธอก็นำอันดับสามตั้งสิบคะแนน หมิงเย่ว์ อย่าดูถูกตัวเองแบบนี้ ก่อนที่เพื่อนร่วมโต๊ะของฉันจะย้ายมา เคยมีประเด็นร้อนถกกันด้วยว่า เธอกับฉินอวี่ใครเหมาะจะเป็นดาวโรงเรียนมากกว่ากัน!”  

 

 

แต่เพราะฉินหร่านย้ายมาเรียนที่นี่ กระทู้แบบนั้นจึงไม่มีให้เห็นอีก  

 

 

เด็กสาวคนสวยยิ้มออกมาได้ตอนที่สายตามองไปสักที่ไกลๆ “ผลการเรียนของฉันเคยห่วยมาก่อน ได้คะแนนวิชาเลขฯเป็นเลขหลักเดียวเอง”  

 

 

“อย่ามาโกหกกันน่า” เธอไม่เชื่อเพื่อนคนนี้หรอก เพราะผลคะนนพางหมิงเย่ว์เป็นรองแค่สวีเหยากวงเท่านั้น  

 

 

วิชาคณิตศาสตร์ต่างจากวิชาอื่นๆ เพราะมันต้องอาศัยการฝึกฝนและประสบการณ์มาก่อน เมื่อพิจารณาถึงผลการเรียนอันโดดเด่นของเธอแล้ว เพื่อนคนนี้จะเคยอ่อนเลขมาก่อนได้อย่างไรกัน  

 

 

เด็กสาวตาสวยยิ้มโดยไม่อธิบายอะไรต่อ  

 

 

เธอและหลินซือหรานแยกทางกันตรงทางขึ้นบันได  

 

 

กรรมการสาวมองดูหลังของเพื่อน เธอรู้จักเพื่อนคนนี้จากการแข่งขัน พวกเขานั่งโต๊ะเดียวกันในช่วงคลาสเตรียมซ้อมแข่งขัน หลินซือหรานรู้สึกเสมอว่าพานหมิงเย่ว์มักจะมีรังสีของความเศร้าแผ่ออกมาอย่างอธิบายไม่ได้  

 

 

พวกเธอรู้จักกันมาได้สองปีแล้ว และไม่เคยได้ยินเพื่อนคนนี้พูดถึงพ่อแม่สักครั้ง  

 

 

**  

 

 

ไม่กี่วันหลังจากนั้น  

 

 

ฉินหร่านฟุบหัวลงบนโต๊ะระหว่างช่วงเปลี่ยนคาบ ข้างนอกนั่นเสียงดังมากจนทำให้เธอข่มตาหลับไม่ลง สุดท้ายจึงเปลี่ยนท่าเอาคางวางบนฝ่ามือแทน  

 

 

หลินซือหรานแจกข้อสอบคืนทุกคน แล้วยื่นให้เพื่อนร่วมโต๊ะเป็นคนสุดท้าย  

 

 

หกคะแนน  

 

 

ดีกว่าครั้งที่แล้ว  

 

 

กรรมการสาวปลอบตัวเองในใจ  

 

 

“เราต้องต้อนรับนักเรียนใหม่ของโรงเรียนวันนี้ น่าจะวุ่นวายพอตัวเลย” กรรมการสาวเห็นว่าเพื่อนคนสวยดูแก้มแดง และสีหน้าไม่ดีนัก จึงถามด้วยความเป็นห่วง “หร่านหร่าน ไม่สบายหรือเปล่า”  

 

 

เธอรู้ว่าเพื่อนคนนี้ทำงานพาร์ทไทม์นอกเวลาด้วย เมื่อคืนฝนตกหนักมาก และหร่านหร่านไม่มีร่ม เพราะฉะนั้นคงต้องตัวเปียกซกตอนเดินกลับจากร้านชานมเป็นแน่  

 

 

“ฉันสบายดี” เสียงของเด็กสาวดูซึมๆ เธอหันหัวไปด้านข้างเพื่อพิงผนังแทน  

 

 

หลินซือหรานรู้สึกกังวลแทนเล็กน้อย  

 

 

จึงได้ให้เพื่อนร่วมห้องอีกคนนำยาแก้ไข้มาให้ และดูให้แน่ใจว่าเพื่อนร่วมโต๊ะกินเข้าไป  

 

 

ฉินหร่านรู้สึกง่วงยิ่งกว่าเดิมหลังทานยาแล้ว แต่ยังคงไม่นอน  

 

 

เสียงของเด็กนักเรียนใหม่ด้านล่างดังกังวานอยู่ในหัวเธอ  

 

 

เด็กสาวจึงสวมหูฟัง แล้วเปิดเสียงให้ดังขึ้น  

 

 

หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง ฉินหร่านก็ผ่านคาบเรียนทั้งวันมาได้ ทุกที่มีแต่คนเต็มไปหมด ยกเว้นแต่ที่ห้องพยาบาลที่อยู่ตรงมุม เธอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก  

 

 

ณ ห้องพยาบาลของโรงเรียน  

 

 

เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกสำหรับนักเรียนใหม่ทำให้ห้องพยาบาลจึงเงียบกว่าปกติ  

 

 

ถือว่าบรรยากาศดีและเงียบสงบ  

 

 

ลู่จ้าวอิ่งวางแล็ปท็อปไว้บนตัก และเข้าดูเว็บที่พื้นหลังเป็นสีดำมืด เขากำลังคุยกับใครสักคนออนไลน์อยู่ และสัญลักษณ์ที่ใช้กันดูค่อนข้างทะแม่งๆ เหมือนคนธรรมดาที่บอกไม่ได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน  

 

 

ผู้ช่วยหนุ่มคุยอย่างสบายอารมณ์  

 

 

จนกระทั่งอีกฝั่งตอบกลับมาจนทำให้เขาแทบสำลัก  

 

 

“นายน้อยเจวี้ยน” ชายหนุ่มเบิกตากว้างขณะที่มองจอ แล้วพูดตะกุกตะกัก “ผมคิดว ว่าได้ร่องรอยแล้วล่ะ”  

 

 

เฉิงเจวี้ยนกำลังดูเอนพิงโซฟาดูเอกสารคนไข้ผ่านๆ โดยถือปากกาในมือ ท่าทางของเขานิ่งสงบ แถมยังไม่ยกหัวขึ้นมาด้วยซ้ำ “ตกใจอะไรหนักหนา ว่ามาสิ”  

 

 

“จากการสืบของเจ้าหน้าเบี้ยว คนที่ช่วยเราใช้นามแฝงว่าคิว”  

 

 

ตึ่งโป๊ะ!  

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset