เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 87 เงื่อนงำ ผู้มีอิทธิพลซ่อนตัว

ผู้บัญชาการห่าวเอียงหัว มองเฉิงมู่แวบหนึ่งแล้วพยักหน้า “อืม”

 

 

เขาหมดอารมณ์สนใจแล้ว จึงไม่ได้ถามอะไรอีก

 

 

“แฟ้มคดีเมื่อสามปีก่อนฉันดูแล้ว” ผู้บัญชาการห่าวหันหลัง เดินออกไปข้างนอก “ฉันจะไปหาหน่วยสืบสวนคดีอาชญากรรมของเมืองอวิ๋นเฉิง”

 

 

 

 

หลายวันต่อมา แผลบนมือฉินหร่านก็ดีขึ้นพอสมควรแล้ว

 

 

หลายวันมานี้พวกเฉิงเจวี้ยนกับจ้าวอิ่งค่อนข้างยุ่ง ทั้งผู้บัญชาการห่าวคนนั้นระแวงเธอปานระแวงหมาป่า ฉินหร่านเลยไม่ค่อยไปที่ห้องพยาบาลแล้ว

 

 

เธอนอนฟุบบนโต๊ะ หลับตาพริ้ม รูดซิปเสื้อยูนิฟอร์มจนสุด ปิดคางเอาไว้

 

 

ข้างๆ เป็นหลินซือหรานที่กำลังอธิบายแบบฝึกหัดข้อหนึ่งให้เซี่ยเฟยอยู่

 

 

“หลินซือหราน สมุดเล่มนี้เธอเอามาจากไหน” เซี่ยเฟยชี้สมุดที่หลินซือหรานใช้อ้างอิงอยู่ตลอดพลางเอ่ยปากถาม

 

 

หลินซือหรานเบี่ยงตัว มองแวบหนึ่ง “หรานหร่านให้ฉันมาน่ะ”

 

 

แต่เธอไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่นัก

 

 

“ฉันรู้สึกว่าชื่อนี้ คุ้นมาก…” เซี่ยเฟยชี้ตัวหนังสือสามตัวที่เขียนอย่างเป็นระเบียบบนหน้าแรก ทำท่าครุ่นคิด

 

 

หลินซือหรานยิ้มอย่างไม่ค่อยใส่ใจ “บนโลกมีคนเยอะขนาดนี้ ชื่อเดียวกันในประเทศมีตั้งหลายร้อยคน”

 

 

ไม่มีอะไรน่าแปลก

 

 

“ไม่สิ…” เซี่ยเฟยส่ายหน้า “ฉันต้องเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแน่ๆ”

 

 

เซี่ยเฟยพูดอย่างมั่นใจแบบนี้ หลินซือหรานก็อดหยิบสมุดขึ้นมาไม่ได้ พลิกดูไม่กี่หน้า ตัวอักษรข้างในถูกเขียนด้วยความตั้งใจอย่างยิ่ง เนื้อความล้วนกระชับและชัดเจน

 

 

ประเด็นสำคัญก็ถูกไฮไลต์ไว้แจ่มแจ้ง

 

 

หลินซือหรานมองไปมองมาก็เคลิบเคลิ้ม พอได้สติกลับมา เวลาพักเที่ยงที่ให้เรียนรู้ด้วยตัวเองก็ผ่านไปซะแล้ว

 

 

“หรานหร่าน สมุดเล่มนี้เธอไปเอามาจากไหน” คราวนี้แหละหลินซือหร่านจะได้รู้แล้วว่าของที่ฉินหร่านให้เธอเป็นของรักของหวงอะไรกันแน่

 

 

“คนอื่นให้มา” ฉินหร่านพยายามลืมตา หรี่ตามองหลินซือหร่าน ดูไม่ยี่หระเลย

 

 

สีหน้าเฉื่อยชาราบเรียบ ประดุจควันจางๆ

 

 

หลินซือหรานก็รู้จักฉินหร่านดี เห็นเธอพูดแบบนี้ ก็ไม่ได้ซักไซ้มากมาย

 

 

แต่เลียนแบบฉินหร่าน ฟุบลงบนโต๊ะ พูดอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา “หรานหร่าน อีกไม่กี่วันก็ถึงวันสถาปนาโรงเรียนแล้ว ห้องเราจัดการแสดงรายการหนึ่ง เธอจะ…”

 

 

อันที่จริงการแสดงนี้เริ่มจัดเตรียมตั้งแต่เปิดเทอมแล้ว

 

 

เพราะเป็นวันครบรอบการสถาปนาโรงเรียน 50 ปี โรงเรียนจึงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก

 

 

ตอนนั้นฉินหร่านยังไม่ได้ย้ายมาห้องเก้า

 

 

หลังฉินหร่านย้ายมา แม้จะหน้าตาดีก็จริง แต่แผ่ออร่าความเย็นชา กรรมการฝ่ายนันทนาการจึงไม่กล้าชักชวนเธอ จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อน ถึงกับกัดผ้าเช็ดหน้าขอร้องให้หลินซือหรานช่วยพูดแทนเธอหน่อย

 

 

จากนั้น หลินซือหรานก็ไม่พูดอะไรเลย ฉินหร่านใช้หนังสือปิดหัว พูดเสียงอู้อี้ว่า “ฉันขอปฏิเสธ”

 

 

หลินซือหรานมองใบหน้าของเธอด้วยความรู้สึกเสียใจ บอกว่าเธอไม่รู้จักรักษาโอกาส

 

 

ฉินหร่านจึงสวมหูฟัง

 

 

น่ารำคาญจริงๆ

 

 

 

 

เลิกเรียนตอนเย็น ฉินหร่านกับหลินซือหรานเดินลงจากตึกพร้อมกัน

 

 

เธอกลับดึกอยู่เสมอ เพิ่งออกจากประตูโรงเรียน ชายชราใส่สูทครั้งก่อนคนนั้นเข้ามาขวางเธออีกแล้ว

 

 

ท่าทีแข็งกร้าวอย่างยิ่ง “คุณหนูฉิน คุณหญิงของเราต้องการพบคุณ”

 

 

ครั้งนี้ มีบอดี้การ์ดใส่ชุดดำสองคนยืนอยู่ข้างหลังเขาด้วย

 

 

ไม่ไกลมีนักเรียนมองมาด้วยสายตางุนงง

 

 

ฉินหร่านสูดหายเข้าลึกๆ “ได้ ฉันจะไปกับพวกคุณสักครั้ง”

 

 

ห้านาทีต่อมา

 

 

ในห้องส่วนตัวที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน

 

 

คุณหญิงเฟิงนั่งอยู่ริมหน้าต่าง กำลังมองผู้หญิงที่นั่งฝั่งตรงข้าม สีหน้าของเธอบูดบึ้ง

 

 

“เธอก็คือเด็กนักเรียนที่ต่อให้เฟิงโหลวเฉิงต้องยกเลิกธุระทั้งหมดก็จะไปหาในคืนนั้นให้ได้คนนั้นเหรอ” คุณหญิงเฟิงถือถ้วยชา นับว่าคุมอารมณ์ได้ดี แต่สายตาที่มองฉินหร่านแลดูทิ่มแทง ซ้ำยังมีความเย้ยหยันเจือปนอยู่ด้วย

 

 

ฉินหร่านนั่งตรงข้ามเธอ ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

 

 

แม้เธอจะเฉยชามาตลอด แต่เวลาส่วนใหญ่มักจะอยู่ในสภาพที่สบายๆ ไม่สนใจอะไร เจือความเหลาะแหละประหนึ่งเห็นชีวิตเป็นเหมือนเกม

 

 

ตอนนี้ใบหน้างดงามของเธอไม่เห็นอารมณ์ใดเลย ดวงตาคู่นั้นลึกล้ำราวกับจมอยู่ในน้ำลึก เคล้าด้วยความขมุกขมัวที่ยากจะเข้าใจ

 

 

“ซ่อนได้มิดชิดดีนี่” คุณหญิงเฟิงโยนถ้วยชาลงบนโต๊ะดังเพล้ง “ฉันต้องบอกว่าเธอเก่งหรือเปล่า”

 

 

“คุณต้องการอะไร” ฉินหร่านสูดหายใจเข้าลึกๆ เสียงของเธอราบเรียบ

 

 

แต่ดวงตาคู่นั้นกลับดูลึกล้ำ

 

 

“ไปจากเมืองอวิ๋นเฉิง” คุณหญิงเฟิงปรายตามองเธอ “อย่าพยายามเข้าหาเฟิงโหลวเฉิงเลย นักเรียนอย่างเธอ ไม่ทันฉันหรอก”

 

 

ฉินหร่านแสยะยิ้ม

 

 

มือข้างที่ถือแก้วของเธอกำแน่นจนเกิดเสียงดัง “คุณหญิงเฟิง คุณเป็นแบบนี้เสมอ หยิ่งทะนง คาดเดาตามอำเภอใจ ไม่สนใจชีวิตของใครเลย…”

 

 

เธอหลุบตาต่ำ แก้วในมือเกือบจะพุ่งไปกระแทกใบหน้าของคนตรงหน้าแล้ว

 

 

ในตอนนี้เอง มือถือที่เธอวางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น…

 

 

เป็นทำนองเพลงที่ไพเราะท่อนหนึ่ง

 

 

ฉินหร่านก้มหน้า มันเป็นนาฬิกาปลุกที่เฉิงเจวี้ยนตั้งให้เธอก่อนหน้านี้ ข้างบนมีหมายเหตุเขียนไว้ว่า

 

 

ทายาครีมหลอดสีเขียว

 

 

ความโมโหร้ายที่ทะลักออกมาสงบลงนิดหน่อย

 

 

ฉินหร่านสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

 

เธอหยิบมือถือขึ้นมาต่อสายหาคนคนหนึ่ง “คุณลุงเฟิง ร้านกาแฟจิ่งเซ่อ คุณมาเถอะค่ะ”

 

 

 

 

ฉินหร่านไม่รอเฟิงโหลวเฉิงมา โทรศัพท์เสร็จ เธอก็ออกจากห้องส่วนตัวทันที

 

 

เพิ่งก้าวออกจากประตูร้านกาแฟ ก็เห็นลู่จ้าวอิ่งเรียกเธอจากหน้าร้านอาหารสไตล์เชฟส์ เทเบิลฝั่งตรงข้าม

 

 

ฝีเท้าของฉินหร่านหยุดชะงัก ในปากคาบอมยิ้มแท่งหนึ่ง มือกำมือถือ ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็สาวเท้าเดินไปฝั่งพวกเขา

 

 

ชีเฉิงจวินไม่อยู่

 

 

แต่เฉิงเจวี้ยนกับพวกผู้บัญชาการห่าว มู่เฉิงอยู่กับพร้อมหน้า

 

 

“ทำไมเธอไม่อยู่ที่โรงเรียนล่ะ” เฉิงเจวี้ยนวางสาย ก้มหน้าถามเธอ

 

 

ฉินหร่านยิ้ม สีหน้านิ่งสงบ “ออกมาพบคนคนหนึ่ง”

 

 

พวกเฉิงมู่ได้ยินกันทุกคน แต่พวกเขาต่างก็คิดว่า ‘พบคนคนหนึ่ง’ ของฉินหร่านก็คงไม่พ้นเพื่อนนักเรียน จึงไม่ค่อยใส่ใจมากนัก

 

 

เฉิงเจวี้ยนก็ไม่สนใจผู้บัญชาการห่าวกับเฉิงมู่ ก้มหน้าแล้วถามฉินหร่านทันทีว่า “เข้าไปกินข้าวไหม”

 

 

ตอนที่ฉินหร่านนั่งอยู่กับคุณหญิงเฟิง เธอไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด แม้แต่ชาก็ไม่ได้ดื่ม อย่าว่าแต่ของว่างเลย

 

 

แต่ตอนนี้เมื่อเฉิงเจวี้ยนถาม เธอก็รู้สึกหิวขึ้นมานิดๆ แล้ว

 

 

ฉินหร่านตามเฉิงเจวี้ยนเข้าไปกินข้าวในห้องส่วนตัว ลู่จ้าวอิ่งไม่ค่อยสนใจคดีนั้นมากเท่าไหร่จึงตามมาด้วย

 

 

สามคนกินไม่ถึงสิบนาที เฉิงมู่กับผู้บัญชาการห่าวก็เข้ามา

 

 

ต่างก็ดูไร้ชีวิตชีวา

 

 

ลู่จ้าวอิ่งลูบต่างหู นั่งไขว่ห้างยิ้มๆ ไม่แปลกใจเลยสักนิด “ทำไม ผู้บัญชาการเฉียนไม่ยอมมาเจอพวกนายเหรอ”

 

 

ผู้บัญชาการห่าวนั่งลงเงียบๆ ไม่พูดไม่จา

 

 

แม้เขาจะเป็นผู้บัญชาการหน่วยอาชญากรรมของเมืองหลวง คนในหน่วยสืบสวนทั่วประเทศมีเยอะปานนั้น แม้ผู้บัญชาการเฉียนคนนี้จะอยู่ในเมืองอวิ๋นเฉิง แต่ชื่อเสียงโด่งดังกว่าผู้บัญชาการห่าว

 

 

ลู่จ้าวอิ่งยิ้ม เขามองเฉิงเจวี้ยนแล้วมองฉินหร่าน

 

 

สุดท้ายก็คีบเนื้อชิ้นหนึ่งใส่ถ้วย เอียงหัวอธิบายให้ฉินหร่านฟังว่า “ผู้บัญชาการเฉียนคนนั้นเป็นผู้บัญชาการหน่วยสืบสวนเมืองอวิ๋นเฉิง เขาสร้างชื่อเมื่อสามปีก่อน ที่สำคัญคือเข้าร่วมองค์กรสืบสวนแห่งหนึ่งเมื่อสามปีก่อน แน่นอนว่าเธอต้องไม่เคยได้ยินชื่อเขา เพราะสำนักงานสืบสวนนี่ไม่เปิดเผยให้คนนอกรู้”

 

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset