เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 62 ใครบอกว่าเธอถนัดซ้าย

เฉิงเจวี้ยนจงใจรออยู่ด้านนอก

 

 

ลู่จ้าวอิ่งออกมาจากรถและบอกว่าเขาอยากดื่มกาแฟมาสักพักแล้ว

 

 

เฉิงเจวี้ยนครุ่นคิดก่อนจะเข้าไปในร้านกาแฟเช่นกัน

 

 

ช่วงนี้ในร้านคนไม่พลุกพล่านนัก เขาจึงเห็นทั้งสามคนนั่งอยู่ข้างหน้าต่างตั้งแต่แวบแรก

 

 

เขายืนอยู่ที่ประตู ฉินหร่านหันหลังให้เขาทำให้เขาไม่สามารถเห็นหน้าเธอได้จากมุมนี้ หากแต่เขาก็เห็นว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงข้ามเธอเชิดคางด้วยท่าทีหยิ่งยโสและอวดดี

 

 

ลู่จ้าวอิ่งสั่งกาแฟกับพนักงานสาวที่โต๊ะต้อนรับ “กลับบ้านแก้วหนึ่ง ขอบคุณครับ”

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้อยากดื่มกาแฟ ทำเพียงพิงตัวกับโต๊ะและจ้องมองฉินหร่านอย่างเฉื่อยชา

 

 

เขางับบุหรี่เอาไว้และไม่ได้ขยับไปไหน

 

 

ลู่จ้าวอิ่งกำลังเดินกลับหลังจากได้กาแฟ เขาก็หาข้ออ้างที่จะเข้าไปโดยไม่ต้องการรบกวนฉินหร่านได้

 

 

พวกเขาได้ยินเสียงที่ชวนไม่สบายใจก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกไป “เธอก็คงเดาได้…เธอคิดว่าฉันจะปล่อยให้เธอหาทนายความในอวิ๋นเฉิงให้ยอมช่วยเธอสู้คดีอย่างนั้นเหรอ”

 

 

เสียงของพวกเธอไม่ได้เบานักและหากตั้งใจฟังดีๆ มันก็สามารถได้ยินชัดเจน

 

 

พวกเขาทั้งสองคนรู้เรื่องของสวี่เซิ่น

 

 

ดูเหมือนหญิงสาวคนนั้นกำลังจะกำลังข่มขู่ฉินหร่านอยู่

 

 

ลู่จ้าวอิ่งอยู่กับเฉิงเจวี้ยนมาหลายปี ยังไม่เคยเห็นใครในปักกิ่งกล้ามาลองดีกับนายน้อยเจวี้ยน คนที่อาจหาญทำเช่นนั้นต่างถูกนายน้อยเจวี้ยนจัดการเสียราบคาบ

 

 

ฝีเท้าของเฉิงเจวี้ยนชะงักก่อนหันไปมองเล็กน้อยและรอ

 

 

เขาเอ่ยเน้นสามคำด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ลู่จ้าวอิ่ง”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาต่อสายหาเบอร์หนึ่ง

 

 

เขาเอ่ยกับคนปลายสายโดยไม่รอให้ฉินหร่านพูด “ทนายความชี คุณได้ยินหรือเปล่า ถ้าคุณไม่มาที่อวิ๋นเฉิงเราจะจนปัญญาถึงขนาดหาทนายความสักคนไม่ได้เลย เข้าใจไหมครับ”

 

 

ย่างเข้าเดือนตุลาคมพร้อมอากาศที่ยังคงร้อนระอุอยู่ ช่วงบ่ายคนในร้านไม่แน่นนัก เครื่องปรับอากาศจึงถูกปิดเอาไว้

 

 

ไอร้อนแห้งอย่างอธิบายไม่ถูกลอยคลุ้งในอากาศ

 

 

เสียงที่ดังขึ้นฉับพลันทำให้อารมณ์กรุ่นโกรธของฉินหร่านจางหายไปเป็นการชั่วคราว

 

 

ฉินหร่านหันไปเห็นลู่จ้าวอิ่งกำลังถือโทรศัพท์ในมือ อวัยวะเดียวกันอีกข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เขากำลังมองมาพร้อมรอยยิ้มทั้งยังยักคิ้วให้ทว่ากลับแผ่รังสีแข็งกร้าว

 

 

ลู่จ้าวอิ่งพยักพเยิดคางมาทางเธอก่อนจะคุยกับคนปลายสายต่อ “ชีเฉิงจวิน ใครล้อเล่นกับคุณกันล่ะ มาเดี๋ยวนี้เลย”

 

 

เขาวางสาย

 

 

“คุณผู้หญิง ผมไม่เคยล้อเล่นหรอกนะครับ ผมจะปล่อยให้คุณหาทนายความมากเท่าที่คุณต้องการเลย” เฉิงเจวี้ยนมองหน้าพวกเธอทั้งสอง “คุณก็คงเดาได้…ไม่คุณตายก็ผมตาย”

 

 

สายตาของเฉิงเจวี้ยนจับจ้องที่ใบหน้าของฉินหร่านก่อนจะเอื้อมไปจับมือขวาของเธอ เขาว่าขึ้นเสียงเบา “มาเถอะ ไปกัน”

 

 

ชีเฉิงจวินอย่างนั้นหรือ

 

 

หลินหว่านคุ้นเคยกับชื่อนี้ ครอบครัวของสามีของเธอเคยมีคดีพิพาททางเศรษฐกิจรุนแรงเมื่อนานมาแล้ว

 

 

เดิมทีคดีนั้นมาถึงทางตัน หากแต่สุดท้ายคุณชายใหญ่ก็ได้เชิญทนายชีคนนี้ซึ่งไม่เคยแพ้คดีมาก่อนมาได้

 

 

หลินหว่านแต่งเข้าตระกูลผู้ดี แม้ว่าตระกูลนั้นเกือบจะอยู่ชนชั้นท้ายๆ ในเมืองหลวงก็ตาม ส่วนชนชั้นแนวหน้าเธอนั้นไม่เคยได้สัมผัสกับพวกเขาสักครั้ง

 

 

เป็นเพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นเธอจึงได้รู้ว่าทนายความชีคนนี้มีฝีมือฉกาจและมีชื่อในปักกิ่งมาก

 

 

หากไม่ใช่เพราะเขาติดค้างความช่วยเหลือของคุณชายใหญ่ไว้ เจ้าตัวคงไม่มีปัญญาจ้างเขาทำคดีได้

 

 

หลินหว่านมองหน้าเฉิงเจวี้ยนและลู่จ้าวอิ่ง เสื้อผ้าของเขาดูดีแต่ไม่มียี่ห้อ

 

 

ม่านตาหนิงฉิงหดแคบเมื่อเห็นพวกเขา

 

 

ความทรงจำที่เฉิงเจวี้ยนถือมีดผ่าตัดต่อหน้าเธอที่โรงพยาบาลยังตราตรึงในใจของเธอ

 

 

เธอพลันหน้าซีดเผือด

 

 

หลินหว่านเหลือบมองด้านนอกขณะทั้งสามขึ้นรถสีดำไป

 

 

เธอเห็นเพียงป้ายทะเบียนรถที่มีคำว่า ‘ปักกิ่ง’ และสัญลักษณ์โฟล์กสวาเกนอยู่ไกลๆ

 

 

เธอเหยียดยิ้มและเย้ยหยัน “ทั้งสองคนคงมาจากปักกิ่งคงรู้จักทนายชีแน่ๆ แต่…เขาคิดว่าฉันไม่รู้จักทนายชีหรือยังไง”

 

 

การจ้างทนายความชีจะง่ายดายขนาดนั้นได้อย่างไรกัน

 

 

หลินหว่านเก็บเช็คบนโต๊ะ หากแต่สีหน้าของเธอกลับไม่ดีนัก เธอคิดว่าเด็กสาวอ่อนต่อโลกและจัดการได้โดยไม่ต้องเสียแรงมากนัก ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะยุ่งยากเสียแล้ว

 

 

เธอสัมผัสได้ถึงความอึดอัดใจอยู่รางๆ

 

 

หนิงฉิงที่อยู่ด้านข้างถือถ้วยขึ้นจิบกาแฟด้วยมือที่สั่นน้อยๆ

 

 

 

 

มือของฉินหร่านเลือดออก พวกเขาจึงขับรถของเฉิงเจวี้ยนมาที่ห้องพยาบาลโรงเรียน

 

 

ด้วยอยู่ในช่วงระหว่างคาบเรียน ห้องพยาบาลถึงได้เงียบสงบ

 

 

ฉินหร่านนั่งอยู่บนเก้าอี้เตี้ยด้านหนึ่ง เหยียดขาออก กางเกงยีนที่สั้นเกินไปสำหรับเธอเล็กน้อยเผยให้เห็นข้อเท้าผอมบางของเธอ

 

 

เฉิงเจวี้ยนหยิบผ้าพันแผลและอุปกรณ์อื่นๆ ด้านหลังเก้าอี้ของเธอด้วยมือเดียว พลางคว้ายาจากด้านหลังมาด้วย ท่าทีของเขาออกจะดูเย็นชาอยู่บ้าง

 

 

ทั้งสองไม่ได้สนใจมากนักกระทั่งเขาโน้มตัวมาด้านหน้า ทั้งคู่ใกล้ชิดกันเต็มที ฉินหร่านหายใจออกมาแผ่วเบา

 

 

เขาชะงักไปชั่วขณะก่อนรีบเบือนหน้าหนี สายตาจดจ่ออยู่ที่มือขวาของเธอ

 

 

“ฉันบอกเธอหลายครั้งแล้วว่าไม่ให้ใช้มือข้างนี้แรงๆ” เฉิงเจวี้ยนก้มหน้าพลางแกะผ้าพันแผล ก่อนจะตรวจและดูไม่พอใจนัก

 

 

สมัยนี้เด็กมันดื้อถึงขนาดนี้เลยหรือ

 

 

เขาโยนผ้าพันแผลเปื้อนเลือดลงถังขยะและหยิบสำลีออกมา น้ำเสียงของเขาเย็นชาทว่าท่วงท่าของเขากลับระมัดระวังเหลือเกิน

 

 

“มือขวาไม่ได้เป็นมือของเธอหรือยังไง หรือไม่เธอก็อาจจะไม่ต้องการมันแล้ว” เฉิงเจวี้ยนกดเสียงต่ำและฟังดูไม่มั่นคงนัก

 

 

หากแต่ฉินหร่านยังสัมผัสถึงความเกรี้ยวกราดในน้ำเสียงเขาได้อย่างน่าประหลาด

 

 

เธอชำเลืองมองเขาและเอ่ย “ฉันแค่ล้อเล่นน่ะค่ะ”

 

 

“แผลของเธอลึกมาก ถ้าไม่รักษาให้ดีมันจะทิ้งรอยแผลเป็นและมีอาการข้างเคียงแอบแฝง” เขาพยักหน้าก่อนจะคว้ายามาทาบนแผลให้ “อย่าออกแรง เข้าใจไหม”

 

 

เธอพยักหน้า

 

 

“อย่าโกรธสิคะ ฉันแค่ลืมว่ามือขวาฉันเจ็บอยู่เอง” เธอเท้าคางและส่งยิ้มให้อย่างลืมตัว “ทุกครั้งที่ฉันเลือดตกยางออก ฉันก็จะมาหาคุณที่นี่แล้วก็จะไม่เป็นไรแล้ว”

 

 

เขาตะลึงงัน รู้สึกราวกับหินก้อนหนึ่งตกลงมาในใจของเขาส่งให้เกิดคลื่นเป็นระลอกบนพื้นผิว

 

 

เขาตอบกลับไปและเริ่มค่อยๆ พันแผลให้

 

 

 

 

หนิงฉิงไม่ได้กลับไปกับหลินหว่าน

 

 

เธอไปโรงพยาบาลแทน

 

 

“เธอมาทำไมตอนนี้ล่ะ” หนิงฉิงมักจะมาเยี่ยมเฉินซูหลานในตอนเช้าและอยู่เพียงราวๆ ชั่วโมงหนึ่งเท่านั้น

 

 

เธอทำเช่นนี้เป็นกิจวัตร

 

 

เฉินซูหลานจึงรู้สึกแปลกใจที่เห็นหนิงฉิงในช่วงเย็น

 

 

หนิงฉิงหยิบแอปเปิ้ลออกมาปอกเปลือก เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ทำเรื่องอย่างนี้มานานและท่าทางของเธอก็เชื่องช้า

 

 

“เรื่องของหร่านหร่านน่ะค่ะ” หนิงฉิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นในท้ายที่สุด “เธอมีเรื่องกับลูกชายของอาจารย์สวี่ มันเป็นแค่เรื่องเด็กทะเลาะกัน แต่ว่าพวกเขาอยากจะเอาเรื่องนี้ขึ้นศาล”

 

 

เธอเล่าเรื่องให้ฟังคร่าวๆ

 

 

ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจออกมาและบอก “แม่คะ หร่านหร่านฟังแค่แม่ ช่วยหนูพูดกับเธอหน่อยนะคะ เธอบาดเจ็บที่มือนิดหน่อย แต่ทั้งสองฝ่ายก็บาดเจ็บที่มือเหมือนกัน ทำไมเธอต้องไปมีเรื่องกับคนใหญ่คนโตด้วยล่ะ”

 

 

“แกว่ายังไงนะ” เฉินซูหลานลุกขึ้นด้วยความเป็นห่วง “มือหร่านหร่านบาดเจ็บงั้นเหรอ”

 

 

“มือขวาน่ะค่ะ แล้วมันก็เย็บแล้วด้วย เธอถนัดซ้าย มันคงไม่ได้กระทบเธอ…”

 

 

ไม่ทันที่หนิงฉิงจะว่าจบ อีกฝ่ายก็เอ่ยแทรกขึ้นมา “เย็บที่มือขวาอย่างนั้นเหรอ ใครบอกว่าหร่านหร่านถนัดซ้ายกัน มือขวาของเธอ…แกรู้หรือเปล่าว่ามันสำคัญขนาดไหน!”

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset