เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 85 กระชากหน้ากากของฉินอวี่!

มือของสวีเหยากวงชะงัก จากนั้นก็ยื่นมือออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเป็นคนให้เอกสารชุดนี้กับอาจารย์สวี่มา ครบถ้วนเลยทีเดียว

 

 

สวีเหยากวงพลิกแค่ไม่กี่หน้า ดวงตามองต่ำ แววตาเย็นเยือก

 

 

รออยู่นาน ท่านสวีก็ไม่เห็นสวีเหยากวงปริปาก เขายกชาขึ้นจิบไปคำหนึ่ง “เรื่องของฉินอวี่ แกไม่มีอะไรอยากพูดเหรอ ปู่อยากฟังความเห็นของแกหน่อย”

 

 

สวีเหยากวงพลิกแค่ไม่กี่หน้าก็วางเอกสารลง

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ใหญ่สวี ราวกับครุ่นคิดไปพักหนึ่งถึงเอ่ยปาก น้ำเสียงนอบน้อม “คุณปู่ ทำไมถึงคิดว่าผมชอบเธอล่ะ”

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีอายุปูนนี้แล้ว อ่านคนได้แม่นยำ

 

 

โดยเฉพาะหลานชายคนนี้ แม้จะยอดเยี่ยมมากพอ แต่ยากลึกหยั่งถึง รับช่วงต่อจากเขาไม่ได้

 

 

แต่ก็คาดไม่ถึงกับคำตอบนี้ของสวีเหยากวง เขาแปลกใจเล็กน้อย “แกไม่ได้ชอบหรอกเหรอ”

 

 

“อืม”

 

 

“แล้วทำไมตอนฉันหมั้นหมายให้แก แกถึงไม่เห็นด้วยล่ะ”

 

 

“ผมไม่เคยคิดเรื่องแต่งงาน” ดวงตาของสวีเหยากวงเย็นเยียบ ท่าทางสุขุมยังคงเย็นชาและนิ่งเฉย

 

 

คราวนี้อาจารย์ใหญ่สวีไม่ตอบอยู่นานสองนาน

 

 

ตอนที่ออกจากห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่ สวีเหยากวงไม่หยิบเอกสารชุดนั้นไปด้วย และเขาก็ไม่ได้ลงจากตึกเช่นกัน ยืนอยู่ตรงสุดทางเดิน มองวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังแย่งบอลกันในสนามที่อยู่ไม่ไกล

 

 

มีชีวิตชีวาและสดใส

 

 

ปู่ของเขา เฉียวเซิง นักเรียนในอีจง หรือแม้แต่ตัวฉินอวี่เองก็คิดว่าเขาชอบเธอมาก

 

 

 

 

บ้านตระกูลหลิน

 

 

“ป้าจาง ขึ้นไปเก็บห้องบนชั้นสองหน่อย” หลินฉีพูดบนโต๊ะอาหาร

 

 

ช่วงนี้หนิงฉิงเอาแต่คิดเรื่องของฉินหร่านกับเฟิงโหลวเฉิง เมื่อได้ยินแบบนี้ เธอก็เงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ “จะมีคนมาที่บ้านเหรอ”

 

 

“ซินหรานน่ะ เธอเองก็เรียนม.หกแล้ว จะกลับมาสอบเอนทรานซ์ที่เมืองอวิ๋นเฉิง” หลินฉีวางตะเกียบลง “เรื่องนี้เต๋อไห่ก็เพิ่งบอกผมวันนี้เหมือนกัน”

 

 

ตระกูลเมิ่งเป็นญาติทางฝั่งคุณตาของหลินจิ่นเซวียน แม่ของหลินจิ่นเซวียนเสียไปหลายปีแล้ว แต่สองครอบครัวกลับไปมาหาสู่กันไม่เคยขาด

 

 

ตลอดหลายปีนี้พวกเขาวางศูนย์กลางธุรกิจไว้ในเมือง หากไม่ใช่เพราะเมิ่งซินหรานเรียนมัธยมหกปีนี้ เธอก็คงไม่กลับมา

 

 

หลินฉีกับหลินจิ่นเซวียนกำลังคุยเรื่องนี้กันอยู่บนโต๊ะอาหาร

 

 

ฉินอวี่กลับใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

 

 

หลายวันผ่านไปแล้ว การค้นหายอดนิยมในเวยป๋อถูกถอดออก อู๋เหยียนขาดการติดต่อไปอย่างสิ้นเชิง

 

 

แถมฉินอวี่ยังติดต่อเจ้าของแอคเคาท์คนนั้นไม่ได้อีกด้วย

 

 

เมื่อก่อนสวีเหยากวงมักจะมาถกประเด็นกับเธอ ไม่ก็ฟังเธอสีไวโอลิน เธอรักษาระยะห่างกับสวีเหยากวงมาตลอด ตอนนี้เขาทำแบบนั้นแล้วจริงๆ

 

 

แต่เธอกลับรู้สึกกระวนกระวายกว่าเดิม

 

 

สองสามวันนี้เข้าเรียนก็กระวนกระวายใจ

 

 

ฉินอวี่นั่งบนเก้าอี้ ผมยาวปล่อยลงมาตามไหล่ บดบังดวงตาดำสนิทคู่นั้นของเธอ

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ เธอจึงเงยหน้าขึ้น “แม่ หนูอยากพาพี่ไปหาครูเว่ยในเมืองด้วย แม่รู้ไหมว่าพี่เขาก็เคยสีไวโอลินเหมือนกัน”

 

 

หนิงฉิงแปลกใจมากทีเดียว “พาเธอไปด้วยงั้นเหรอ”

 

 

ฉินอวี่พยักหน้า

 

 

หลินฉีกินไปพอสมควรแล้ว แต่ยังไม่ลุกไป พอได้ยินประโยคนี้ เขาก็เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “แกคุยกับอาเล็กของแกแล้วเหรอ”

 

 

“เรื่องนี้หนูจะคุยกับอาเล็กเอง เธอน่าจะไม่ปฏิเสธ” ฉินอวี่ยิ้มอ่อนโยน

 

 

หลินหว่านนิสัยอย่างไรหนิงฉิงย่อมรู้ดี ถ้าฉินอวี่โพล่งเรื่องนี้ขึ้นมากะทันหัน อาจทำให้หลินหว่านเกิดความไม่พอใจได้

 

 

หากเป็นเมื่อก่อน หนิงฉิงไม่ยอมให้ฉินอวี่เสี่ยงอันตรายข้อนี้แน่นอน

 

 

แต่ตอนนี้ หนิงฉิงนึกถึงตอนที่เจอพ่อบ้านตระกูลเฟิงในห้องพักครูเมื่อหลายวันก่อน เธอจึงพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว

 

 

ฉินอวี่ก้มหน้า แววตาดูฉงนยิ่งกว่าเดิม

 

 

 

 

ตอนบ่าย

 

 

เพิ่งเลิกเรียน

 

 

หลังจากมือของฉินหร่านตัดไหมแล้ว หลายวันมานี้ดีขึ้นพอสมควรแล้ว

 

 

เธอเตรียมตัวจะไปเยี่ยมเฉินซูหลานที่โรงพยาบาล ล้วงมือถือออกจากกระเป๋า หน้าจอฉายสายเรียกเข้าจากหนิงฉิง

 

 

ฉินหร่านตั้งใจจะทำเป็นมองไม่เห็น

 

 

แต่หนิงฉิงยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน ไม่ยอมลดละ

 

 

ฉินหร่านคิดๆ ดูแล้ว สุดท้ายก็ยอมรับสาย

 

 

ช่วงนี้หนิงฉิงไม่ยอมพาฉินหร่านออกไปข้างนอกแน่ กลัวจะถูกคนรู้จักเห็นเข้า จึงนัดเจอกันที่ตระกูลหลินตอนกลางคืน

 

 

“คุณหนูฉินนี่เอง” ป้าจางมองสำรวจฉินหร่านทีหนึ่ง “เข้ามาเถอะ”

 

 

มือขวาของฉินหร่านล้วงกระเป๋า หรี่ตาลง ขี้เกียจสนใจเธอ

 

 

กวาดสายตามองห้องแวบหนึ่ง

 

 

หนิงฉิงนั่งอยู่บนโซฟา ดูเหม่อลอยนิดหน่อย ฉินอวี่กำลังลงมาจากชั้นบน

 

 

ฉินหร่านไม่ยอมนั่ง มือซ้ายถือม้วนกระดาษอยู่

 

 

ฉินหร่านจ้องฉินอวี่อยู่ครู่หนึ่งแล้วละสายตา มองหนิงฉิงด้วยท่าทางไม่แยแส “ว่ามาเถอะ มีธุระอะไรกับหนู”

 

 

หนิงฉิงลุกขึ้นมา เธอมองฉินหร่านแล้วยิ้ม “หรานหร่าน มาถึงแล้วเหรอ…มือของลูก…”

 

 

ฉินหร่านรำคาญมากทีเดียว “อย่ามาเสแสร้ง มีธุระอะไรกับหนู พูดมาก่อน”

 

 

หนิงฉิงถูกเธอตัดบทก็ชะงัก ในใจไม่สบอารมณ์นิดหน่อย แต่ก็สะกดกลั้นไว้ “คือว่า อีกหนึ่งเดือนน้องสาวแกจะไปเมืองหลวงแล้ว ครูเว่ยคนนั้นยอดเยี่ยมมาก แม่กะว่าจะให้แกไปพร้อมน้อง เปิดหูเปิดตาหน่อย…”

 

 

ฉินหร่านเอียงหัว ผมหน้าม้าพาดผ่านหน้าผาก เจือความเย็นชา มุมปากกระตุกยิ้มชั่วร้าย มองฉินอวี่ราวกับรู้สึกขำ “ให้หนูไปเมืองหลวง? แน่ใจนะว่าเธอหวังดีน่ะ”

 

 

หนิงฉิงไม่ค่อยพอใจกับท่าทีของเธอ “จะไม่หวังดีได้ยังไง แกเรียนไม่ดี ฝึกเล่นไวโอลินหน่อย เดินบนเส้นทางของนักเรียนศิลปะได้ น้องแกทำเพื่อแกทั้งนั้น”

 

 

“พี่ พี่อย่าเข้าใจผิด ฉันก็แค่อยากให้พี่ได้ดี พี่ก็รู้ว่าการเรียนของพี่…” ฉินอวี่อ้ำๆ อึ้งๆ แล้วพูดต่อว่า “ครูเว่ยมีชื่อเสียง ถึงตอนนั้นถึงเขาจะไม่รับพี่ แต่แนะนำพี่สักนิดก็ถือว่ามีประโยชน์มากเหมือนกัน”

 

 

ฉินหร่านแสยะยิ้ม

 

 

เธอเป็นแบบนี้มาตลอด ทั้งนิสัยเสียและเย็นชา เวลามองใครมักจะดูชั่วร้ายผสมกับเฉยชา

 

 

ไม่น่ารักและเรียบร้อยอย่างฉินอวี่

 

 

หนิงฉิงถูกสายตาของเธอยั่วโมโหเข้าแล้ว “สายตาอะไรของแกน่ะ น้องสาวแกก็ทำเพื่อแกทั้งนั้น”

 

 

“มีเรื่องอะไรกัน” ในตอนนี้เอง หลินฉีก็เดินเข้ามาจากข้างนอก เขายื่นกระเป๋าทำงานให้ป้าจาง

 

 

กวาดสายตาผ่านหนิงฉิงกับฉินอวี่ สุดท้ายก็หยุดลงที่ฉินหร่านแล้วยิ้ม “หรานหร่านมาแล้วเหรอ” หยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เป็นอะไรไป ทะเลาะกันเหรอ”

 

 

“คุณพ่อ ไม่มีอะไร เพราะหนูไม่ดีเอง หนูทำให้พี่โมโห…” ฉินอวี่เม้มปาก ก้มหน้า เห็นสีหน้าของเธอไม่ชัด

 

 

หลินฉีชะงัก น้ำเสียงอ่อนลง “อวี่เอ่อร์ มีเรื่องอะไรคุยกับพี่เขาดีๆ เธอไม่ใช่…”

 

 

ปึง!

 

 

ฉินหร่านยกมือโยนกระดาษไม่กี่ใบในมือใส่โต๊ะแล้วมองหนิงฉิง “ไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว หนูหวังว่าแม่จะดูแลฉินอวี่ให้ดี ลุงหลิน คุณลุงเคยช่วยฉัน ฉันเห็นแก่หน้าคุณลุง เลยไม่ได้ส่งให้ศาล”

 

 

ฉินอวี่มองของที่อยู่บนโต๊ะพวกนั้น รู้สึกกังวลขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

หลินฉีไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเวยป๋อช่วงนี้ เขายกมือหยิบของบนโต๊ะขึ้นมาพลิกดู ใบหน้าเปลี่ยนจากงงงวยเป็นเคร่งขรึม สุดท้ายใบหน้าที่อ่อนโยนเสมอมาก็เปลี่ยนเป็นถมึงทึง

 

 

ในเอกสารเป็นบันทึกบทสนทนาของฉินอวี่ที่ติดต่ออู๋เหยียน กับบันทึกบทสทนาที่เธอแนะนำเจ้าของแอคเคาท์ที่ดูแลเวยป๋อให้กับอู๋เหยียน ใบสุดท้ายเป็นใบบันทึกรายการโอนเงินที่ฉินอวี่โอนเงินสองแสนให้อู๋เหยียน

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset