เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 2 เด็กหนุ่มผู้อ่อนแอที่สุดในปฐพี (1)

มีภาพนึงที่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงฝังลึกแล่นอยู่ภายในหัวผมไม่เคยห่าง

นั่นคือเรื่องเมื่อราว 4 ปีก่อนหน้านี้ได้

เป็นเหตุการณ์ในสมัยที่ตัวผม—–ครอส อาราเกาท์ ยังมีอายุอยู่แค่ 10 ขวบเศษๆ

หมู่บ้านที่ผมเกิดและถูกเลี้ยงดูมาได้ถูกฝูงมอนสเตอร์บุกเข้าคุกคาม

เป็นหมู่บ้านแสนอบอุ่น ทุกๆคนต่างก็ร่วมด้วยช่วยกันมีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูผม ที่เสียพ่อแม่ไปในอุบัติเหตุตั้งแต่เล็กๆขึ้นมา

แต่พวกมอนสเตอร์มันไม่ได้มียี่หระใดๆกับเรื่องแบบนั้นเลยแม้แต่นิด

ไร่สวนถูกพวกมันป่วนจนราบคาบ บ้านเรือนถูกพวกมันถล่มพังทลาย เสียงกรีดร้องและคำรามของคนรู้จักดังกู่ก้องขึ้นหลายต่อหลายครั้ง

ไม่ไหวแล้ว เราทุกคนถูกมันฆ่าตายกันหมดแน่ ต้องโดนมอนสเตอร์มันย่ำยีบีฑากันหมดเกลี้ยงไม่เหลือหลอแม้รายเดียวเลย

พวกผู้ใหญ่ที่มือกุมอาวุธค่อยๆหมดแรงล้มลงทีละคนๆ เหล่ามอนสเตอร์คืบคลานไล่ตามมาอยู่เบื้องหน้าพวกผม เป็นจังหวะที่เราทุกคนกำลังตีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความสิ้นหวังอยู่นั่นเอง——ที่คนคนนั้นพลันปรากฎตัวขึ้นมา

ปรากฎขึ้นมาเบื้องหน้าตัวผมที่ซุกตัวอยู่กับพื้นอย่างน่าสมเพช ราวกับเป็นสายลมเลยอย่างนั้นแหละ

ประกายดาบสีเงินที่แล่นทะยานผ่านอากาศ เส้นผมสีเงินบริสุทธิ์ที่ส่องประกายราวกับดาบเลอค่าที่ถูกลับจนคมกริบถึงขีดสุด

คนที่ถูกเรียกขานว่าเป็นผู้สืบสายเลือดของผู้กล้าคนนั้น แม้จะยังเป็นเด็กตัวน้อยๆที่อายุเยอะกว่าตัวผมที่ตอนนั้นสิบขวบแค่สองปี แต่กลับสะบั้นคมดาบพิชิตฝูงมอนสเตอร์อันมหึมาลงได้ภายในชั่วอึดใจเดียว

คนคนนั้นเค้ากล่าวว่าตนออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆในฐานะนักผจญภัยเพื่อฝึกฝนยกระดับฝีมือ นอกจากนี้ยังพากองหนุนที่ใช้เวทมนตร์รักษามาได้ด้วย พวกผู้คนในหมู่บ้านที่บาดเจ็บล้มฟุบไปก็ถูกช่วยเอาไว้จนรอดชีวิตหมดเพราะคนคนนี้แหละ

 

“ ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม? ”

 

คงเพราะผมบังเอิญอยู่ใกล้ๆเท่านั้นแหละ

คนคนนั้นที่กำจัดมอนสเตอร์ทุกตัวลงได้ภายในชั่วพริบตาเดียว จึงได้กล่าวเช่นนั้นพลางยื่นมือตรงมาให้กับผมน่ะ

และด้วยเหตุนี้เอง ผมที่จับจ้องมองตรงขึ้นไปยังคนคนนี้ที่ช่วยเหลือหมู่บ้านเอาไว้ จึงได้คิดขึ้นมาในใจอย่างรุนแรง

คิดว่าอยากจะเป็นให้ได้แบบคนคนนี้….อยากจะเป็นนักผจญภัยสุดแกร่งสุดเท่ที่ปกป้องผู้คนได้มากมายเหมือนกับคนคนนี้

เกิดเลื่อมใสชื่นชมในตัวเค้าอย่างรุนแรง อย่างหนักหน่วง มากเสียจนอกมันจะฉีกขาดแยกออกจากกันเลย

สาบานเอาไว้ในใจว่าเพื่อจะเป็นให้ได้แบบคนคนนี้แล้ว ต่อให้ต้องลงแรงพยายามหนักมากขนาดไหนก็ยอม

———–แต่ความเป็นจริงของโลกใบนี้ มันไม่ได้อ่อนโยนมากระดับที่จะยอมให้ความปราถนาพรรค์นั้น สมหวังได้หรอก

 

 

เมืองป้อมปราการบัสเคิลเบียร์

มีสาเหตุผลอยู่หลายประการเหมือนกันนะ ที่ทำให้เมืองหลวงใหญ่โตที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยกำแพงสูงแห่งนี้ถูกเรียกขานว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของนักผจญภัย

ประการที่หนึ่งนั้นเป็นผลเนื่องมาจากการที่ทางตอนใต้ไม่ห่างจากเมืองมากนั้นเป็นสถานที่ตั้งรังของเหล่ามอนสเตอร์ <<ผืนป่าเบื้องลึก>>—–แหล่งสั่งสมพลังเวทอันยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกซึ่งว่ากันว่าครั้งนึงเคยเป็นสถานที่ภายใต้การปกครองของเทพมารนั่นเอง และเพื่อที่จะบริหารควบคุมพื้นที่บริเวณนี้ให้ได้อย่างเหมาะสม ทางกิลด์นักผจญภัยจึงเข้ามารับหน้าที่ประสานงานบริหารเมืองแทนที่เหล่าขุนนางน่ะนะ

และเหตุผลที่ตอกย้ำทำให้บัสเคิลเบียร์ถูกเรียกขานกันว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของนักผจญภัยมากที่สุด ก็เป็นเพราะว่าเมืองแห่งนี้เป็นแหล่งที่ตั้งของโรงเรียนนักผจญภัยดีกรีระดับหนึ่งของโลกยังไงล่ะ

โรงเรียนนักผจญภัยอัลเมเรีย นั่นแหละคือนามของโรงเรียนหลวงที่ถูกบริหารอยู่ด้วยงบประมาณร่วมกันของอาณาจักรอัลเมเรียและกิลด์นักผจญภัย

อาคารเรียนและสำนักงานใหญ่ของกิลด์ได้ถูกก่อสร้างขึ้นให้เป็นหนึ่งเดียวกับกำแพงสูง และเนื้อที่อันกว้างใหญ่ของโรงเรียนที่มีทั้งสองจุดนั่นตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางก็อุดมสมบูรณ์เปี่ยมล้นไปด้วยสถาบันสำหรับฝึกปรือ “สกิล” อันถือเป็นตัวแปรที่สำคัญต่อนักผจญภัยอย่างยิ่งยวดเลยด้วย

ทางบุคลากรครูนั้นก็เพียบพร้อมไปด้วยเหล่ามืออาชีพที่มีผลงานจากแต่ละสาขา และผู้มีความสามารถระดับวีรบุรุษเลยทีเดียว อีกทั้งบริเวณรอบตัวเมืองก็ยังมีแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ประหลาดมากมายให้เหล่านักเรียนนักศึกษาได้ทดลองวิชาที่ได้มาจากการฝึกฝนอีกด้วย

ว่ากันว่าหากจะฝึกปรือฝีมือในฐานะนักผจญภัย หรือนักวิทยายุทธ์แล้วละก็ไม่มีสถานที่ใดจะเหมาะเจาะไปกว่าที่แห่งนี้อีกแล้ว ยอดเยี่ยมมากระดับที่เหล่านักผจญภัยต่างเผ่าพันธุ์จากประเทศอื่นหรือพลทหารจากทั่วทิศยังถึงกับต้องอดทนเดินทางเป็นเดือนๆเพื่อมาเยือนเมืองแห่งนี้กันเลยเชียว

และโรงเรียนนักผจญภัยประจำบัสเคิลเบียร์แห่งนี้ก็เปิดประตูต้อนรับผู้คนทุกประเภทโดยไม่เกี่ยงชนชั้นหรือเผ่าพันธุ์ใดๆเลย มีคาบเรียนมากมายหลากรูปแบบ ทั้งฝึกปฎิบัติและคาบเรียนเล็คเชอร์ โดยทั้งหมดมีเป้าหมายเพื่อยกระดับความสามารถโดยรวมของนักผจญภัยเพียงเท่านั้น

———ก็ตามนี้แหละ หากดูตามลักษณะของโรงเรียนนักผจญภัยอัลเมเรียแห่งนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าอิมเมจค่อนข้างเอนเอียงไปทางสถาบันฝึกฝนพัฒนาการขนาดใหญ่ที่เจาะเป้าหมายไปยังการยกระดับสกิลของบุคลากรที่เริ่มต้นทำงานในฐานะนักผจญภัยเรียบร้อยแล้วซะมากกว่า

แต่ในอีกทางด้านหนึ่ง โรงเรียนแห่งนี้ก็มีบทบาทในฐานะสถาบันการศึกษาแบบพิเศษ ซึ่งคอยทำหน้าที่เลี้ยงดูเหล่าเด็กๆในสถานกำพร้า (สร้างโดยกิลด์) ที่สูญเสียญาติครอบครัวไปอยู่ด้วยเช่นกัน โดยเด็กคนไหนที่ประสงค์อยากจะเป็นว่าที่นักผจญภัยก็จะได้รับการสั่งสอนแนะแนวนับตั้งแต่หนึ่งจากทางสถาบันเองเลยด้วย

และวันนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม สนามฝึกซ้อมที่ตั้งอยู่ภายในพื้นที่อันกว้างใหญ่นั่นก็ยังถูกใช้เป็นเวทีฝึกฝีมือการต่อสู้ขั้นพื้นฐานที่ ต่อให้ได้รับ <<คลาส>> ใดในอนาคต ก็จะมีประโยชน์อย่างแน่นอน—เหล่าหนุ่มสาวต่างก็พากันแผดเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความแข็งขันกระตือรือร้น ฝึกฝนพลางวาดฝันถึงการฝึกของแท้ที่จะเริ่มต้นหลังจากพิธีประทาน <<คลาส>> และการเปิดตัวในฐานะนักผจญภัยหน้าใหม่กันอยู่

———-ท่ามกลางความครึกครื้นนั่นเอง

 

“ ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!? ”

 

ที่เสียงแผดร้องอันสุดแสนจะน่าสมเพชพลันดังกู่ก้องสะท้านไปทั่วทั้งสนามฝึกซ้อม

เจ้าของเสียงแผดร้องนั่นน่ะเหรอ?

……….เป็นเสียงของผม ครอส อาราเกาท์เองแหละ

 

[กิ้ววววววววว!]

 

และที่อยู่เบื้องหน้าตัวผมที่ก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น ก็คือกระต่ายเขาซึ่งกำลังแผดเสียงข่มขู่อยู่

เจ้านี่คือเคสประหลาดพอดู เป็นมอนสเตอร์ทั้งแท่งเลยแท้ๆแต่เนื่องจากมีพลังการต่อสู้ต่ำต้อยมากระดับที่ถูกระบุว่าเป็น ริสก์ 0 (ระดับความอันตราย = 0) บวกกับที่ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ตกอยู่ในสถานะเป็นกึ่งๆสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ไปแล้ว  แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็ยังคงความดิบเถื่อน เห็นมนุษย์เป็นศัตรูอยู่ดังเดิม ฉะนั้นตัวที่จะถูกนำมาชำแหละทำเป็นอาหารเลยมักจะโดนจับนำมาใช้ให้เป็นคู่มือฝึกฝนทักษะการต่อสู้ของเหล่าเด็กๆที่ยังไม่ได้รับ <<คลาส>> อยู่บ่อยๆน่ะนะ

และวันนี้ก็เป็นวันฝึกทักษะการต่อสู้จริงที่ว่านั่น ตัวผมเองก็ทำใจฮึดสู้แล้วเข้าเผชิญรับมือกับกระต่ายเขาแล้วแหละ….แต่ก็ถูกมันพุ่งเข้าชนจนล้มกลิ้งเข้าซะก่อน แค่นั้นไม่พอยังเผลอทำดาบสั้นที่ได้มาจากทางโรงเรียนหล่นหลุดมือไปอีก เห็นเจ้ากระต่ายเขาที่พุ่งดิ่งตรงมาเพื่อกะจะปลิดชีพดับลมหายใจแล้วผมก็ได้แต่อ้าปากส่งเสียงกรีดร้องออกมาสถานเดียว

ทว่า เป็นในจังหวะนั้นเอง

 

“ ฮึ้ยย่า! ”

[อี๊กก!?]

 

รูมเมทในสถานกำพร้าที่เข้ามารับการฝึกด้วยกันกับผม พลันตัดเข้ามาจากทางด้านข้าง พลางสะบัดดาบแล่นเป็นเส้นตรงแหน่ว

พิชิตกระต่ายเขาลงได้ภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียวเลย

 

“ อ๊ะ ขะ ขอโทษ แล้วก็ขอบคุณนะ ”

 

ผมที่ได้เค้าช่วยไว้ในตอนอันตราย รีบกล่าวขอบคุณพลางลุกขึ้นยืนทันที

 

“ ไม่เป็นไรเว้ย ไอ้ตัวที่ฆ่าไปมันก็กลายมาเป็นค่าประสบการณ์ของฉันด้วยอะนะ แต่ครอสเอ็งนี่น้า….อายุตั้ง 14 แล้วยังมาแพ้ให้กับกระต่ายเขาอยู่อีกเรอะเฮ้ย ”

“ อุก… ”

 

รูมเมทถอนหายใจพร้อมกับกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเพลียๆ

 

“ ลองดูทางโน้นดิ ถึงจะต้องเล่นรุมก็เหอะ แต่กะอีแค่กระต่ายเขาเนี่ยขนาดกลุ่มเด็ก 9 ขวบมันยังปราบกันได้เลยนะเว้ย? ”

 

พอหันไปมองตามที่เค้าบอก ก็เห็นปาร์ตี้ที่ประกอบไปด้วยเด็กอายุน้อย 3-4 คนกำลังล้อมรอบกระต่ายเขาอยู่ไม่ห่างไปจากพวกผมนัก แล้วพวกเด็กๆก็จัดการกระต่ายเขาลงได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรเลย

 

“ แถมที่พวกเด็กๆเล่นรุมนี่ก็เพื่อจะได้ไม่เปิดช่องโหว่ให้กระต่ายเขาที่รวดเร็วปราดเปรียวมันหนีได้อีกตะหาก ไอ้คนที่จะโดนกระต่ายเขาเล่นจนตายห่าเอาอย่างเอ็งเนี่ยขนาดในกลุ่มเด็กเล็กสุดมันยังไม่มีเลยนะเว้ยบอกไว้ให้รู้ ”

“ อุกก… ”

“ เฮ่อ…พูดแบบนี้มันก็ยังไงๆอยู่ แต่ก็นั่นแหละ ก่อนที่จะมาท้าสู้จริงกับกระต่ายเขาเนี่ย เอ็งไปเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ฝึกประชันฝีมือกับพวกเด็กเล็กๆแทนซะจะดีกว่ามั้ง? ”

 

เป็นนาทีที่รูมเมทกล่าวออกมาด้วยท่าทางเหมือนพูดลำบากนั่นเอง

 

“ เอ๋!? ไม่เอาหรอก! ก็พี่ครอสเขาอ่อนสุดๆไปเลยนี่นา! ”

“ อุ้กก!? ”

 

ที่จู่ๆก็มีคำด่าทอลอยมาเสียดแทงกลางใจผมดังจึ๊ก!

 

“ เลเวลก็ 0! สเตตัสก็เป็น 0 หมดทุกช่องเลยด้วยอีกตะหาก! ”

“ ปกติแล้ว ถ้าอายุประมาณพี่ครอส ต่อให้ไม่ฝึกฝนอะไรเลยก็น่าจะขึ้นไปเป็นเลเวล 5 แล้วแท้ๆเนอะ! ”

“ พวกหนูเองก็ขึ้นมาเป็นเลเวล 2 แล้วด้วยเน้อ! ”

“ เมื่อไม่นานมานี้พี่ครอสเค้ายังประลองกำลังแพ้พวกหนูอยู่เลยด้วยนะ! ”

“ อึก ฮือ…. ”

 

แก๊งเด็กเล็กที่มีเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆอยู่เป็นศูนย์กลาง เค้าถึงกับหยุดมือฝึกหันมาโห่บูบูใส่ผมกันอย่างไม่มีปรานีซะเฉย

 

“ เอ๊ะ เฮ้ยเอาจริงดิ เอ็งประลองกำลังแพ้เด็กผู้หญิง 9 ขวบจริงง่ะ? ”

 

รูมเมทผมนี่คือถึงกับเบิกตาโพลงอย่างตกตกลึงเลย

 

“ หนูไม่ได้โกหกนะ! นี่ไง! ”

“ เอ๊ะ อย่า ว๊าาากกกก!? ”

 

เด็กน้อยตัวเล็กๆพุ่งฉิวหยั่งกะกระต่ายเขาเข้ามาอัดใส่ ผมเองก็ทนดันกลับไปไม่ไหว ล้มลงมากองอยู่กับพื้น เท่านั้นแหละมีเสียงหัวเราะมากมายดังสนั่นขึ้นมาจากรอบข้างเลย

 

“ เฮ้ยครอส นั่นเอาจริงแล้วเหรอวะ!? ”

“ อีกฝั่งเป็นเด็กคงจะเอาจริงลำบากแหละ แต่โดนชนปลิวงี้มีด้วยเหรอวะ! ”

“ จะมาท้าสู้จริงกับกระต่ายเขาเนี่ยยังเร็วไป 5 ปีม้างง!? ”

“ กลับไปฝึกเหวี่ยงดาบฟันลมใหม่ไป๊! ”

 

……….นี่แหละคือสารรูปปัจจุบันของตัวผม ครอส อาราเกาท์ อายุ 14 ปี—-สารรูปที่ดูไม่ได้น่ะนะ

ในวันนั้นที่หมู่บ้านถูกฝูงมอนสเตอร์บุกเข้ามาโจมตี แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิตเลยซักรายเดียว แต่เนื่องจากเกิดความผิดปกติทางด้านความหนาแน่นของพลังเวท ทำให้แหล่งที่อยู่อาศัยของพวกมอนสเตอร์เปลี่ยนไป เราจึงจำใจต้องสละหมู่บ้านทิ้งกันอย่างไม่อาจเลี่ยง

พวกชาวบ้านที่ได้รับทรัพย์สินเล็กๆน้อยๆจากเจ้าของที่ดินต่างก็แยกย้ายหนีไปอยู่ที่อื่นกัน ผมเองก็ไม่อาจจะขอให้ทุกคนช่วยคอยเลี้ยงดูเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ฉะนั้นจึงทำตามที่พวกชาวบ้านแนะนำ ตัดสินใจเข้ามาขอพึ่งใบบัวของบัสเคิลเบียร์ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับหมู่บ้านแทน

ตอนที่รู้ว่าที่แห่งนี้ถูกเรียกขานว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของนักผจญภัย และถ้าประสงค์ก็จะได้รับการฝึกสอนอบรมให้เป็นนักผจญภัยนั่น ตื่นเต้นสุดๆไปเลยก็จริง…….แต่ความเป็นจริงมันก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ

กระทั่งการฝึกขั้นแรกสุด ผมยังไม่มีปัญญาทำได้อย่างคนอื่นเขาเลย เป็นพวกห่วยแตกไร้แววอย่างสิ้นเชิง

 

“ มะ ไม่เป็นไรหรอกน่า! ครั้งถัดไปผมจะล่ามันให้ดูเอง! ให้ผมฝึกต่อซะทีเถอะ! ”

 

ผมเปล่งเสียงขึ้นขอร้องต่อทุกๆคนโดยรอบอย่างร้อนรน

ฝึกเท่าไหร่เลเวลก็ไม่ยอมขึ้นแล้วยังไม่พอ ถ้าเผลอปล่อยโอกาสที่จะได้เก็บสะสมค่าประสบการณ์แสนล้ำค่าจากการฝึกสู้จริงกลางเมืองแบบนี้ไปมีหวังถูกคนอื่นๆเค้าทิ้งห่างออกไปอีกแน่ ฉะนั้นผมจึงเฝ้าร้องขอต่อไปไม่หยุด ไม่ยอมสยบให้แก่เสียงหัวร่อของทุกคน

แต่คำขอร้องเช่นนั้น ก็พลันถูกปัดเป่าจนกระจุยหายไปซะอย่างง่ายดาย

 

“ อ๊าา? ครั้งถัดไปผมจะอย่างนู้นบ้างครั้งถัดไปผมจะอย่างนี้บ้าง…..แกพูดร่ายแบบนี้ให้ฟังบ่อยจนฉันเนี่ยเบื่อจับใจแล้วนะเว้ยไอ้ครอส 0 ตลอดศก ”

 

เป็นตอนนั้นเอง ที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์จุดเด่นคือผมสีทรายและผิวสีน้ำตาลพลันก้าวมายืนอยู่เบื้องหน้าผม เธอคนนั้นเปลี่ยนโฉมหน้าอันงดงามให้บิดเบือนพลางจ้องเขม็งตรงมาใส่

 

“ ไอ้กระจอกที่พรสวรรค์เท่ากับ 0 อย่างแก อยู่ไปก็มีแต่จะเกะกะการฝึกซะเปล่าๆว่ะ รีบไสหัวไปไกลๆได้แล้ว ”

 

ผู้ที่ลั่นเสียงอันดังน่ายำเกรงเช่นนั้นออกมาก็คือ จิเซล สตริงก์

เด็กผู้หญิงเผ่าฮิวแมนที่มีอายุ 14 ปีเท่าผมคนนี้แหละ คือตัวตนผู้ปกครองอยู่เหนือสถานกำพร้าในฐานะบอสที่แข็งแกร่งไร้ใครเทียม

นอกจากความเป็นผู้นำสูงส่งอันเป็นผลเนื่องมาจากจิตใจอันเข้มแข็งแล้ว อีกสิ่งที่ทำให้เธอผู้นี้ถูกยกย่องให้เป็นระดับบอสนั่นก็คือ—-พรสวรรค์ที่มีมากจนล้นเหลือนั่น

แม้จะไม่ได้ถึงกับได้รับ <<คลาส>> ล่วงหน้าก่อนเวลาอันเป็นเอกลักษณ์ของเหล่า “อัจฉริยะผ่าเหล่า” แต่จิเซลก็มีความเป็นเลิศขนาดที่ปลุกพลังที่ถูกเรียกว่า [สกิลคลาส] ได้ก่อนปกติเป็นเวลาถึงครึ่งปีเลยทีเดียว เพราะเหตุนี้เองเธอจึงเป็นที่จับตามองของเหล่านักผจญภัยรุ่นพี่ แถมชื่อเสียงของจิเซลยังไม่ได้หยุดอยู่แค่ระหว่างนักผจญภัยที่เรียนจบไปอย่างเดียว แต่กระฉ่อนไปจนถึงหูเหล่านักผจญภัยที่เดินทางมาจากภายนอกเลยด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ ยังดูเหมือนว่าจิเซลจะมีพลังพิเศษที่ติดตัวมาแต่เกิด——เรียกว่า [ยูนีคสกิล] อยู่อีกต่างหาก แถมพลังดังกล่าวนั่นยังสุดยอดมากระดับที่มีข่าวลือว่าพวกนักผจญภัยรุ่นพี่ถึงกับมาขอร้องให้จิเซลแอบตามพวกตนไปทำเควสต์ด้วยกันเลยทีเดียว

เพราะแบบนั้นละมั้ง เลเวลของจิเซลก็เลยปาเข้าไป 15 แล้ว

อุปกรณ์เครื่องสวมใส่ก็ไม่ได้ใช้เลสเซอร์อาร์มเมอร์ที่ได้มาจากโรงเรียนเหมือนพวกผม แต่เป็นเกราะโลหะที่ดูเหมือนว่าจะเก็บหอมรอมริบซื้อมาด้วยเงินของตัวเองเลย ส่วนอาวุธที่ใช้นี่ก็เป็นบัสตาร์ดซอร์ดเล่มเบ้อเริ่มเลยอีก

ตัวจิเซลนั้นยังไม่ได้รับ <<คลาส>> เลยแท้ๆ แต่กลับมีเรื่องเล่ากันว่าเธอเคยมีวีรกรรมปราบนักผจญภัยระดับล่างที่ได้รับ <<คลาส>> แล้วลงได้ด้วย บวกเข้ากับความมั่นใจในตัวเองที่ราวกับเป็นตัวยืนยันความสามารถอันสูงล้นนั่นอีก ปัจจัยทั้งหลายแหล่นี่เองจึงเป็นตัวการทำให้เธอคนนี้ขึ้นแท่นปกครองอยู่เหนือสถานกำพร้าในฐานะผู้นำอันมากความสามารถได้มายันทุกวัน ภูมิฐานปัจจุบันของจิเซลนั้นพูดได้ว่าไม่ต่างกับพวกนักผจญภัยมือโปรสุดเถื่อนเลย หรือถ้าให้พูดแบบตรงๆไม่มีอ้อมมีค้อมก็ตัวหัวโจกแก๊งนักเลงดีๆ

แล้วก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เธอผู้ครองอยู่เหนือตำแหน่งผู้นำอันไร้เทียมทานคนนี้ถึงได้จงเกลียดจงชังผมนักหนา โดนเกลียดขี้หน้ามาตั้งแต่ก่อนแล้วก็จริง แต่เพิ่งจะมาออกอาการชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆก็เมื่อครึ่งปีที่ผ่านมานี้แหละ

จนตอนนี้ผมถูกจิเซลเข้ามาขัดขวางไม่ยอมให้ฝึกบ่อยจัดระดับที่เกือบๆจะกลายเป็นเรื่องสามัญไปแล้ว

 

“ มะ ไม่สิ! ช่วยฟังก่อนสิจิเซล ถ้าไม่ฝึกละก็ คนอ่อนแออย่างผมต่อให้ผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่เก่ง—- ”

“ อ๊าาา? ”

 

เสียงที่เค้นออกไปด้วยกำลังทั้งใจ ก็ถูกป่นทำลายแหลกเหลวลงได้ด้วยการชำเลืองมองเพียงครั้งเดียว

 

“ ไอ้กระจอกง่อกง่อยที่ขนาดกระต่ายเขาก็ยังเอาไม่ลงเนี่ยต่อให้ฝึกให้ตายยังไงก็ไม่ได้เกิดหรอกว่ะ น้ำหน้าอย่างแกน่ะนะ เป็นได้แค่ตัวภาระที่แค่ผลาญเนื้อที่การฝึกแล้วยังไม่หนำใจ ยังลามไปแย่งโอกาสที่คนอื่นเค้าจะได้เติบโตอีกตะหาก เข้าใจแล้วก็ไสหัวกลับหอไปทำความสะอาดแทนส่วนของพวกฉันซะนะจ๊ะ ไอ้ครอส 0 ตลอดศก ”

 

พลั่ก ครืด

จิเซลผลักไหล่กับขาผม ทำการไล่ให้มุ่งตรงไปยังทางออกของสนามฝึกซ้อม

 

“ เฮ้ยจิเซล~ ไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอ~? ”

 

ลูกไล่ของจิเซลกล่าวออกมาแบบนั้นพลางยิ้มเยาะก็จริง แต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะหยุดยั้งการกดขี่ข่มเหงของจิเซลที่เป็นผู้ปกครองอันไร้เทียมทานอย่างจริงจังกันเลยซักคน

 

 

ขนาดอาจารย์ที่คอยเฝ้าดูสภาพการฝึกอยู่ก็ยังพูดแค่ “ หากจะอยู่ในวงการนักผจญภัยอันแสนโหดร้ายป่าเถื่อนให้รอด การผจญและรับมือกับความไร้เหตุผลเช่นนี้เองก็ถือเป็นการฝึกอีกแบบหนึ่ง ” ไม่ยอมช่วยเหลือใดๆเลยแม้แต่น้อยนิดเหมือนเคย

อย่างที่เห็นนี่แหละ ในสนามฝึกซ้อมที่ถูกปกครองอยู่โดยจิเซลแห่งนี้ ไม่มีที่ไหนที่ผมจะใช้เป็นจุดยืนได้หลงเหลืออยู่อีกแล้ว….

 

“ ชิ…อยากจะเป็นนักผจญภัยที่เก่งแบบผู้กล้าบ้าบออะไรของมัน แค่เห็นหน้าก็ชวนหงุดหงิดแล้วว่ะ ไอ้พวกกร๊วกที่ละเมอเพ้อพกดูถูกความเป็นจริงแบบนั้นอะเว้ย ”

“ ………ขึก ”

 

เสียงของจิเซลที่ราวกับว่าสบถออกมาดังขึ้นไล่หลัง ดันให้ผมจำต้องก้าวเท้าออกไปจากสนามฝึกซ้อมเดี่ยวๆด้วยตัวคนเดียวอย่างไม่อาจเลี่ยง  

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset