เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System) – ตอนที่ 96 เล่นแบบนี้ใช่ไหมแล้วจะได้เห็นดีกัน

บทที่ 96 เล่นแบบนี้ใช่ไหมแล้วจะได้เห็นดีกัน
ในฤดูหนาวอันเย็นยะเยือก บนพื้นที่ราบสูงแห่งหนึ่ง ดินแดนรกร้างไร้มนุษย์ แหงนหน้ามองไปทางใดก็พบเพียงที่ราบกว้าง ไม่มีที่หลบซ่อน มีเพียงวัชพืชสีเหลืองเหี่ยวแห้งและสีเขียวประปรายที่พยายามผลิบานอย่างดื้อรั้น ฝูงแกะป่าวิ่งมาจากที่ไกลๆ จนเกิดฝุ่นตลบ

ไม่นาน พื้นที่แห่งนี้ก็ครึกครื้นขึ้นมา

“พระโพธิสัตว์หายไปนานเลยนะ” นักพรตเฒ่าใบหน้าเคร่งขรึม มองดูนักบวชตรงหน้าที่กำลังลูบสายประคำ พลางก้มศีรษะเล็กน้อยให้เด็กหนุ่ม

พระโพธิสัตว์ปีศาจยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่พูดอะไร

“พระโพธิสัตว์มาในโลกครั้งแรก กลับสร้างประตูศักดิ์สิทธิ์ด้วยตนเอง ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ…” นักพรตเฒ่าขมวดคิ้วพลางลูบสายประคำ

เด็กหนุ่มยังคงไม่พูด

ในที่สุดนักพรตเฒ่าก็เงียบลง

“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าสองคนมาถึงแล้ว ข้ามาช้าไปก้าวหนึ่งสินะ” ตอนนั้นหลวงจีนเฒ่าผู้สวมเสื้อคลุมสีดำของลัทธิเต๋าก็ปรากฏขึ้น

เพียงแต่ว่ารูปร่างของหลวงจีนเฒ่าผู้นี้ค่อนข้างประหลาด เขาถือแส้สีขาวไว้ในมือข้างหนึ่งและอีกข้างหนึ่งแบกมนุษย์เอาไว้

“วางผมลงนะ ท่านพ่อ…” ชายหนุ่มพึมพำ

“เงียบนะ ต่อหน้าคนนอก เรียกข้าว่าพระคุณเจ้าหรือท่านครู พูดไปกี่ครั้งแล้วว่าเจ้าถูกส่งตัวไป…” หลวงจีนเฒ่าตำหนิชายที่เขาแบกเอาไว้

“ทราบแล้วขอรับ” หลังจากพูดจบ หลวงจีนเฒ่าก็ปล่อยเขาให้ล้มลงกับพื้น

“หึหึ ท่านทั้งสองอย่าเข้าใจผิดเลย ข้าเป็นหลวงจีนเฒ่าไร้ครอบครัว จะแต่งภรรยาและมีลูกได้ยังไง? เด็กคนนี้ถูกข้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก เขาปฏิบัติกับข้าราวกับพ่อแท้ๆ ก่อนที่เขาจะพูดได้ซะอีก…” หลวงจีนยิ้มให้คนทั้งสอง

เมื่อเด็กหนุ่มได้ยิน ก็เพียงพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้มและไม่พูดอะไร

แต่เขากลับกลับเริ่มสนใจและมองเด็กหนุ่มคนนั้นที่กองอยู่บนพื้น อีกฝ่ายหน้าตาธรรมดาๆ อายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี เขาหันไปทางด้านนักพรตเฒ่าพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ผมได้ยินมาว่าตอนที่หม่าเถ้าฉ่างออกจากบ้านก็อายุสามสิบแปดแล้ว ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะมีสายเลือดสัมพันธ์กับหม่าเถ้าฉ่างสินะ”

เมื่อพูดอย่างนั้น ลูกประคำใสก็พุ่งออกมาจากมือของชายหนุ่ม

หม่าเถ้าฉ่างเอื้อมมือไปหยิบมันพลางเช็ดให้เบาๆ ก่อนจะยกมันขึ้นเพื่อส่องดูผ่านแสงอาทิตย์

หลังจากพินิจอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาก็เผยยิ้ม “ใครๆ ต่างก็พูดว่าพระโพธิสัตว์ใจกว้าง ตามที่คาดการณ์ไว้ ในเมื่อพระโพธิสัตว์เต็มใจจะมอบสิ่งของล้ำค่าเช่นนี้ ย่อมเป็นที่น่ายินดี ข้าพเจ้าก็จะมอบเขาให้ท่านในฐานะเด็กรับใช้เลยก็แล้วกัน…”

เด็กหนุ่มที่อยู่บนพื้นคร่ำครวญ “ท่านพ่อ ท่านคิดจะเอาผมไปแลกงั้นเหรอ”

หลวงจีนเฒ่าชักแส้ปัดป่ายไล่เขา “ให้เจ้าลงเขาไปเรียนก็ไม่ยอมเรียน ยังไม่ทันจบมัธยมปลายก็วิ่งแจ้นกลับมาก่อน วันวันเอาแต่เล่นเกมอยู่ในวัด ถ้าข้าควบคุมเจ้าไม่ได้ สู้ส่งให้คนอื่นที่ไม่ใจอ่อนเหมือนข้าจัดการดีกว่า…”

เด็กหนุ่มกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ตอนนั้นเองใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมพร้อมเอ่ยเตือนทั้งสองว่า “มาแล้ว…”

ใบหน้าของหลวงจีนเฒ่าราบเรียบ เขาดึงเด็กหนุ่มขึ้นมาแล้วดันลูกประคำนั้นไปให้อีกฝ่าย เอ่ยกำชับแผ่วเบา “ผิงเอ๋อร์ พ่อจะพาเจ้าออกไปดูโลก อย่าดื้อนักเลย เก็บมันไว้เถอะ..”

หลังจากพูดจบก็ผลักเด็กหนุ่มออก เสียง ‘ฟิ้ว’ ดังขึ้น เขาบินขึ้นไปในอากาศและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เวลานี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝูงแมลงบินว่อน มันบดบังแสงอาทิตย์ เสียงดังครืนครานขวางกั้นไร้ทางผ่าน ทั่วทุกหนแห่งที่ห่างไกลออกไป ยังมีเครื่องบินหลายลำบินวนอยู่ราวกับกำลังจับตาดูการเคลื่อนไหว

“น่ากลัวจริงๆ ถ้าปล่อยให้พวกมันแพร่กระจายไปยังที่ที่มีประชากรเยอะๆ ไม่รู้ว่าจะต้องมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกกี่คน” หลวงจีนเฒ่ากล่าวด้วยความกังวล

ชายหนุ่ม “น่าเสียดาย ที่แนวกำลังผีของข้ายังไม่เสร็จสมบูรณ์ ทั้งยังมีราชาผีอีกสามตนเป็นกองกำลังหน้าอีกด้วย ไม่อย่างนั้นฝูงแมลงพวกนี้คงไม่ทางได้ก่อเรื่องแน่นอน”

แต่แล้วนักพรตเฒ่ากลับหัวเราะ สมบัติชิ้นหนึ่งทอแสงวาบขึ้นในมือของเขาและกล่าวว่า “สมบัติที่นักพรตเฒ่ากลั่นอย่างประณีตมาหลายปีเพิ่งได้รับการปลดปล่อย ตอนนี้กำลังมองหาหินลับคมมัน ซึ่งวันนี้เหมาะจะเสาะหาที่จื่อซานกวนแห่งนั้น ถึงเวลาดำเนินตามแผนแล้ว”

ระหว่างที่ทั้งสามกำลังสนทนา ฝูงแมลงก็ได้บินเข้ามาใกล้แล้ว หากแต่ภายใต้ฝูงแมลงนั้นยังมีใครคนหนึ่งที่บินไล่ตามมาด้วย

ทั้งสามเหฌนภาพนี้เกือบจะพร้อมกัน

“ท่านพี่มังกรก็อยู่ที่นี่ด้วย” เด็กหนุ่มยิ้มเล็กน้อย

หลวงจีนเฒ่าเบิกตากว้าง “ในเมื่อมีมังกรตัวจริงมาช่วยเรา รวมกับพลังของพวกเราทั้งสามก็น่าจะขจัดความยุ่งยากนี้ไปได้”

ทว่านักพรตเฒ่ากลับตกตะลึง “อนิจจา นักธุรกิจอีกคนก็มาเหมือนกัน”

ในชั่วพริบตา อัศวิน A ก็มาที่ด้านหน้าของทั้งสาม ขณะเดียวกันฝูงแมลงที่อยู่เหนือหัวของพวกเขาก็ตัดสินใจหยุดบินแล้วค่อยๆ ลอยตัวลงมา

ภายในพื้นที่ของระบบ

ฟางหนิงไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้ ดังนั้นจึงอ่านนิยายในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่ายของตัวเอง

ในเวลานี้เทพแห่งระบบก็เดินทางไปคนเดียวจนถึงที่หมายแล้ว

ระบบ “โฮสต์ออกไปสิ”

ฟางหนิงสบถ “บ้าเอ๊ย ฉันจะไม่ไปไหน…”

ระบบ “นี่โฮสตฺพูดเองนะ”

ฟางหนิง “หยุดเลย ออกไปก็ออกไป…”

อัศวิน A เหลือบมองทั้งสามคน แน่ใจว่ามีเพียงคนเดียวที่เขารู้จัก นั่นคือพระโพธิสัตว์ปีศาจ

“พระโพธิสัตว์ไม่เจอกันนานเป็นอย่างไรบ้าง?”

“พี่มังกร ยังสบายดีหายห่วง ข้าจัดระเบียบพวกโจรย่องเบาบางส่วนแล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อนผีรอง (กุ้ยเอ่อร์) รายงานว่าพวกเขาได้เจรจากับกลุ่มปีศาจหนูยักษ์แล้ว อีกฝ่ายสัญญาว่าจะหยุดหนูยักษ์ไม่ให้ย้ายท่อใต้ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต พี่มังกรวางใจได้”

เมื่อฟางหนิงได้ยิน ก็คิดในใจว่านี่เป็นข่าวดีมากทีเดียว ดูเหมือนว่าผีรองจะกลัวอัศวิน A หัวหด ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ามารายงานด้วยตัวเอง

อัศวิน A “ถ้าอย่างนั้นพระโพธิสัตว์ก็อย่าได้เป็นกังวล”

หลังจากที่ฟางหนิงพูดอย่างสุภาพแล้ว เขาก็รู้สึกกังวลขึ้นมา เทพแห่งระบบนี้ไม่ใช่มนุษย์ เขาไม่รู้จักโลกและมันง่ายมากที่จะทำให้คนอื่นขุ่นเคือง พระโพธิสัตว์ปีศาจไม่ได้กล่าวอะไร อีกสองคนคงเป็นบอสระดับเดียวกันแน่นอน พูดเย้ยคนอื่นหน้าตาเฉยอย่างนั้นจะเริ่มสนทนากับคนอื่นได้อีกยังไง?

อัศวิน A ตกอยู่ในความงุนงง อีกสามคนไม่ได้เร่งเร้าอะไร แค่คิดว่าเขาคงคิดจะรวบรวมกองกำลังเพื่อจัดการกับฝูงแมลงที่กำลังจะลงจากท้องฟ้าอยู่

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลวงจีนเฒ่าก็เปิดปาก “ข้ามีค่ายกลกระบี่สี่สภาพ มันเป็นของขวัญจากสหายลัทธิเต๋า พลังนั้นไร้ขอบเขตและสามารถสร้างพื้นที่ปิดได้ ซึ่งเพียงพอที่จะระงับฝูงแมลงทั้งหมด เพียงแต่ต้องการความร่วมมือจากปรมาจารย์ทั้งสี่ที่มีความเแข็งแกร่งเทียมกัน”

ภายในพื้นที่ของระบบ

ระบบ “อย่าเร่งรีบเลย ปล่อยให้พวกเขาลงมือไปเถอะ แค่บอกพวกเขาว่าคงปิดกั้นไว้ชั่วขณะหนึ่ง และอย่าปล่อยให้แมลงหลุดออกไปก็พอ พวกเรามาเปิดฉากสังหารปีศาจกันดีกว่า”

ฟางหนิง “โชคดีที่ฉันไม่ได้พูดอะไร ฉันกับแกสลับร่างกันไปมา ฉันลงมือยากมา”

ระบบ “รีบไปเร็ว”

อัศวิน A กอบหมัดคำนับหลวงจีนเฒ่า “หายากนักที่ท่านจะมีแผนการ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ขอให้ดำเนินการทันที ทั้งสามเป็นผู้ถือศีล ไม่เหมาะที่จะเปื้อนเลือด แมลงเหล่านี้มีนับพันๆ ตัว ข้าคนนี้จะทำหน้าที่กำจัดปีศาจพวกนี้ให้พวกท่านเอง”

หลวงจีนเฒ่ายิ้มพอใจ เขาเคยบอกว่าอัศวิน A นั้นหยิ่งทะนง แต่หลังจากติดต่อเป็นการส่วนตัว กลับหาได้ยากนักที่จะมีคนที่ความคิดดีแบบนี้

ว่ากันตามจริงแล้วเขาย่อมไม่สะดวกหากมือต้องเปื้อนเลือดมากเกินไป แต่หากปฏิบัติตามโลกที่แล้วก็เพียงแค่ปราบฝูงแมลงเหล่านั้น ในสถานการณ์ปัจจุบันมันเกือบจะเหมือนกับการระเบิดเวลา แม้ต้องพลาดไปสักกี่ครั้ง ก็ยังดีเสียกว่าถ้ากำจัดไปในครั้งเดียวให้สิ้นซาก เขายังยึดมั่นในจุดนี้

พระโพธิสัตว์ปีศาจก็พยักหน้าเช่นกัน “ได้ ข้าก็ไม่อยากทำให้เกิดการนองเลือดมากนัก แต่เพราะมันสร้างปัญหาให้ท่านพี่มังกร”

นักพรตเฒ่าที่สำรวจหุบเขาลูกนั้นอยู่ เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนในสามคนตกลงกันได้แล้ว จึงมองสมบัติในมือแล้วถอนหายใจ “ช่างเถอะ หลวงจีนเฒ่ามีเมตตา ปราบปีศาจและกำจัดปีศาจเป็นเรื่องภายใน แต่การจะฆ่าคนจำนวนมากในคราวเดียว ข้าคงทนไม่ได้ เพราะสงสารสมบัติชิ้นนี้…”

ขณะนั้นหม่าผิงที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลุ่ม เมื่อได้ยินคำพูดของท่านพ่อ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ท่านพ่อ ท่านกำลังหลอกผีอยู่นะ ท่านไม่รู้เหรอว่ามันอันตรายมากเพียงใด สมบัติชิ้นนั้นของท่านไม่รู้ว่าหลอมรวมอสูร ปีศาจ ภูตผีไปมากน้อยเท่าไหร่แล้ว ทีนี้ท่านกลัวการสังหารมากขึ้นไหม? ท่านไม่กลัวที่จะเปิดเผยความลับต่อหน้าพวกเขาทั้งสองเหรอ?”

ทั้งสี่คนหยุดพูด ฝูงแมลงยังคงค่อยๆ เคลื่อนตัวลงมา หลวงจีนเฒ่าหยิบผ้าหนาสีเหลืองที่มีข้อความและรูปภาพออกมาปักไว้ทันที

หวงจีนเฒ่าเอ่ย “ค่ายกลกระบี่สี่สภาพมีอานุภาพสูงแต่เรียบง่าย ในสายตาของปรมาจารย์คงสามารถเรียนรู้ได้ทันที เป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจของเพื่อนรักจากโลกที่แล้ว สหายทั้งสามคงจะทราบได้เองเมื่อเห็นค่ายกล”

ขณะที่พูด เขาก็ยื่นมือออกไป แล้วผ้าสีเหลืองที่มีค่ายกลก็ค่อยๆ ลอยไปทางพระโพธิสัตว์ปีศาจ

พระโพธิสัตว์ปีศาจนิ่งเงียบ เพียงแค่เหลือบมองแล้วพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”

จากนั้นพระโพธิสัตว์ปีศาจก็ยื่นมือออก แล้วค่ายกลก็ลอยไปทางนักพรตเฒ่าอีกครั้ง

นักพรตเฒ่าลูบเคราด้วยท่าทางผ่อนคลาย ดวงตากวาดมองไปยังค่ายกล

เขารู้สึกขมขื่นใจเล็กน้อย แต่กลับแค่นหัวเราะ “หึหึ นี่เป็นสิ่งของประจำลัทธิเต๋าของข้า ข้าคงไม่ต้องพูดถึงมากหรอก”

เขาแอบกระซิบเบาๆ

“ผิงเอ๋อร์ ข้าจะส่งค่ายกลกระบี่สี่สภาพลงในทะเลแห่งความรู้ไปให้เร็วๆ นี้แล้ว เจ้ารีบบอกวิธีใช้งานของมันด้วย…”

หม่าผิง “ท่านท่าน ท่านกำลังฝึกวิธีที่เรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพสูงในการปราบปีศาจและกำจัดปีศาจ ท่านลืมทักษะพื้นฐานของลัทธิเต๋าไปแล้ว ยังกล้าจะบอกว่าทุกวันนี้ไปสำรวจจื่อซานกวนแห่งนั้นอีกเหรอ……”

“หยุดพูดไร้สาระเสียที ถ้าเจ้าไม่รีบ มันจะทำให้ข้าเสียหน้า และเมื่อข้ากลับไป ข้าจะยึดเครื่องเล่นเกม แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือทั้งหมดแล้วให้เจ้าไปเล่นกับผีแทน…”

“ผมจะรีบวิเคราะห์ให้ทันที ท่านรอสักครู่ แล้วที่บอกว่าจะพาผมออกไปดูโลก ผมคิดว่าท่านควรจะคิดถึงสิ่งนี้มาได้ตั้งนานแล้ว…”

หลวงจีนเฒ่าย่อมไม่ทราบเรื่องราวเหล่านี้ เมื่อเห็นนักพรตเฒ่าพูดเช่นนี้เขาก็รู้สึกโล่งใจ เดิมทีนี่เป็นของขวัญจากสหายลัทธิเต๋า โดยปกติเขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าปรมาจารย์หม่าเถ้าฉ่างผู้โด่งดังจะเข้าใจมันหรือไม่

เขามองอัศวิน A ด้วยความกังวลเล็กน้อย นี่คือมังกร คงไม่มีทางที่จะเชี่ยวชาญในยุทธวิธีการต่อสู้มากนัก ดังนั้นเขาอาจต้องอธิบายเรื่องนี้

แต่ไม่ทันคาดคิดว่าอัศวิน A ก็เหลือบมองเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ไม่ยากมาก ข้าพอจะเข้าใจแล้ว “

ฟางหนิงคิดในใจ ก็คงง่ายอยู่หรอก เทพแห่งระบบเล่นใช้คะแนนประสบการณ์ไปสองสามร้อยคะแนนเลยนี่…

………………………………………………………..

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System)

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System)

SBTS, 我被系统托管了
Score 6.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2017 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเมื่อผมโดนระบบครองร่าง (Seized by the System)จู่ๆ ก็มีดาวตกพุ่งลงมาที่โลก ทำเอาพื้นดินถึงกับสั่นไหวเล็กน้อย แต่แรงสั่นสะเทือนนั้นกลับทำให้ 'ฟางหนิง' หัวโขกกับโต๊ะคอมพิวเตอร์จนสลบไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเขามีระบบ ขณะที่กำลังจะดีใจว่าในที่สุดก็มีขาทองคำมาให้เกาะ เจ้าระบบนั่นกลับประเมินว่าเขาเป็นโรคขี้เกียจระยะสุดท้าย ปล่อยไว้ไม่มีทางเจริญก้าวหน้า และทำการยึดครองร่างของเขาซะงั้น!? ... จากหนุ่มโอตาคุผู้แสนจะขี้เกียจที่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ กลับต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนโฉมตนเองเป็นฮีโร่คอยปราบปรามเหล่าปีศาจร้าย ปกป้องเมืองที่ตนอยู่อาศัย และฝึกวิทยายุทธ์เพื่อก้าวสู่จุดสูงสุดนิ้วทองคำของระบบ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset