เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 48 นี่มันไม่ใช่รถอาจารย์ใหญ่สวีนี่

 

 

 

ฉินหร่านก้มตัวลงเก็บแก้วขึ้นมาอย่างไร้อารมณ์ “ฉันไม่เป็นไร”   

 

 

เฉิงเจวี้ยนเข้ามาช่วยเธอเก็บกวาดเศษแก้วที่อยู่บนพื้น  

 

 

ฉินหร่านรอให้เขาเดินออกไปคุยกับลู่จ้าวอิ่งและผู้ชายอีกคนหนึ่งก่อนที่จะหยุดนิ่ง  

 

 

เธอยืนอยู่ตรงนั้น สายตาลดต่ำลงพร้อมคิดอะไรบางอย่างที่น่าตกใจนิดหน่อย  

 

 

โทรศัพท์มือถือสีดำวางอยู่ข้างๆ เธอ เมื่อเฉิงเจวี้ยนออกไปมันก็สว่างขึ้นมา  

 

 

สองนาทีต่อมามันก็สว่างขึ้นมาอีก  

 

 

ฉินหร่านได้สติกลับมาก็เห็นว่าแสงสว่างค่อยๆ หรี่ลง เธอหันไปอีกทางโดยไม่ใส่ใจ  

 

 

และไม่หันไปมองมันอีก   

 

 

“เฉิงมู่” ด้านนอกประตูลู่จ้าวอิ่งวางขาลงบนโต๊ะและเอนเก้าอี้ของเขาไปด้านหลังร้อยแปดสิบองศา  

 

 

เขาหมุนปากกาในมือ “ครั้งสุดท้ายฉันส่งอีเมลหาเจียงตงเยี่ย แต่ฉันเปิดเผยรายละเอียดอะไรไม่ได้”   

 

 

เฉิงมู่ตกตะลึง  

 

 

สักครู่ใหญ่เขาก็กระแอมแล้วพูดว่า “นายน้อยเจวี้ยน คุณทำได้ยังไง”   

 

 

หมาป่าเดียวดายเป็นอันดับหนึ่งของหน่วยสืบสวนหนึ่งสองเก้า  

 

 

เนื่องจากมีการติดต่อกับนานาชาติ คนภายนอกจึงให้ฉายานี้มา  

 

 

ถึงแม้ว่าเฉิงมู่จะเป็นหัวหน้าของหน่วยสวาทในปีนั้น แต่เขาก็สอบไม่ผ่านถึงสามครั้ง  

 

 

แถมยังไม่ได้เป็นแม้แต่สมาชิกทั่วไปเลยด้วยซ้ำ   

 

 

ตั้งแต่การสืบสวนคดีอาชญากรรมไปจนถึงอาชญาวิทยา ทุกคนต่างเคยได้ยินเรื่องราวของอัจฉริยะในหน่วยสืบสวนหนึ่งสองเก้า  

 

 

เฉิงมู่มองไปทางห้องครัวอีกครั้งโดยลดเสียงลงแล้วพูดสั้นๆ ว่า “ผมได้ยินมาว่าเขาไม่ได้รับคำสั่ง  

 

 

ให้เคลื่อนไหวมาเกินหนึ่งปีแล้ว ทำไมคุณถึงให้เขา…”  

 

 

ขณะที่เขาพูด ฉินหร่านก็เข้ามาพร้อมชามสองสามใบ  

 

 

เฉิงมู่เงียบและจบบทสนทนาทันที  

 

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฉิงมู่ก็รู้ว่าตัวเองโง่ขึ้นมาอีกครั้ง ไม่เห็นต้องระวังอะไรเลยนี่ เด็กที่ใส่ชุดนักเรียนก็ต้องเป็นนักเรียนอยู่แล้ว ต่อให้เธอได้ยินก็คงไม่รู้ว่าเขาพูดถึงอะไรอยู่ดี  

 

 

ขณะรับประทานอาหารเฉิงเจวี้ยนก็แนะนำชายชุดดำกับฉินหร่านเป็นคนแรก “นี่คือเฉิงมู่  

 

 

คราวหน้าถ้าผมไม่อยู่แถวนี้ คุณมาหาเขาได้”  

 

 

ฉินหร่านมองมาที่เฉิงมู่แล้วพยักหน้า  

 

 

จากนั้นเขาก็เริ่มถามเรื่องแบบฝึกหัดสองสามข้อที่ให้เธอไป “เธอเริ่มทำบ้างหรือยัง”  

 

 

“…ค่ะ” ฉินหร่านอารมณ์เสีย  

 

 

“โอเค…” ลู่จ้าวอิ่งยิ้มโดยไม่รู้ตัวแล้วพูดว่า “ฉินหร่าน อย่าบอกนะว่าเธอบันทึกปัญหานั่นไปแล้ว  

 

 

แค่ลอกคำตอบลงไปแค่นั้นเหรอ เธอรู้ไหมว่านายน้อยเจวี้ยนทำมันขึ้นมาเพื่อ…”   

 

 

ยังไม่ทันที่ลู่จ้าวอิ่งจะพูดจบ เฉิงเจวี้ยนก็วางมือลงบนโต๊ะแล้วมองเขา  

 

 

ลู่จ้าวอิ่งยกมือขึ้นปิดปากเป็นสัญญาณว่าหยุดพูดแล้วทันที  

 

 

เขามองที่เฉิงเจวี้ยนแล้วถอนหายใจ  

 

 

ครึ่งเดือนที่แล้วเฉิงเจวี้ยนถูกเรียกมาทำงานยากๆ ลู่จ้าวอิ่งไม่เคยนึกเลยว่าเขาจะต้องมาเจอ  

 

 

กับเรื่องยุ่งยากแบบนี้  

 

 

นายน้อยเจวี้ยนสร้างความลำบากให้กับเอกสารทบทวนบทเรียน…  

 

 

บางทีผู้คนในปักกิ่งกำลังใจร้อนเรื่องเอกสารสำคัญนั่น  

 

 

เฉิงมู่ไม่กล้าคุยด้วยตั้งแต่ต้นจนจบ และไม่ได้อยู่รับประทานอาหารเย็นกับคนทั้งสอง  

 

 

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เฉิงมู่ก็มองฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยนออกไปด้วยกัน  

 

 

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “นายน้อยลู่ เด็กสาวคนนั้น…”   

 

 

“อย่ายุ่งกับเธอ” ลู่จ้าวอิ่งเอนตัวพิงเก้าอี้ เขาต้องไปล้างจาน แต่ตั้งแต่ที่เฉิงมู่อยู่ที่นี่  

 

 

เขาก็ยกหน้าที่ล้างจานให้แล้ว  

 

 

เขายิ้มอีกครั้ง “นายน้อยเจวี้ยนของเราเป็นห่วงเธอมาก”   

 

 

เฉิงมู่มองเขาแล้วเริ่มคิดว่าเด็กสาวคนนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล  

 

 

ในปักกิ่งมีผู้หญิงมากมายคอยไล่ตามนายน้อยเจวี้ยน ต่อให้เป็นเทพธิดาก็คอยมาตามติดอาจารย์เจวี้ยน พวกเขาจะเอามาเทียบกับรุ่นพี่ได้อย่างไร ดูเหมือนว่าที่เธอทำจะไม่ได้ค่อยได้ผลนัก  

 

 

อ้อ แต่เธอก็สวยนะ เธอสวยกว่าใครในปักกิ่งเลย  

 

 

**  

 

 

การฝึกทหารสำหรับนักเรียนมัธยมปลายเสร็จสิ้นลงแล้ว วันนี้ไม่มีนักศึกษาปีหนึ่งแต่งชุดลายพรางเข้ามากินอาหารในโรงอาหารแล้ว  

 

 

ฉินหร่านนั่งตอบคำถามแบบฝึกหัดของเธออยู่บนเก้าอี้  

 

 

เธอสวมหูฟังสีดำของเธอซึ่งปรับระดับเสียงไว้ดังมากแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงห้องเรียนนี้ก็ยังคงมีเสียงดังรบกวนเธอ  

 

 

ฉินหร่านรู้สึกแค่ว่าสมองของเธอถูกบีบและกำส่งเสียงอื้ออึง ดวงตาเธอค่อยๆ แดงขึ้นเล็กน้อย  

 

 

ผมที่ปรกหน้าผากเธอพลิ้วไหวและเธอก็เขวี้ยงปากกาลง เธอเอามือข้างหนึ่งเท้าคางเอาไว้  

 

 

ส่วนมืออีกข้างก็ใช้นิ้วเคาะโต๊ะ  

 

 

หลายวันผ่านไป หลินซือหรานก็รู้บุคลิกและนิสัยเกือบทั้งหมดของฉินหร่าน เธอเอนตัวไปกระซิบ  

 

 

“ฉันได้ยินมาว่าเด็กเกเรในโรงเรียนนี้…รังแกเว่ยจือหางที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่”  

 

 

หลินซือหรานยังพูดไม่จบก็นึกขึ้นได้ว่าฉินหร่านสนิทกับเว่ยจือหัง “เขามาเป็นนักกีฬาของโรงเรียน”   

 

 

เว่ยจือหางไม่ได้มาจากโรงเรียนอีจง แต่ชื่อเสียงของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่า  

 

 

สวีเหยากวงเลย แน่นอนว่าดีกว่าด้วยซ้ำ  

 

 

เขาเคยอยู่ที่โรงเรียนจือ แม้ว่านักเรียนที่โรงเรียนอีจงจะกลัวเขาก็ตาม  

 

 

นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย   

 

 

แต่ตอนนี้นักเรียนที่เกเรก็ย้ายมาที่โรงเรียนอีจง ในสายตาของเขามันเหมือนกับ  

 

 

วางหมาป่าไว้ท่ามกลางฝูงแกะ   

 

 

“อ้อ” ฉินหร่านพยักหน้าแล้วหยิบปากกามาแก้โจทย์ต่อไป เธอปรับเสียงหูฟังเพิ่มขึ้นอีกนิด  

 

 

โชคดีที่เสียงกริ่งดังขึ้นมาทำให้เสียงการถกเถียงนั้นหายไป  

 

 

หลังจากเลิกเรียนในคืนนั้น ฉินหร่านรอให้นักเรียนคนอื่นออกไปก่อนแล้วค่อยเก็บของ  

 

 

“หร่านหร่าน ไปซื้อแบบฝึกหัดกันก่อนไหม” หลินซือหรานปิดหนังสือของเธอแล้วรอฉินหร่าน  

 

 

หลี่ไอ้หรงกำลังเขียนหนังสือข้อมูลบทวิจารณ์ใหม่จึงให้พวกเขาไปซื้อแบบฝึกหัดที่ร้านหนังสือ  

 

 

ข้างโรงเรียนเพื่อใช้ในชั้นเรียนภายหลัง  

 

 

ขณะเดียวกันนั้น  

 

 

ด้านนอกประตูโรงเรียน  

 

 

ผู้คนมีอยู่ไม่มากนักบนท้องถนนเส้นนี้ คงเพราะว่าโรงเรียนเพิ่งเลิกก็เลยมีคนเดินไปด้วยกันไม่กี่คน  

 

 

“ป้ามาพบอาจารย์ใหญ่สวีเหรอคะ” ฉินอวี่ทักทายสวีเหยากวงและเดินไปหาพวกเขาพร้อมกับ  

 

 

ถือหนังสือในมือ  

 

 

มีคนไม่มากที่สังเกตเห็น สวีเหยากวงชะงักเมื่อได้ยินคำว่า “อาจารย์ใหญ่สวี”  

 

 

สวีเหยากวงนั้นเย่อหยิ่งและไม่เคยคิดที่จะทักทายใครก่อน  

 

 

หลินหว่านไม่ได้ให้ความสนใจสวีเหยากวง เธอส่ายหัวเล็กน้อย “ฉันเห็นผู้ช่วยของเขา”  

 

 

มีคนในปักกิ่งตั้งเท่าไรที่ต้องการพบผู้เฒ่าสวี เธออาจจะต้องรับบัตรคิวด้วยซ้ำ  

 

 

“อาจารย์ใหญ่สวีก็ยุ่งๆ อยู่ตลอดเวลา” ฉินอวี่ไม่แปลกใจนักแล้วก้มหน้าลง  

 

 

กลุ่มนี้เป็นที่สะดุดตามาก โดยเฉพาะหลินหว่านที่ดูเป็นผู้ดีมีตระกูล  

 

 

เธอกำลังจะขึ้นรถ  

 

 

“ป้าคะ ลูกของลูกพี่ลูกน้อง ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ” หลังจากทำความสะอาดเสร็จจึงออกมาช้า  

 

 

มู่หยิงเห็นพวกเขาคลายมือออกจากหลี่อวี้หานแล้วค่อยๆ วิ่งไป   

 

 

วันนี้มู่หยิงไม่ได้ใส่ชุดนักเรียน แต่กระโปรงตัวใหม่ของหนิงเวยที่เธอเพิ่งซื้อมาจากห้าง  

 

 

มันสั้นเกินไปหน่อย  

 

 

หนิงเวยต้องหาเลี้ยงครอบครัว สมาชิกในครอบครัวบางคนก็อยู่ในสภาพป่วยออดแอด เธอจะไปมีเงินมากมายได้อย่างไร เธอเพิ่งซื้อเสื้อผ้าไหมให้มู่หยิง แต่ลวดลายและสีสันก็เป็นของลดราคาจากปีที่แล้ว มันถูกก็จริงแต่เชย  

 

 

หลินหว่านอยู่ที่ปักกิ่งมานาน เธอชินกับการตัดสินคนอื่น  

 

 

มู่หยิงไม่ค่อยสบายใจ  

 

 

เธอจับกระโปรงของตัวเองและเห็นร่างคนกำลังเดินอยู่ไม่ไกล เธอคนนั้นกวักมือเรียกอย่างเร็ว  

 

 

“หลาน ป้าอยู่นี่!”  

 

 

ฉินหร่านขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจพวกเขา เธอกลอกตาแล้วเพิ่มระดับเสียงหูฟังของเธอ  

 

 

รถจีปคันหนึ่งมาจอดอยู่ข้างเธออย่างช้าๆ บีบแตรและค่อยๆ ลดกระจกลง  

 

 

หลินหว่านสังเกตเห็นป้ายทะเบียนปักกิ่ง ทันใดนั้นเธอก็พูดด้วยความตกใจ   

 

 

“นี่มันไม่ใช่รถอาจารย์ใหญ่สวีนี่”  

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset