เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ – ตอนที่ 32: ชายผู้สร้างความโกลาหลในมหาวิทยาลัย Part 1

ชายผู้สร้างความโกลาหลในมหาวิทยาลัย Part 1

 

“ไปตายซะ เจ้าพวกชาวปารีส!”(เป็นแสลงที่หมายถึงพวกชอบจัดงานปาร์ตี้) (ยูกิโตะ)

 

แล้วผมก็กำมือแน่นพูดแบบนั้นออกไป และตอนนี้ผมก็ได้มาอยู่ที่หน้าทางเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ราวกับผมนั้นกำลังไปร่วมงานฮัลโลวีนที่ชิบูย่าแหน่ะ นี่ผมกลายมาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยไปแล้วรึไงเนี่ย นี่ผมยังเรียนอยู่ปีหนึ่ง ม.ปลายอยู่เลยนะ และผมก็ไม่ใช่นักศึกษามหาวิทยาลัยจริงๆซะหน่อยนี่ ใช่ไหม? คือผมน่ะได้กลับไปที่บ้านเพื่อจะเปลี่ยนเสื้อผ้า และมุ่งหน้าไปยังสถานที่นึง ที่เป็นจุดหมายอยู่ในมหาวิทยาลัย ก็เป็นครั้งแรกของผมเลยนะที่ได้ไปที่นั่น อย่างน้อยก็ควรมีใครพาผมไปชมไปรอบๆซะก่อนสิ เพราะไอ้พื้นที่ของคณะนี่น่ะมันก็กว้างไปสำหรับผมนะ

 

“อ๊าา ยูกิโตะ ทางนี้” (มิโอะ)

 

“นิโนะมิยะซัง? ไม่เจอกันสักพักแล้วนะครับ” (ยูกิโตะ)

 

แล้วผมก็เจอคนที่ผมกำลังตามหาได้ค่อนข้างง่ายเลยล่ะ นั่นก็คือ มิโอะ นิโนมิยะ และเธอคือพระผู้มาโปรดที่ได้ช่วยให้ผมนั้นรอดพ้นจากการถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกลวนลามทั้งที่ไม่จริง หากว่าไม่เป็นเพราะเธอล่ะก็ ผมก็คงจะต้องเจอกับปัญหาต่างๆมากมายเลยล่ะ เช่นเดียวกับไคโดะและก็คนอื่นๆ และตั้งแต่นั้นมาพวกเราก็ได้ติดต่อกันอยู่เป็นระยะๆ แต่แล้วอยู่ๆผมก็ได้รับโทรศัพท์จากนิโนะมิยะซัง โดยขอให้ผมนั้นช่วยมาที่นี่หลังเลิกเรียน พวกเรานั้นก็แค่มีการติดต่อแลกเปลี่ยนกันเล็กๆน้อยๆเท่านั้นที่ผ่านมา และในฐานะนักเรียนมัธยมปลาย มันก็เป็นแค่เพียงสิ่งเดียวที่ผมนั้นทำได้ แต่ว่า…….

 

“นี่เรียกฉันว่ามิโอะก็ได้นะ แค่เธอกับฉัน ตกลงนะ?” (มิโอะ)

 

“นี่คุณคิดว่าพวกเรานี่มีความสัมพันธ์แบบไหนกันเนี่ย?” (ยูกิโตะ)

 

“นายกับบ่าวมั้ง?” (มิโอะ)

 

“นี่ความเป็นทาสได้หวนคืนกลับสู่ญี่ปุ่นยุคใหม่แล้วเหรอ…….” (ยูกิโตะ)

 

“ล้อเล่นน่า ก็เราเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ” (มิโอะ)

 

“ฮ๊ะ-?” (ยูกิโตะ)

 

ผมยังไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลยในชีวิตนะ และเธอเองก็เป็นสาวมหาลัย และเธอดูจะมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า ทั้งในด้านแฟชั่นและการแต่งหน้า ซึ่งต่างไปจากสาวๆ ในชั้นเรียนผม และเมื่อมองแบบนี้แล้วก็เลยทำให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างกันของ นักศึกษาและนักเรียนมัธยมปลายได้ชัดเจน ไม่จำเป็นต้องพูดเลยล่ะ ว่าผมนั้นน่ะดูจะไม่เหมาะสมกับเธอเอาซะเลย

 

“ขอบคุณนะที่มาวันนี้ คืออันที่จริงฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องหน่อยน่ะ” (มิโอะ)

 

“—– นายช่วยมาเป็นแฟนฉันทีได้ไหม?” (มิโอะ)

 

คือเรื่องราวก็เป็นแบบนี้น่ะนะ ดูเหมือนว่ามิโอะซังนั้นจะได้รับเชิญไปงานเลี้ยงในวันนี้ และจากที่มิโอะได้บอกมา เธอนั้นไม่ได้อยากที่เข้าร่วม เพราะเธอนั้นไม่ได้สนใจในงานปาร์ตี้นี้ แต่ว่าเพื่อนของเธอนั้นได้ขอร้องคะยั้นคะยอให้เธอต้องมางานปาร์ตี้นี้ และพวกเธอนั้นก็บอกว่าปาร์ตี้มันเป็นของชมรมบาสเก็ตบอล แต่ว่าอันที่จริงแล้วมันเป็นงานปาร์ตี้แบบเปิดที่ให้คนทั่วไปเข้ามาร่วมได้

 

ก็อย่างที่คุณเห็น มันก็ไม่มีอะไรที่จะให้ผมนั้นจะต้องเข้าไปยุ่งด้วยสักหน่อย แล้วผมเองก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันด้วย สำหรับผมแล้วมันเป็นเพียงการรับรู้ถึงสัญญาณของปัญหาที่จะต้องเกิดขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมนักเรียนมัธยมปลายอย่างผม ถึงได้รับเชิญให้มาเข้าร่วมงานนี้ด้วย

 

“แต่นี่มันเป็นงานที่มีคนนอกมาปะปนกันนะ? ฉันที่อาจจะต้องโดนมอมให้เมามาก แล้วจากนั้นก็น่าจะต้องมีคนพาฉันไปที่ห้องของพวกเขา และก็จะต้องถูกถ่ายวิดีโอของฉันที่กำลังทำหน้า อาเกโฮะ พร้อมกับทำท่าชูสองนิ้ว และมันก็น่าจะถูกส่งออกไปในโซเชียลให้ยูกิโตะคุงได้เห็นนะ นี่น่ะโอเคเหรอ?” (มิโอะ)

 

“นี่คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไรเนี่ย!?” (ยูกิโตะ)

 

“ก็อย่างที่ฉันว่าไง ยูกิโตะคุง นายพอใจที่จะเห็นตัวฉันไปเป็นแบบนั้นเหรอ?” (มิโอะ)

 

“มิโอะ นี่คุณคงจะดูวิดีโอแปลกๆ มากเกินไปแล้วนะ” (ยูกิโตะ)

 

“และฉันก็ถูกจะต้องคุกคามหลังจากเกิดเรื่องแบบนั้น และในวันหนึ่งฉันก็จะตั้งท้องจากผู้ชายที่ฉันไม่รู้จัก” (มิโอะ)

 

“ให้ตายสิ นี่คุณกลายเป็นพวกเผ่าพันธุ์ที่ปฏิเสธการสื่อสารซะงั้น นี่คุณเป็นแบบนี้ตลอดเลยหรือเปล่าเนี่ย? (ยูกิโตะ)

 

“แล้วยูกิโตะ นายจะช่วยฉัน ใช่ไหม?” (มิโอะ)

 

“ไม่…..” (ยูกิโตะ)

 

“นี่นายอยากเห็นฉันต้องลงเอยด้วยการติดห่วงที่หัวนมงั้นเหรอ?” (มิโอะ)

 

“นักศึกษาวิทยาลัยนั้นสุดยอดมากเลยแฮะ ในแง่ของความคิดสร้างต่างๆ ในหัวของพวกเขาเนี่ย” (ยูกิโตะ)

 

“นายไม่ชอบมัน ใช่ไหมล่ะ?” (มิโอะ)

 

“นี่น่ะเหรอที่เขาเรียกกันว่าการสื่อสารทางเดียว?” (ยูกิโตะ)

 

“นายไม่ชอบมันใช่ไหม?” (มิโอะ)

 

“ไม่อยู่แล้ว!” (ยูกิโตะ)

 

ที่ผมทำได้ก็เพียงแค่ส่ายหัว สรุปคือ เธอนั้นอยากจะหลีกเลี่ยงพวกผู้ชาย และเธอต้องการให้ผมนั้นรับบทเป็นแฟนชั่วคราวของเธอในงานปาร์ตี้ แต่ว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่มีคำถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้นะ

 

“แล้วทำไมต้องเป็นผมล่ะ ที่ก็เป็นแค่นักเรียนมัธยมปลายน่ะ มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?” (ยูกิโตะ)

 

“ก็เพราะว่านายเป็นคนเดียวที่ฉันพอจะสามารถขอให้ทำเรื่องนี้ได้นี่ เพราะฉันไม่รู้จักผู้ชายเยอะนักน่ะ และยิ่งไปกว่านั้น มันก็ต้องเฉพาะเจาะจงไปที่คนที่ไว้ใจมากที่สุดเท่านั้นที่จะหาได้ไง” (มิโอะ)

 

“ก็ถ้าคุณพาแฟนไปงานปาร์ตี้ แล้วนี่มันเป็นงานที่มีคนหลากหลายปนกันมันจะไม่เป็นไรจริงๆงั้นเหรอ?” (ยูกิโตะ)

 

“คือฉันบอกเพื่อนไปแล้วน่ะ ว่าไม่งั้นฉันก็จะไม่ไปน่ะ ไม่เป็นไรหรอกนะ พวกเราก็อยู่ของพวกเรากันไปเถอะ โอเค?” (มิโอะ)

 

“พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้นสักหน่อย …..” (ยูกิโตะ)

 

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ก็เพราะเราเป็นคู่รักกันนี่เนอะ” (มิโอะ)

 

ดูเหมือนก่อนที่ผมจะได้รู้ตัว มิโอะก็ได้เชื่อใจในตัวผมมากขึ้นไปอีกซะแล้ว มันก็แปลกดีนะ นี่ผมก็ไม่เคยรู้มาก่อน และผมก็ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้มาก่อนด้วยเหมือนกัน แต่นี่มันก็ไม่ใช่งานนัดบอดของการหาแฟนซะด้วย ผมจึงรู้สึกอึดอัดกับการร่วมปะปนเข้าไปในฐานะแฟนหนุ่ม แต่ถ้ามิโอะและสมาชิกคนอื่นๆเห็นด้วย ก็คงไม่เป็นไร ผมเองก็ไม่อยากที่จะเห็นมิโอะมาเสียใจทีหลังหากมันเป็นแบบนั้นไปน่ะ แถมผมก็ยังคงติดหนี้เธอในการช่วยชีวิตผมเอาไว้ ดังนั้นผมคงจะต้องให้ความร่วมมือแล้วล่ะ

 

“ผมเข้าใจแล้ว ผมจะช่วยเอง!” (ยูกิโตะ)

 

“นั่นล่ะ คือคำที่ฉันอยากที่จะได้ล่ะ” (มิโอะ)

 

แล้วพวกเรามุ่งหน้าไปยังจุดหมาย พร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอีกนิดหน่อยใน ซึ่งมันก็ดูเหมือนกับลักษณะการพูดคุยปรึกษากับหมอผู้ลึกลับ (นี่มันแซวเรื่องอะไรเนี่ย Dr.K?, Black Jack?)

 

—————————————————

 

 

[มุมมองของ ทริสตี้ มิราน ไฮโทระ ชิรัน]

 

 

“ฉันไม่มีเวลามาให้สำหรับเรื่องนี้ซักหน่อย ….!” (ทริสตี้)

 

ฉัน ทริสตี้ มิราน ไฮโทระ ชิรัน กำลังตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า ฉันกำลังเอามือสางผมที่เป็นสีชมพูทอง มันเป็นนิสัยที่ฉันทำมานานแล้วเมื่อต้องใช้ความคิดหนักๆ ถ้าฉันพูดเอง ฉันคิดว่าตัวฉันน่ะมีบุคลิกที่สดใสร่าเริงนะ แต่ว่าฉันก็ไม่เคยต้องมารู้สึกหดหู่ใจขนาดนี้มาก่อนเลย

 

และสาเหตุนั้นคือตัวฉันเอง เพราะเมื่อไม่นานนี้ ฉันนั้นได้ประสบกับอุบัติเหตุ

 

มันเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการขับขี่จักรยานยนต์ ที่ฉันนั้นมั่นใจในตัวเองเกินไป จนขาดการรับรู้ถึงสถาพรอบๆตัว และด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างอย่างร้ายแรงก็ได้ทำให้มันเกิดขึ้นมาทันที คือในระหว่างที่ฉันกำลังขี่จักรยานยนต์โดยสวมหูฟังอยู่ และที่มันก็คือปัญหานิดหน่อยของตัวเอง แต่แล้วโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น แล้วก็ได้คิดในใจกับตัวเองว่า “เดี๋ยวขอเช็คก่อนละกันว่าเป็นใคร ถ้าจำเป็นจะต้องรับ ก็แค่หยุดจักรยานยนต์แล้วค่อยรับ” ก็เลยก้มไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทั้งๆที่ยังขี่จักรยานยนต์ มันดูจะเป็นความประมาทเล็กๆน้อยๆ และก็นั่นแหล่ะที่ได้นำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ

 

ทันทีที่ฉันละสายตาไปที่โทรศัพท์เพื่อเช็คแค่แป๊บเดียว ฉันก็ได้ชนเขาเข้า คนที่ฉันชนนั้นเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ฉันรู้สึกช็อคราวกับว่ามีอะไรมาฟาดฉันแรงๆ และชายคนนั้นที่โดนแรงปะทะเข้าใส่ก็ถึงกับกระเด็นไปเลย ฉันนั้นถึงกับหน้าซีดไปหมด คนที่อยู่ใกล้ๆนั้น ก็ได้รีบวิ่งไปหาชายคนนั้นแล้วโทรหา 110(เบอร์รถฉุกเฉินของญี่ปุ่น) แล้วฉันได้รีบลงจากจักรยานยนต์แล้วรีบเดินไปที่ข้างๆของเด็กผู้ชายคนนั้น

 

โชคยังดีที่ไม่ได้มีอาการบาดแผลภายนอกให้เห็นได้ชัดเจน แต่ฉันก็ยังคงวางใจซะทีเดียวไม่ได้ เพราะในอดีต เคยมีกรณีที่มีคนถูกรถจักรยานยนต์ชนเข้าจนสมองได้รับความกระทบกระเทือน แล้วเพียงแค่สองสามวันถัดมาก็เสียชีวิต เพราะหัวของคนๆนั้นถูกกระแทกอย่างรุนแรงจากการชนไม่ว่าจะมีบาดแผลให้เห็นหรือไม่ โอ้ พระเจ้า นี่ฉันทำอะไรลงไป ฉันไม่เคยรู้สึกถึงความกลัวขนาดนี้มาก่อน

 

ฉันอาจจะเป็นคนปล้นเอาอนาคตของเด็กชายผู้บริสุทธิ์คนนี้ไปต่อหน้าฉัน แล้วฉันคงจะต้องถูกจับเป็นอาชญากร นั่นแปลว่าฉันก็ต้องทำให้พ่อแม่ต้องผิดหวังและทำให้พวกเขาต้องเสียใจ แต่ที่จริงเด็กผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าฉันนี่แหละที่จะต้องลำบากที่สุด ฉันนั้นรู้สึกทั้งโกรธและเสียใจให้กับตัวเองที่ไร้การระวังได้ขนาดนี้ แล้วน้ำตาฉันก็ไหล ทั้งหมดที่ฉันทำได้นี้คือหวังว่าเด็กผู้ชายคนนี้จะไม่เป็นอะไร

 

โชคยังดีที่ปรากฎว่าสามารถตกลงกันได้ อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บที่สังเกตได้ชัดเจน และผลการตรวจอย่างละเอียดก็ไม่พบความผิดปกติใดๆเลย พ่อกับแม่ของฉัน รวมถึงตัวฉันก็ขอโทษเขาอย่างสุดซึ้ง ในตอนนั้นฉันก็ทำใจพร้อมที่จะถูกดำเนินคดี ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ว่าสิ่งที่ได้ทำลงไป ในทางสังคมนั้นก็ยอมรับไม่ได้ ฉันได้ทำให้เกิดอุบัติเหตุในขณะที่สวมหูฟังและถือโทรศัพท์อยู่ในมือ มันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ (ตามกฏหมายของญี่ปุ่น)

 

แต่อย่างไรก็ตาม เด็กผู้ชายคนนั้นก็ยกโทษให้ฉัน แล้วการหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องและไม่ดำเนินคดี ก็ได้ผ่านการพูดคุยปรึกษากัน และได้จบที่จ่ายเงินค่าทำขวัญให้เป็นจำนวนมากพอสมควร แต่ว่าเด็กผู้ชายนั้นก็ไม่ได้ต้องอะไรแบบนั้น ตรงกันข้ามเขากลับพูดว่า “ผมน่ะชินกับมันไปแล้วล่ะ ฉะนั้นอย่าได้กังวลไปเลย” มันช่างดูราวกับว่าเขานั้นกลับจะต้องมาเป็นห่วงพวกเราที่กำลังอยู่ในระหว่างการขอโทษ ความเมตตาของเด็กผู้ชายคนนี้ได้ทำให้ใจฉันรู้สึกปวดร้าวมากขึ้น ฉันไม่สามารถที่จะยกโทษให้ตัวเอง ที่ได้ทำให้เด็กผู้ชายคนนั้นได้รับบาดเจ็บ

 

ตั้งแต่วันนั้นมาฉันก็ได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันนั้นรู้สึกดีขึ้นได้เลย ฉันนั้นอดไม่ได้ที่จะนึกถึงใบหน้าเด็กผู้ชายคนนั้น ฉันคิดว่ามันก็ธรรมดาของผู้ที่ต้องรับผิดชอบในเหตุการณ์นั้นจะต้องถูกทรมานไปด้วยความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต แล้วถ้าฉันชนเขาเข้าไปผิดจุดล่ะก็ ฉันเองก็คงจะไม่ได้มาอยู่ตรงนี้แล้วล่ะ

 

ฉันนั้นยังคงรู้สึกหดหู่อยู่ แต่เพื่อนๆก็ได้พยายามชักชวนไปงานปาร์ตี้ ฉันน่ะไม่ชอบอะไรแบบนี้เอาซะเลย พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด แล้วก็เพราะว่าฉันมันมีดีที่หน้าตา มันคงเพราะส่วนหนึ่งนั้นฉันน่ะเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องนี้ ก็เลยมีผู้ชายอยู่หลายคนที่ได้เข้ามาสารภาพรักกับฉัน ที่ตัวฉันเองนั้นก็รู้อยู่ว่าพวกเขาก็แค่สนใจเพียงแค่ร่างกายของฉันเท่านั้น และฉันรู้สึกว่าสายตาเหล่านั้นก็มักจะจับจ้องมาที่ฉันเสมอแม้แต่ในมหาวิทยาลัยก็ตาม

 

และครั้งนี้เคยคิดจะปฏิเสธไปเหมือนกัน แต่ก็เพราะพวกเธอนั้นพยายามที่จะให้กำลังใจฉัน ฉันก็เลยไม่อยากละเลยพวกเธอไป แต่ว่าจะไปสนุกได้ยังไงกันล่ะในเมื่อยังทำให้พ่อแม่ต้องเป็นห่วงอยู่ และที่สำคัญกว่านั้นคือการทำให้เด็กผู้ชายคนนันได้ประสบเหตุที่ว่าไปน่ะ?

 

อาการซึมเศร้าของฉันยังคงถ่วงหน่วงๆอยู่ แล้วฉันก็ได้มุ่งหน้าไปยังจุดหมายโดยค่อยๆเดินไปตามทาง

 

“ขอโทษที ที่ฉันมาสาย!” (ทริสตี้)

 

สมาชิกทุกคนอยู่ที่นั่นแล้วยกเว้นฉัน พวกเขากำลังมีช่วงเวลาที่ดีกันอยู่ แล้วฉันก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องเขม็งมาจากดวงตาของพวกผู้ชายมากขึ้น พอพวกเขานั้นมองมาเห็นฉัน เป็นการจ้องมองที่น่ารังเกียจราวกับจะโลมเลียหน้าอกและต้นขาของฉัน

 

“ฉันดีใจมากเลยนะที่คุณอยู่ที่นี่น่ะ ทริสตี้!” (???)

 

“นี่คุณอยากดื่มอะไรบ้างไหมล่ะ ทริสตี้?” (???)

 

พวกเขาเสนอเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ฉันทุกครั้งที่เจอ ฉันน่ะไม่เก่งเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์ ฉันก็รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไรถ้าฉันจะต้องมาเมาในสถานที่แบบนี้

 

(มันน่าขยะแขยง……!)

 

ฉันอยากที่จะออกไปตอนนี้เอาซะเลยด้วยซ้ำ ทำไมฉันถึงต้องมาทำอะไรในที่แบบนี้ด้วย ทำไมฉันถึงได้มาอยู่ที่นี่ ฉันนั้นไม่ชอบสถานที่แบบนี้อยู่แล้วตั้งแต่แรก แล้วฉันมองไปรอบๆที่นั่งด้วยอารมณ์ที่หดหู่ มองเห็นคู่รักได้เข้าหากันบ้างเล็กน้อยแล้ว ที่ไกลออกไปนั้นก็คู่นึงกำลังพูดคุยอยู่กันอย่างเป็นกันเอง

 

เอ๊ะ? นั่นมัน—?

 

มีเด็กผู้ชายอยู่คนหนึ่งที่นั่งอยู่ที่นั่น ซึ่งดูคุ้นๆ เนื่องจากตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็เฝ้าคิดถึงแต่หน้าเด็กผู้ชายคนนั้น เป็นเด็กผู้ชายที่ใจดีกับฉันที่ซึ่งดูไม่ได้ไร้เดียงสาอะไรขนาดนั้น แต่แค่เพียงเพราะฉันนั้นขอโทษออกไป ทุกอย่างถึงได้จบลง ฉันอยากที่จะได้พูดคุยกับเขาในเรื่องอื่นๆเพิ่มอีก ฉันต้องการที่จะไปขอโทษเขาอย่างถูกต้องกว่านี้

 

แล้วทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?

 

แล้วคำถามเหล่านี้ก็ผุดขึ้นมาอยู่ในหัว แต่พอฉันเรียกสติกลับมาได้ ฉันก็ได้พุ่งเข้าไปหาเขา

 

“ยูกิโตะคุง ฉันขอโทษนะ ฉันขอโทษ!” (ทริสตี้)

 

“อึก! ดูเหมือนผมจะกำลังจะมองเห็นอนาคตอันลึกลับที่สัมผัสได้ถึงแรงกดอันอย่างกะทันซะแล้วสิเนี่ย” (ยูกิโตะ)

 

เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ

เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ

Status: Ongoing
อ่านนิยาย เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะผมไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงอยากจะมาบอกกับผมในเรื่องนี้ บางทีเธอคงจะคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของเพื่อนสมัยเด็กละนะ แล้วผมก็อ่านความคิดของอื่นไม่ได้ซะด้วยสิ ในทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นของเธอมันก็ได้ทำร้ายผมไปมากกว่าสิ่งที่เคยผ่านมาทั้งหมดเสียอีก ผมจำไม่ได้นะว่าพวกเราเคยไปสัญญาว่าจะแต่งงานอะไรกันไว้รึเปล่า ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นให้เห็นได้บ่อยๆกับหลายๆคนที่เป็นเพื่อนสมัยเด็ก แต่ยังไงเธอนั้นก็พิเศษสำหรับผม เธอคงมีเหตุผลนั่นแหล่ะ แล้วผมก็ถูกผลักให้ตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของผมเลย

Comment

Options

not work with dark mode
Reset