เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 60 สารวัตรผู้หวาดกลัว มาถึงบ้าน

ทำไมฉินหร่านถึงมาอยู่กับชายแก่กลางดึกนะ  

 

 

ขับรถเมอร์เซเดส…  

 

 

ด้านหลังของคนคนนั้นดูคุ้นๆ ยังไงไม่รู้  

 

 

ฉินอวี่เม้มปาก  

 

 

ไม่ไกลออกไปนัก  

 

 

“โอ้” ฉินหร่านยืนพิงประตูรถ ร่างของเธอถูกเงาจากผนังบดบังไว้และเธอเอียงหัวไปข้างๆ เพราะรู้สึกปวดหัวนิดๆ “ไม่เห็นต้องลำบากเลย”   

 

 

“ฉันถามมาแล้ว เธอเอาไปผสมกับอาหารที่กินได้หมด” เฟิงโหลวเฉิงวางกล่องเก็บความร้อนไว้บนมือซ้ายของเธอและพูดเกลี้ยกล่อม “ช่วยบำรุงผิวเธอ”   

 

 

“ได้ แค่ครั้งนี้นะ” ฉินหร่านปวดหัวและพูดอย่างจริงใจ  

 

 

เฟิงโหลวเฉิงมองเธอราวกับเป็นพ่อและไม่ได้ให้สัญญาหรือปฏิเสธอะไร  

 

 

ฉินหร่านเดินกลับไปห้องนอนพร้อมกล่องอาหาร  

 

 

“นี่อะไรน่ะ” หลินซือหรานช่วยเธอเปิดและหยิบชามมา  

 

 

อู๋เหยียนอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ ฉินหร่านนั่งลงบนม้านั่ง หลับตาเอาขาพาดโต๊ะอย่างเกียจคร้าน เธอเอนหลังแล้วพูด “ฉันไม่รู้”  

 

 

หลินซือหรานหมุนฝาเปิดแล้วมองเข้าไปข้างใน “…”  

 

 

ต้มเท้าหมูกับเก๋ากี้และสมุนไพรจีน  

 

 

หลินซือหรานนั่งบนเก้าอี้อีกตัวแล้วนอนหมอบมองเธอซดซุป “หร่านหร่าน”  

 

 

ฉินหร่านหันมาหรี่ตามอง เธอดูค่อนข้างผ่อนคลายและเสียงก็ต่ำลงเล็กน้อย “ว่าไง”  

 

 

“ในคาบศึกษาด้วยตัวเองกับการอภิปรายเรื่องประกวดสุนทรพจน์ในชั้นเรียนตอนเย็น งานรุ่นพี่ม. ปลายงานเดียวของเราน่ะ เธอจะไปกับฉันไหม” หลินซือหรานเอามือเท้าคางกะพริบตา  

 

 

“ฉันต้องไปให้คนดูเยอะๆ เหรอ” ฉินหร่านเลิกคิ้วแล้วหันไปมองเธอ  

 

 

“ไม่ใช่สิ เธอก็รู้ว่าตอนนี้เธอคือหน้าตาของห้องเรานะ!” ดวงตาของหลินซือหรานสุกสกาว “เธอต้องไปยืนอ่านสุนทรพจน์ที่เราเขียนหน้าชั้น ฉันบอกเลยว่าเราต้องได้คะแนนมากกว่าห้องอื่นห้าเท่าแน่”  

 

 

ในฐานะดาวโรงเรียน ฉินหร่านถือเป็นหน้าเป็นตาของห้องสามทับเก้าจริงๆ  

 

 

มันกลายเป็นว่าเธอต้องขายหน้าตาตัวเอง หลังดื่มซุป ฉินหร่านคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ได้สิ”  

 

 

**  

 

 

วันรุ่งขึ้น ตระกูลหลินก็ได้ต้อนรับแขกอีกคน  

 

 

“รองอธิบดีเสิ่นเหรอ” หลินฉีคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตระกูลหลินไม่มีเส้นสายในแวดวงการเมือง วงการนั้นมันซับซ้อนเกินไป พวกนักการเมืองเองก็สมาคมแต่กับพวกเดียวกันและไม่ได้คบหาได้ง่ายๆ  

 

 

มีเพียงหลินจิ่นเซวียนที่รู้จักเฟิงฉือ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้สนิทสนมกัน  

 

 

เมื่อรองอธิบดีเสิ่นมา หลินฉีกับหลินหว่านจึงระวังตัวแจ  

 

 

หลินฉีเป็นผู้รินชาให้รองอธิบดีเสิ่นด้วยตัวเอง  

 

 

“ท่านรอง ท่านมาหาผมเพราะลูกเลี้ยงของผมเหรอ” หลินฉีกับรองอธิบดีเสิ่นไม่ได้สนิทสนมกัน เขาจึงรู้ว่าต้องมีเจตนาอยู่เบื้องหลังการมาของอีกฝ่ายแน่  

 

 

รองอธิบดีเสิ่นถือแก้วน้ำ สีหน้าของเขาก็ย่ำแย่ เสียงของเขาดูจริงใจ “ผมไม่มีทางเลือก ผมจึงมาหาคุณ สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่คุณฉิงยอมจบเรื่องนี้เงียบๆ ผมถือเป็นหนี้เธอจริงๆ”  

 

 

เมื่อวานนี้หลินฉีเองก็วิ่งเต้นเรื่องของฉินหร่าน แต่ใครจะรู้ว่าเรื่องมันจะกลับตาลปัตรไปได้มากเช่นนี้ในวันเดียว  

 

 

เขามองหลินหว่านและรู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่  

 

 

หลินฉีไม่แสดงท่าทีอะไร เขาวางถ้วยชาลงแล้วหัวเราะ”หร่านหร่านไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกครับ เรื่องนี้…”   

 

 

“พูดตรงๆ นะครับ สารวัตรให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก” รองอธิบดีเสิ่นยิ้มขื่นๆ ถ้าสืบสวนเรื่องของคุณฉิงลึกลงไปอีกก็จะเจอเบื้องลึกเบื้องหลังอีกแน่ ถ้าคุณช่วยผม วันหน้าหากตระกูลหลินมีเรื่องให้ช่วย คุณเข้ามาหาผมได้เลย”  

 

 

ในฐานะนักธุรกิจ การเจรจาครั้งนี้ต้องได้ผลแน่  

 

 

ความเอื้อเฟื้อจากรองอธิบดีเสิ่นไม่ได้มาได้ง่ายๆ  

 

 

แต่หลินฉีไม่ตกลงและพูดจากำกวม “เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับหร่านหร่าน”   

 

 

เมื่อรองอธิบดีเสิ่นไปแล้ว หลินหว่านถึงกับใช้นิ้วนวดคิ้ว “น้องชาย ทำไมไม่ตกลงไปล่ะ”  

 

 

“เรารับฟังเขาได้” หลินฉีส่ายหัว ท่าทางของเขาดูสงบ เขาพูดช้าๆ “แต่เรารับปากแทนหร่านหร่านไม่ได้หรอก”   

 

 

หนิงฉิงถือโทรศัพท์มือถือและมองทั้งสองคนอย่างครุ่นคิด  

 

 

**  

 

 

ไม่ไกลจากประตูโรงเรียนอีจง  

 

 

รถสีดำขับมาอย่างรวดเร็ว  

 

 

ลู่จ้าวอิ่งนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ผู้โดยสาร “คุณเจวี้ยน เจ้าสวี่เซิ่นนั่นถูกพาตัวไปสถานพินิจแล้ว ผมขอข้อมูลของฉินหร่านกับพานหมิงเย่ว์ในเมืองหนิงไห่ แต่ผมก็ไม่เจออะไรเลย”   

 

 

ลู่จ้าวอิ่งคิดว่าเรื่องนี้แปลกๆ  

 

 

ปกติแล้วถ้าสารวัตรเป็นคนขอมา เอกสารพวกนั้นก็จะส่งมาง่ายๆ  

 

 

เขาชำเลืองมองเฉิงเจวี้ยนที่ไม่ขยับเขยื้อนและเลิกคิ้ว เมื่อก่อนเฉิงเจวี้ยนเคยเป็นคนที่กระฉับกระเฉิงที่สุด  

 

 

เฉิงเจวี้ยนนั่งพิงหน้าต่างครึ่งตัวอยู่ด้านหลัง หัวของเขาเอียงเล็กน้อยและจดจ้องด้านนอกอย่างเงียบๆ และเฉื่อยชา  

 

 

ลู่จ้าวอิ่งรู้สึกว่าเขาแปลกๆ จึงเหลือบมอง  

 

 

อยู่ๆ เขาก็ยิ้มออกมา  

 

 

“อ๊า…นั่นฉินหร่านเหรอ ทำไมเธอออกมาล่ะ”  

 

 

เฉิงมู่ที่เป็นคนขับมองไปที่สายตามืดมนของเฉิงเจวี้ยนจากกระจกมองหลังและเหยียบเบรกโดยไม่ตั้งใจ  

 

 

คุณเจวี้ยนลงรถไปอย่างแน่นอน  

 

 

เฉิงมู่อดมองสำรวจฉินหร่านไม่ได้  

 

 

เขาบ่นในใจว่าไม่รู้ว่าเด็กนักเรียนคนนี้มีดีอะไรนักหนา  

 

 

มู่หยิงเป็นคนโทรเรียกฉินหร่านมา  

 

 

เธอยังไม่ยอมรับสายของหนิงฉิง หนิงฉิงจึงไปที่โรงเรียนและโทรหามู่หยิงให้ไปหาฉินหร่านที่ห้องสามทับเก้า  

 

 

มีร้านกาแฟหน้าโรงเรียนซึ่งค่อนข้างเงียบสงบและไม่มีห้องส่วนตัว  

 

 

หนิงฉิงและหลินหว่านนั่งอยู่ริมกระจก  

 

 

“ตามหนูมาทำไม” ฉินหร่านลากเก้าอี้ข้างๆ มานั่งไขว่ห้าง  

 

 

เธอดูเหมือนคนที่ไร้มารยาท  

 

 

ช่วงนี้เธอนอนไม่ค่อยหลับ ดังนั้นดวงตาจึงแดงก่ำและท่าทางดูเย็นชาและรำคาญ  

 

 

ท่าทางของเธอดูเฉื่อยชาและเธอก้มหัวลงเล็กน้อย ไม่ได้ดูแข็งกร้าวเหมือนที่เธอเป็นที่สถานีตำรวจเมื่อไม่กี่วันก่อน  

 

 

เหมือนนักเลง  

 

 

หลินหว่านมองเธอและเผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว  

 

 

ปกติแล้วคนที่มีตำแหน่งสารวัตรจะเป็นผู้ที่รู้ข้อมูลวงในและรู้ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในเมืองเป็นอย่างดี  

 

 

เธอหยิบกาแฟขึ้นมาดื่มและทอดสายตาออกไป  

 

 

สายตาหนิงฉิงจับจ้องที่มือซ้ายของฉินหร่าน เธอถือโทรศัพท์มือถือไว้ในมือซ้ายและนิ้วของเธอก็เรียวยาว  

 

 

มือขวาของเธอเผยให้เห็นเล็กน้อยจนมองเห็นผ้าก๊อซได้  

 

 

หนิงฉิงจำได้ว่าเธอเขียนด้วยมือซ้ายและถนัดซ้าย  

 

 

เธอจึงโล่งอกที่มือซ้ายของฉินหร่านไม่เป็นไร  

 

 

“มือของแก… แกเป็นอะไรไหม” หนิงฉิงจับกระเป๋าสตางค์ของเธอไว้อย่างร้อนใจตอนพูด  

 

 

“ไม่เป็นไร หนูไม่พิการหรอก” ฉินหร่านเตะถังขยะที่อยู่ข้างๆ เธอ  

 

 

หนิงฉิงไม่รู้จะพูดอะไรจึงได้แต่อ้าปากค้าง  

 

 

ฉินหร่านหมดความอดทน เธอนิ่วหน้าและดูค่อนข้างหัวเสีย “มีอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีอะไรแล้วหนูขอตัว”  

 

 

หนิงฉิงมองฉินหร่านและกำกระเป๋าสตางค์ของตัวเองแน่นยิ่งขึ้น “แกก็ดูไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก เรื่องสวี่เซิ่นน่ะ…”   

 

 

ฉินหร่านเอนหลังเหลือบมองเธออย่างไม่แยแส  

 

 

หนิงฉิงเงียบไปสักพัก  

 

 

หลินหว่านยกแก้วขึ้นมาจากโต๊ะ เธอมองฉินหร่านและพูดช้าๆ ราวกับว่าเธอเหนือกว่า “ฉินหร่าน ฉันไม่อยากให้เรื่องสวี่เซิ่นไปถึงศาล”  

 

 

 

 

 

——  

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset