เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 49 ไม่เชื่อฟัง

 

 

 

ด้วยระยะทางที่ห่างไกลกันของปักกิ่งและอวิ๋นเฉิงจึงพบป้ายทะเบียนปักกิ่งได้ค่อนข้างยาก  

 

 

คนทั้งโรงเรียนรู้กันดีว่ามีเพียงอาจารย์ใหญ่สวีเท่านั้นที่มาจากปักกิ่ง  

 

 

นั่นแหละที่ทำให้หลินหว่านอุทานออกมา  

 

 

การพบเห็นอาจารย์ใหญ่สวีเป็นเรื่องยากและไม่มีใครรู้ว่าเขาขับรถอะไร  

 

 

หนิงฉิงและฉินอวี่ทั้งคู่ส่ายหัวเล็กน้อย  

 

 

ฉินอวี่เม้มปากและไม่ได้พูดอะไร แต่หนิงฉิงมองฉินหร่านแล้วย่นคิ้ว “ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร”  

 

 

“ฉินหร่าน” กระจกรถเลื่อนลง และอาจารย์ใหญ่สวีก็นั่งอยู่ที่เบาะหลัง  

 

 

ฉินหร่านไม่คิดอะไรแล้วมองในแง่ดี เธอเรียก “อาจารย์ใหญ่สวีคะ”  

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีมองฉินหร่านแล้วนึกถึงตอนที่เฉิงเจวี้ยนมาหาเขา เขาเคาะที่เข่าตัวเอง มันดูแปลกประหลาด “นี่เธอจะออกไปกินข้าวเหรอ ไปด้วยกันไหม”  

 

 

สายตาของเขาอ่อนโยนและบริสุทธิ์เหมือนคนแก่ที่ใจดี  

 

 

น้ำเสียงของเขาไม่ได้บังคับและเป็นคำถามที่สุภาพเสียมากกว่า  

 

 

ฉินหร่านส่ายหัว “หนูออกมาซื้อหนังสือกับเพื่อนค่ะ”  

 

 

ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกสองสามคำแล้วรถจี๊ปก็ขับออกไป ก่อนที่จะไปได้ไกล หลินซือหรานก็มาอยู่ข้างๆฉินหร่านแล้วก็เริ่มจ้องมองเธอ  

 

 

เมื่อรถขับออกไปไกล เธอก็ยังเหมือนมองดูต่อไปจนฉินหร่านต้องมาลากเธอไป  

 

 

ฉินหร่านลากหลินหว่านด้วยมือข้างหนึ่ง สวมหูฟังด้วยมืออีกข้างแล้วปรับระดับเสียง ดวงตาเธอยังคงแดงเล็กน้อย เธอดูรีบร้อนและเย็นชา  

 

 

เธอเดินผ่านหนิงฉิงและหลินหว่าน  

 

 

ราวกับว่าเธอไม่รู้จักพวกหล่อนเลย  

 

 

หนิงฉิงและฉินอวี่ไม่ได้พูดอะไรกับเธอ ไม่แม้แต่จะเรียกเธอ  

 

 

หลินหว่านมองดูกระจกรถที่ผ่านไป กระจกนั้นติดฟิล์มกันมอง เธอจึงไม่เห็นว่าใครอยู่ข้างใน  

 

 

เธอรู้ว่าอาจารย์ใหญ่สวีเป็นผู้เขียนจดหมายแนะนำตัวของฉินหร่าน นี่เป็นสิ่งที่เธอยังคิดไม่ตก  

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่หลินหว่านพบฉินหร่าน เธอยอมรับเลยว่าหล่อนสวยจริงๆ ไม่แปลกใจที่หลินฉีจะมีท่าทีที่ดีต่อฉินหร่านมากกว่าที่เธอคิดไว้  

 

 

หลินหว่านกวาดตามองฉินหร่านอีกครั้งและมองสำรวจเธอ  

 

 

เมื่อเธอตัดสินผู้คน เธอมักจะวางตัวเสมอ  

 

 

ฉินอวี่สังเกตท่าทางของหลินหว่านและยิ้ม “ฉันได้ยินมาว่าเดิมทีพี่สาวของฉันอยู่ในห้องนี้ แต่ครูประจำชั้นเกรงว่ามันจะส่งผลกระทบต่อการเรียนในห้อง ฉะนั้นครูเลยไม่ต้องการเธอ”  

 

 

หลินหว่านหยุดมอง เธอไม่เคยดูประวัติของฉินหร่านแต่ก็เคยได้ยินมา ตอนที่เธออยู่ที่บ้านตระกูลหลิน ป้าจางเล่าให้เธอฟังหลายเรื่อง  

 

 

เธอครุ่นคิดแล้วทอดสายตามองออกไป  

 

 

เธอชำเลืองมองผ่านฉินหร่านไป จากนั้นก็เดินออกมาแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ”  

 

 

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เธอไม่ได้พูดกับมู่หยิงเลย  

 

 

หลินหว่านดูน่าเกรงขามมากและมู่หยิงอยากเรียกฉินหร่าน แต่เมื่อเห็นว่าหนิงฉิงกับคนอื่นๆ ไม่เรียกฉินหร่านเลยสักนิด เธอจึงนิ่งงันและไม่ได้พูดอะไรออกไป  

 

 

หนิงฉิงพูดอะไรบางอย่างกับมู่หยิง จากนั้นก็คุยกับหลินหว่าน  

 

 

มู่หยิงยืนอยู่ด้านหลังพวกเธอ มองดูหลินหว่านขึ้นรถบีเอ็มดับเบิลยูสีดำไป  

 

 

ดวงตาของเธอจ้องมองไปยังมือของคนขับ คนขับหยิบกระเป๋าเป้ของฉินอวี่ขึ้นมาและสังเกตเห็นกระติกน้ำสีชมพูงดงามห้อยอยู่ด้านข้างของกระเป๋าเป้  

 

 

กระติกน้ำสีชมพูนี่ไม่ใช่เหมือนใบที่ฉินหร่านใช้  

 

 

แม้ว่ามันจะดูดีแต่ก็ไม่ได้มีโลโก้หรืออะไรที่ดูหรูหรา มันเหมือนกระติกน้ำที่มู่หยิงเคยเห็นตามร้านบูติกซึ่งมีราคาไม่แพง  

 

 

มู่หยิงรู้สึกอัดอึดและสับสนนิดๆ  

 

 

ตระกูลหลินซื้อกระติกน้ำราคาแพงให้ฉินหร่านแต่ทำไมพวกเขาถึงไม่ซื้อให้ฉินอวี่**  

 

 

“โรงเรียนส่งข้อมูลมาเพียบเลย ครูวิชาภาษาอังกฤษบอกให้เราซื้อหนังสือนอกหลักสูตรด้วย” ในที่สุดหลินซือหรานก็ตั้งสติได้และออกไปหาซื้อหนังสือกับฉินหร่าน  

 

 

อาจารย์หลี่ไอ๋หรงสอนวิชาภาษาอังกฤษหลายห้อง  

 

 

หนังสือเรียนวิชาภาษาอังกฤษขายหมดแล้ว  

 

 

ผู้จัดการร้านบอกให้พวกเธอมาซื้อใหม่พรุ่งนี้เช้า  

 

 

ร้านหนังสือค่อนข้างเงียบ หูฟังของฉินหร่านห้อยอยู่ที่คอของเธอโดยที่ยังไม่ได้สวมที่หู เธอยืนพิงชั้นหนังสือแล้วเจอหนังสือภาษาต่างประเทศอีกเล่ม เธอหยิบมันขึ้นมาดูด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วพูดอย่างเป็นกันเอง “กลับกันเถอะ”  

 

 

หลินซือหรานกลัวว่าเธอจะมาไม่ทันซื้อหนังสือในวันพรุ่งนี้ เธอจึงขอให้เจ้าของร้านเก็บหนังสือไว้ให้สองชุดพร้อมจ่ายเงินมัดจำไว้ก่อนจะออกไป  

 

 

ร้านหนังสือนี้ใหญ่กว่าร้านอื่นๆ บนถนนนี้ มีผู้คนมากมายที่อ่านหนังสือในร้านหนังสือ  

 

 

ดูเหมือนเสียงที่มาจากสุดถนนั้นชัดเจนขึ้นมาทีละนิดมันเป็นเสียงของเด็กวัยรุ่นสามสี่คน ฉินหร่านเห็นเครื่องแบบที่พวกเขาใส่ มันมีสีดำกับแดง ไม่ใช่ทั้งเครื่องแบบของโรงเรียนอีจงหรือของโรงเรียนจื๋อ   

 

 

พวกเขาเสียงดังน่ารำคาญ  

 

 

ฉินหร่านดึงหูฟังจากคอขึ้นไปสวมที่หูของเธอ  

 

 

หลินซือหรานรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อยจึงดึงแขนเสื้อฉินหร่าน “หร่านหร่าน กลับไปที่โรงเรียนก่อนเถอะนะ”  

 

 

กลุ่มวัยรุ่นในตรอกดูเหมือนจะหยุด และจู่ๆ หนึ่งในนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “อ้าว นี่ใช่เพื่อนร่วมห้องของพานหรือเปล่าน่ะ ไง เธอยังสวมชุดนักเรียนอยู่เลย นี่เธอยังอยู่โรงเรียนอีจงอีกเหรอ”  

 

 

น้ำเสียงของเขาชวนอึดอัด  

 

 

หลินซือหรานขมวดคิ้ว เธอลากฉินหร่านไปและกะจะแจ้งเรื่องนี้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเมื่อกลับไปถึงโรงเรียน  

 

 

แต่ไม่ทันไรเสียงพูดน่ารำคาญก็ดังขึ้นอีก “พานหมิงเย่ว์ ที่เธอทำร้ายฉันเมื่อคราวก่อน แล้วยังเข้าโรงเรียนอีจงได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอคิดว่าตัวเองเก่งนักสิ หือ”  

 

 

นักเรียนของโรงเรียนอีจงหลายคนเดินออกไปจากซอยด้วยความตระหนก  

 

 

หลินซือหรานตัวแข็งทื่อ เธอดึงมือของฉินหร่านแล้วพูดด้วยเสียงเครียด “หร่านหร่าน นั่นพานหมิงเย่ว์เหรอ”  

 

 

เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรแจ้งตำรวจก่อนจะไปหายาม  

 

 

“ฮ่าๆ พี่สวี เล่นแรงไปแล้วนะ ระวังหน่อยสิ ถ้าเกิดมีดเฉือนโดนหน้าแม่นี่เข้าจะแย่ หน้ายิ่งขาวๆ อยู่ด้วย” ทั้งกลุ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมา  

 

 

“ถือให้ฉันหน่อย” ฉินหร่านส่งหนังสือให้หลินซือหราน จากนั้นเคาะหัวของเธอแล้วคลายคอเสื้อเครื่องแบบของเธอ “ฉันจะไปดูหน่อย”  

 

 

หลินซือหรานมองใบหน้าสงบนิ่งของเธอแล้วบอกเธอว่าอย่าเข้าไปยุ่งเลย จากนั้นก็รีบวิ่งกลับไปตามหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่โรงเรียน  

 

 

อีกสักพักกว่าที่ตำรวจจะมา  

 

 

ฉินหร่านระลึกเสมอว่าอยากให้ย่าของเธอใช้ชีวิตในวัยชราอย่าสุขสบายโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องของเธอ เธอจึงเลี่ยงที่จะสร้างปัญหาต่างๆ ในอวิ๋นเฉิง  

 

 

จนถึงตอนนี้เธอมองพานหมิงเย่ว์ยืนพึงกำแพง แว่นตาของเธอถูกถอดออกแล้วโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ดวงตาเธอเบิกกว้างราวกับหุ่นกระบอก  

 

 

เมื่อมองใกล้ๆ มีความตระหนกในดวงตาคู่นั้น  

 

 

วัยรุ่นผมสีเงินที่เรียกกันว่า ‘พี่สวี’ จับใบหน้าของพานหมิงเย่ว์ไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถือมีดโบกไปมาต่อหน้าเธอ   

 

 

“ปัง” นับจากตอนที่เธอมาถึงอวิ๋นเฉิง เส้นประสาทที่ตึงของฉินหรานในที่สุดก็พังลง  

 

 

มีคนสังเกตเห็นฉินหร่าน  

 

 

ชายผมสีม่วงเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นฉินหร่านเข้า “เธอมองหาอะไร…”  

 

 

“ฉันสัญญากับคุณย่าไว้แล้วว่าจะตั้งใจเรียนและเป็นคนดี…” ฉินหร่านพึมพำ  

 

 

ดูเหมือนเธอจะทำตามที่ตกลงกับคุณย่าไม่ได้และไม่สามารถเชื่อฟังได้  

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset