เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System) – ตอนที่ 36 ภารกิจสุดหินที่แท้จริง

หลี่ว์เอ้อร์ยืนอยู่ที่สนามกีฬาและพยายามอย่างยิ่งในการข่มกลั้นใจที่ต้องการเป็นอิสระเอาไว้ เขายืนรวมกลุ่มอยู่กับนักเรียนคนอื่น รอคอยบุคคลเบื้องหน้าตัดสินใจชะตาชีวิตของตน

ขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่ม สถานที่แห่งนี้คือหน่วยกิจการพิเศษของเมืองฉี

ในภารกิจสองครั้งก่อน นักเรียนอาสาสมัครที่เข้าร่วมทั้งสองกลุ่มล้วนได้รับลายเซ็นต์ของโม่ซิ่ง และได้รับอนุญาตให้กลับไปยังเมืองฉีเพื่อใช้ชีวิตอิสระ

ตอนนี้เหล่านักเรียนที่เหลืออยู่ต่างมารวมกันใกล้ครบแล้ว แต่ละคนล้วนมีสีหน้าฮึกเหิม ความมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม ท่าทางขึงขังจริงจังนั้นดูแล้วยังมีมากกว่าสมาชิกอย่างเป็นทางการของหน่วยกิจการพิเศษเสียอีก

โม่ซิ่งสีหน้าเคร่งขรึม เขามองประเมินไปทางพวกนั้นอย่างไม่วางตา จากนั้นจึงเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาออกมา “ฉันรู้ว่าพวกนายคิดอะไรอยู่ และก็รู้ด้วยว่าพวกนายจะทำอะไร แต่ว่าครั้งนี้พวกนายอย่าได้หวังจะฉวยโอกาสก่อเรื่องเด็ดขาด ครั้งนี้ไม่เหมือนสองครั้งก่อน เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสองครั้งก่อนนั้น เป็นเพราะความช่วยเหลือของเพื่อนร่วมงานจากหน่วยพิทักษ์จื้ออัน”

“อัศวิน A อ้อ ได้ยินมาว่าตอนนี้มีบางคนเรียกขานเขาว่าเป็นจอมยุทธ์เมืองฉีแล้ว ฉันไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก ในระบบบันทึกไว้ว่าเป็นอัศวิน A และแผนปฏิบัติการของเราก็ถูกเจ้าคนนี้ทำลายถึงสองครั้งสองครา แผนปฏิบัติการทั้งสองครั้งก่อนหน้านี้ล้วนอาศัยจังหวะตอนที่พวกเราซุ่มรอ มันลอบเข้าไปยังบ้านของพวกโจรเหล่านั้นและฆ่าพวกมันทิ้ง”

“บ้านของเหล่าวายร้ายพวกนั้นมีศพคนตายถูกแช่แข็ง และอยู่ในสภาพถูกถลกหนัง! แต่ละร่างมีกลิ่นไอชั่วร้ายแฝงอยู่ หรือบางทีนี่อาจจะทำให้เขาทำลายกฏการเข้าไปในเคหะสถาน แอบย่องเข้าไปโดยไม่ต้องแม้แต่จะแจ้งข้อหา จากนั้นก็ลงมือสังหารทันที เพราะว่าถ้าดูจากสภาพศพที่เจอ โจรร้ายพวกนั้นถูกตีท้ายทอยจากทางด้านหลัง และตายโดยไม่รู้ตัว”

คำกล่าวนี้ของโม่ซิ่ง หากให้ฟางหนิงมาได้ยินล่ะก็…เขาจะต้องตกใจจนนอนไม่หลับไปหลายวันทีเดียว ที่แท้รูปดาวเจ็ดแฉกที่เขาเห็นนั้นก็มีการวาดลงบนหน้าคนจริงๆ!

เพียงแต่ตอนนั้นระบบเจ้ากรรมอาจจะนึกเมตตา เลยไม่ได้บอกให้ฟางหนิงรับรู้ เขาจึงไม่รู้สึกตกใจ

แต่บรรดานักเรียนหลักสูตรฟื้นฟูและปรับทัศนคติต่างได้ยินกันทั้งสิ้น สีหน้าแต่ละคนปรากฏแววตกใจไม่มากก็น้อย ก่อนจะตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของภารกิจนี้

หลี่ว์เอ้อร์ที่อยู่อีกด้านได้ยินดังนั้นก็ตัวสั่นเหงื่อแตกพลั่กเต็มแผ่นหลัง สิ่งที่เขาหวาดกลัวนั้นต่างไปจากคนอื่น เขาดีใจที่ไม่ได้ทำเรื่องน่าสยดสยองลงไป ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกอัศวิน A ตีท้ายทอยจนสิ้นใจแน่นอน

โม่ซิ่งเห็นภาพนี้เข้าสีหน้าก็สู้ดีขึ้นเล็กน้อย คิดในใจว่า ‘ต้องขู่ให้กลัวเสียบ้าง แต่ละคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง รอบแรกที่ทำภารกิจก็กล้าที่จะตั้งฉายาลับหลังเขาว่า “ภารกิจสุดหินของหัวหน้าโม่ คิดว่าฉันไม่รู้รึ’

“ภารกิจในครั้งนี้ต่างออกไป เครือข่ายเทียนหลัวตรวจพบพวกกลายพันธุ์สุดแข็งแกร่ง พวกมันกำลังเตรียมที่จะทำลายผนังกำแพงแขตแดนให้พังลงอย่างแรงกล้า ต้องอาศัยไอพลังปีศาจที่หลงเหลือบางส่วนในเมืองฉีมาลดความรุนแรง ดังนั้นไม่ว่าอัศวิน A จะฆ่าเหล่าโจรร้ายไปมากเท่าไร ก็ไร้ประโยชน์!”

“พวกเราจะต้องเผชิญหน้ากับพวกกลายพันธุ์นอกเขตอย่างตรงไปตรงมาในครั้งแรก”

“ดังนั้นภารกิจในครั้งนี้จึงจัดได้ว่าเป็นภารกิจสุดหินที่แท้จริง”

หลังจากทุกคนได้ฟังรายละเอียดแผนปฏิบัติงานแล้ว สีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที เหล่านักเรียนหลักสูตรฟื้นฟูและปรับทัศนคติต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม หนึ่งในพวกเขาหลายคนรู้สึกเสียใจภายหลัง และคิดว่าก่อนหน้านี้พวกเขารีบร้อนตัดสินใจเกินไป

แต่ก็สายไปแล้วที่จะถอดใจยอมแพ้เช่นกัน

ด้วยเพราะพวกเขาเซ็นสัญญาเข้าร่วมภารกิจนี้อย่างสมัครใจเรียบร้อยแล้ว หากระหว่างปฏิบัติภารกิจไม่เชื่อฟัง ฝ่าฝืนคำสั่ง หรือลักลอบหนีไปโดยพลการจะจัดการทันทีโดยไม่มีการผ่อนปรน

แต่ว่า เมื่อหลายคนนึกถึงผู้ปฏิบัติภารกิจสองครั้งก่อนที่สามารถทำได้อย่างราบรื่น เพียงแค่วิ่งไปมารอบหนึ่งเมื่อกลับมาก็ได้รับอิสรภาพ สามารถกลับบ้านไปใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ไม่ต้องนั่งทานหมั่นโถวกับน้ำซุปใส ไม่ต้องเข้าเรียนทุกวัน ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มมองโลกแง่ดีขึ้นมาบ้าง และเสนอตัวเซ็นสัญญาในการเข้าร่วมภารกิจนี้ด้วยตนเอง

โชคดีที่รอบนี้โม่ซิงยังเหลือทางอีกเส้นหนึ่งไว้ให้พวกเขา “ในตอนนี้ หากมีใครที่เสียใจกับการตัดสินใจของตนเองล่ะก็…ฉันก็จะให้โอกาสครั้งสุดท้ายกับพวกนาย! ก้าวออกมาข้างหน้า เท่านี้พวกนายก็จะได้กลับไปยังสถานฝึกฝนเข้าเรียนในหลักสูตรฟื้นฟูและปรับทัศนคติต่อไป มีหรือไม่มี”

นักเรียนกลุ่มนั้นต่างหันมองซ้ายขวา หากแต่ไม่มีใครขยับ

โม่ซิ่งย้ำอีกครั้ง “ฉันให้เวลาพวกนายห้านาทีในการตัดสินใจครั้งสุดท้าย หลังจากผ่านห้านาทีนี้ไปแล้ว ทั้งหมดจะเริ่มออกเดินทาง หากใครคิดหลบหนียิงสังหารทันที!”

ในที่สุดใครบางคนก็ขยับเขยื้อน เขาก้มศีรษะลงไม่มองใครหน้าไหนทั้งนั้น แล้วค่อยๆ เดินออกจากแถวมายืนอยู่ด้านหน้าสุด

เมื่อมีคนแรก คนที่สองก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

เหล่านักเรียนที่ก้าวออกมาเริ่มมีจำนวนเยอะขึ้น สีหน้าของโม่ซิ่งเยือกเย็นลง คิดในใจว่า ‘ไม่ผิดไปจากที่คิด คนหนุ่มพวกนี้ หลักสูตรฟื้นฟูและปรับทัศนคติอย่างมากก็แค่ข่มขู่ไม่ให้ทำเรื่องร้ายแรงอีก พวกเขาอ่อนแอเกินไป ไม่มีทางรับมือกับพวกกลายพันธุ์ได้’

มีเพียงพวกที่เข้าร่วมภารกิจในครั้งแรกถึงจะถือว่ามีพื้นฐาน แต่ก็มีจำนวนน้อยเกินไป ดูแล้วน่าจะต้องยื่นคำแนะนำต่อไปเรื่อยๆ แต่ว่าตอนนี้จะเลือกทิ้งเลือกขว้างไม่ได้ จะต้องไม่ให้พวกเขาสูญเสียพลังเหล่านั้นไป หากเป็นแบบนั้นก็มีแต่ตายกับตาย

โม่ซิ่งมองดูผลลัพธ์สุดท้าย ในบรรดานักเรียนพวกนี้เหลือคนที่จะเข้าร่วมภารกิจเพียงสองคนเท่านั้น

หนึ่งในสองนั้นคือ หลี่ว์เอ้อร์ แม้ว่าเขาจะหวาดกลัว แต่ตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองวิ่งได้เร็วกว่าแต่ก่อนแล้ว หากว่าจวนตัวขึ้นมาจริงๆ ก็น่าจะเร็วพอหลบลูกกระสุนได้…

ส่วนอีกคนเป็นชายคนหนึ่งนามว่าเซ่าหาน อายุสามสิบปี มีผมสีดอกเลา หน้าตาเกลี้ยงเกลา

กล่าวกันว่าเขาเป็นนักเขียนมืออาชีพ และพลังพิเศษของเขาคือการเขียนเร็ว ตามหลักแล้วด้วยพลังพิเศษแบบนี้ไม่น่าจะถูกส่งตัวมายังสถานที่เช่นนี้ได้ ควรจะมีเพียงการส่งจดหมายแจ้งเตือน หรือไม่ก็เจ้าตัวคงจะสมัครใจมาเองกระมัง

ตอนที่หลี่ว์เอ้อร์ได้ยินเรื่องนี้ก็ได้แต่คิดว่าคนคนนี้คงบ้าไปแล้วแน่นอน เซ่าหานมีทั้งโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ครบครัน คงคิดว่าการเข้าเรียนที่นี่คงง่ายดายสินะ และอาจว่างมากพอขนาดที่มีเวลาอัพเดตนิยายใหม่ได้

แต่ใครจะไปคิดว่า อาจารย์ใหญ่จางจะอยากให้ทุกคนตั้งสมาธิกับการเรียนมากถึงเพียงนั้น เขาตัดอินเทอร์เน็ตของนักเรียนทุกคน ใครบางคนบอกว่าในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ของเซ่าหานมีนิยายบันทึกอยู่เป็นแสนตอน แต่ว่านิยายพวกนั้นกลับหยุดอัพเดตมาได้สองเดือนกว่าแล้ว

หากเป็นแบบนี้ต่อไป แฟนคลับคงหายหมดแน่นอน สุดท้ายเซ่าหานจึงต้องตัดสินใจเข้าร่วมภารกิจนี้ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีทางออกไปจากสถานที่นี้ได้

หลี่ว์เอ้อร์ยินดีที่อย่างน้อยก็มีใครสักคนเป็นเพื่อนร่วมทาง เขาวิ่งไม่ชนะอัศวิน A อีกทั้งไม่รู้จักสมาชิกอย่างเป็นทางการของหน่วยพิเศษอันลึกลับแม้แต่นิด แต่มั่นใจได้ว่าจะพาเจ้าเพื่อนคนนี้เดินทางได้เป็นสิบรอบ

ผ่านไปห้านาทีแล้ว นักเรียนที่ตัดสินใจถอนตัวออกจากภารกิจต่างก้าวออกไปข้างหน้าเรียบร้อยแล้ว โม่ซิ่งหันมองไปทางอาจารย์ใหญ่จางที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

อาจารย์ใหญ่จางกล่าวออกมา “ฉันจะเพิ่มจำนวนเป็นสามเท่าก่อนที่พวกเขาจะจบแน่นอน”

โม่ซิ่งพยักหน้ารับคำเล็กน้อย ท่าทางพอใจแล้วกล่าวว่า “ดี คนที่ก้าวออกมาด้านหน้าตอนนี้กลับไปได้แล้ว สองคนที่เหลืออยู่นี้กล้าหาญมาก เป็นชายที่มีความรับผิดชอบ ขอเพียงปฏิบัติภารกิจสำเร็จลุล่วง พวกนายจะไม่เพียงได้สิทธิในการเคลื่อนไหวอย่างอิสระ ขณะเดียวกันก็จะถูกดึงเข้าร่วมกับทีมสำรองหลังบ้าน รับสิทธิในการรอเข้าเป็นสมาชิกของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ”

หลี่ว์เอ้อร์ไม่สนใจอย่างอื่น เขาไม่อยากได้สิทธิอะไรทั้งนั้น นอกจากการเป็นอิสระ

หากแต่เซ่าหานกลับยินดี นี่ถือว่าเขากำลังจะมีที่พึ่งพิงแล้ว ด้านหนึ่งก็มีที่พักพิงที่มั่นคง อีกด้านหนึ่งก็รอวันอัพเดตนิยายอีกครั้ง กระแสความนิยมกลับมาเช่นเดิม เท่านี้เขาก็ได้ประโยชน์มากแล้ว

“เอาล่ะ ตอนนี้คนที่เหลืออยู่ให้ออกเดินทางได้ หลังจากขึ้นรถแล้วจะแจ้งรายละเอียดอีกครั้ง”

โม่ซิ่งพูดจบก็ออกเดินนำหน้าทันที

อาจารย์ใหญ่จางถลึงตามองนักเรียนพวกนั้นที่ถอนตัวออกจากภารกิจ ก่อนจะหันมองนักเรียนอีกสองคนที่ตัดสินใจร่วมภารกิจนี้ ปากพึมพำเบาๆ “อย่าตายล่ะ”

ตอนนี้อัศวิน A กำลังฆ่าปีศาจเพื่อทำภารกิจประจำวัน

ระบบเอ่ยขึ้น “วิชาแปลงร่างมังกรเพิ่มระดับใช้ค่าพลังฝึกฝนประสบการณ์สิ้นเปลืองเกินไป บริเวณโดยรอบไม่มีปีศาจที่สามารถเก็บค่าได้ ทหารวิเศษกำลังจะสร้างเสร็จแล้ว ขาดก็แค่ลงค้อนอีกครั้งเดียวเท่านั้น โฮสต์ดูสิ พวกเราเปิดกิจการดึงดูดปีศาจใช่หรือเปล่า”

ฟางหนิงรีบบอกปัด “ไม่ ไม่ ฉันคิดว่าพวกเราน่าจะต้องฝึกฝนวิชาอีกสักพัก ศัตรูพวกนี้เก่งเกินไป ในเมืองนี้ก็มีแต่แกเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทั่วประเทศหรือทั่วโลกเลย หากว่ามีปีศาจตัวไหนที่แกจัดการไม่ได้ พวกเราก็จะถูกตามล่าสุดฟ้าเขียว ตั๋วนอนกินฟรีๆ และกิจการต่างๆ ที่ฉันสร้างขึ้นอย่างยากลำบากได้หายไปหมดแน่นอน!”

ระบบเห็นด้วย “โฮสต์พูดถูก ค้อนยังคงไม่ทุบลงมา หยุดเฝ้าอยู่ที่นี่ก่อนเถอะ”

ได้ยินแบบนั้น ฟางหนิงก็ถามขึ้นด้วยความงุนงง “ทำไมพวกเราไม่เปลี่ยนเมืองหา แล้วนั่งรถไฟความเร็วสูงหรือเครื่องบินในแค่ไม่กี่ชั่วโมงกันล่ะ หากจะคำนึงถึงประสิทธิภาพแล้วล่ะก็ ดีกว่าอยู่รอโอกาสที่นี่ตั้งเยอะเลยนะ”

ระบบตอบกลับ “ก่อนเริ่มระบบอัศวิน ไม่สามารถเปลี่ยนสถานที่ตามใจชอบได้ ชื่อเสียงที่สั่งสมมาจะกลายเป็นศูนย์ต้องเริ่มต้นใหม่”

ฟางหนิงเข้าใจทันที “อ้อ ฉันคิดมาตลอดว่านายขี้เกียจเลยไม่อยากเปลี่ยนสถานที่ ก็เลยไม่ถามมาก่อน ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเหตุผลนี้”

ระบบนิ่งเงียบ “…”

ผ่านไปพักหนึ่ง ระบบจึงมีปฏิกิริยาตอบกลับ “รอเดี๋ยว แผนที่ในระบบมีการเปลี่ยนแปลง ปีศาจที่เพิ่งจะปรากฏบนแผนที่นี้ตัวใหญ่และทรงพลังมาก ถึงเวลาออกล่าแล้วล่ะ…”

…………………………………………………………….

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System)

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System)

SBTS, 我被系统托管了
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2017 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System)จู่ๆ ก็มีดาวตกพุ่งลงมาที่โลก ทำเอาพื้นดินถึงกับสั่นไหวเล็กน้อย แต่แรงสั่นสะเทือนนั้นกลับทำให้ 'ฟางหนิง' หัวโขกกับโต๊ะคอมพิวเตอร์จนสลบไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเขามีระบบ ขณะที่กำลังจะดีใจว่าในที่สุดก็มีขาทองคำมาให้เกาะ เจ้าระบบนั่นกลับประเมินว่าเขาเป็นโรคขี้เกียจระยะสุดท้าย ปล่อยไว้ไม่มีทางเจริญก้าวหน้า และทำการยึดครองร่างของเขาซะงั้น!? ... จากหนุ่มโอตาคุผู้แสนจะขี้เกียจที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ กลับต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนโฉมตนเองเป็นฮีโร่คอยปราบปรามเหล่าปีศาจร้าย ปกป้องเมืองที่ตนอยู่อาศัย และฝึกวิทยายุทธ์เพื่อก้าวสู่จุดสูงสุดนิ้วทองคำของระบบ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset