เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 3 ด็กหนุ่มผู้อ่อนแอที่สุดในปฐพี (2)

“ โธ่เว้ย! นี่แน่ะ! โธ่เว้ย เว้ย! ”

 

ยามค่ำ หลังจากผ่านคาบเรียนเล็คเชอร์ที่มีจัดขึ้นต่อจากการฝึกซ้อม และจัดการงานจิปาถะที่จิเซลยัดเยียดให้แล้วเสร็จ  

ณ สนามฝึกซ้อมที่ไม่มีใครอื่นอยู่เลย มีเพียงผมคนเดียวที่ง่วนอยู่กับการฝึกฝนพัฒนาตัวเองประจำวัน

ฟาดฟันดาบสั้นที่ถูกทำให้หมดคมเพื่อใช้ในการฝึกลงไปบนแผ่นโลหะที่ถูกรัดพันติดเอาไว้อยู่กับหุ่น ราวกับเป็นการระบายความคับแค้น

…ไม่ใช่ความคับแค้นที่มีต่อจิเซลที่จงเกลียดจงชังผมซะหยั่งกะอะไรดีแต่อย่างใด—-เป็นความคับแค้นต่อตัวผมเองที่ต่อให้ลงแรงพยายามหนักมากขนาดไหนก็ไม่ยอมเก่งขึ้นมาเลยซักนิดเดียวนี่ต่างหาก

 

“ ทำไม…..เลเวลถึงไม่ขึ้นเลยซักนิดเดียวนะ…. ”

 

เลเวลนี่ก็คือ ตัวบ่งชี้ถึงระดับความแข็งแกร่งส่วนตัวบุคคลที่ถูกตีค่าให้เป็นตัวเลขแบบชี้เฉพาะน่ะ

เห็นว่าเวลาที่ปราบมอนสเตอร์ลงได้ จะมีปัจจัยที่ประกอบสร้างเป็นวิญญาณ—–นามว่า แกนเวทมนตร์ปรากฎออกมา และเมื่อร่างกายของเราทำการดูดกลืนแกนเวทมนตร์เข้าไปแล้ว จะทำให้ดวงวิญญาณของเราถูกเสริมระดับความแข็งแกร่งยกขึ้นมาจากเดิม แล้วถึงจะสะท้อนออกมาให้เห็นค่าความเปลี่ยนแปลงได้ผ่านสเตตัส….หลักการเลเวลอัพมันก็อารมณ์ราวๆนั้น

ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่แก๊งเด็กเล็กๆพูดเอาไว้นั่นแหละ ปกติแล้วต่อให้ไม่ได้เก็บเกี่ยวแกนเวทมนตร์—-หรือที่เรียกกันจนติดปากว่าค่าประสบการณ์ เลยซักนิดเดียว แต่ถ้าเติบโตอายุเยอะขึ้นเรื่อยๆ ระดับความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณ….หรือเลเวล มันก็จะยกระดับขึ้นมาเป็นเลเวล 5-6 เองโดยอัตโนมัติ

ควรจะเป็นแบบนั้นแท้ๆ….

 

“ เจ็บ!? ”

 

เพราะมัวเอาแต่เหวี่ยงดาบสุดใจขาดดิ้น……ไม่สิ น่าจะเป็นเพราะความอ่อนแอโหลยโท่ยของตัวผมเองมากกว่าละมั้ง

ทำให้ตุ่มใสบนฝ่ามือปริแตกจนเลือดหลั่งออกมาจากแผลซะได้

ตัวผมที่เหงื่อโชกไปหมดทั้งตัวจึงอาศัยนี่เป็นข้ออ้างเพื่อพักผ่อนฟื้นฟูเรี่ยวแรงก่อนชั่วขณะหนึ่ง

 

“ ………….สเตตัสโอเพ่น ”

 

ไม่มีอะไรทำ ผมเลยหยิบเอาสเตตัสเพลทที่ใส่เอาไว้อยู่ข้างในกระเป๋ากางเกงเสมอออกมาดู

เจ้าสิ่งนี้มันคล้ายๆกับบัตรประจำตัวที่ไม่อาจปลอมแปลงได้นั่นล่ะ เป็นสิ่งที่โบสถ์จะแจกจ่ายให้กับทุกๆคนในวันเกิดครบ 5 ขวบน่ะนะ โดยพวกข้อมูลส่วนตัวแสนสำคัญทั้งหลายแหล่อย่างเช่น ชื่อและเผ่าพันธุ์ เลเวล สเตตัส หรือสกิลของเจ้าของก็จะถูกบันทึกเรียงเป็นแถวอยู่ภายในนี้

แถมยังเป็นไอเท็มศักดิ์สิทธิ์ที่หากเจ้าของไม่ได้อนุญาต คนนอกก็จะไม่อาจเปิดดูได้อีกด้วย เหล่านักผจญภัยก็จะสังเกตความแข็งแกร่งของพวกตนที่ถูกแปรค่าให้กลายเป็นตัวเลขแบบชี้เฉพาะบนสิ่งนี้แหละ เพื่อเช็คดูว่าการฝึกที่ดำเนินไปในแต่ละวันนั้นถูกต้องแน่รึเปล่า ไม่ก็เพื่อตรวจสอบว่าตัวเองในตอนนี้แกร่งพอจะรับมือกับมอนสเตอร์ในระดับใดได้บ้างแล้ว เป็นต้น

ตัวผมเองก็เอาเยี่ยงอย่างคนอื่นๆเขา คอยเช็คสเตตัสเพลทอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเลยก็จริงแหละ—–

 

 

ชื่อประจำตัว : ครอส อาราเกาท์    เผ่าพันธุ์ : ฮิวแมน    อายุ : 14

คลาส : ยังไม่ได้รับ

เลเวล : 0

กำลัง : 0   ป้องกัน : 0   ป้องกันเวท : 0   ความว่องไว : 0

(พลังเวทโจมตี : 0   พลังเวทพิเศษ : 0   พลังเวทแปรรูป : 0   ความฉลาด : 0)

 

 

แต่ที่แสดงขึ้นมาก็ยังมีแต่ 0 เต็มไปหมดเหมือนเคย

ค่าสเตตัสเนี่ย คือตัวบ่งชี้ว่าดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นมามันช่วยเสริมสมรรถภาพทางร่างกายให้กับเรามากขนาดไหน ถ้าค่าเท่ากับ 0 ก็หมายความว่ามีแค่ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายเปล่าๆเพียงอย่างเดียวนั่นแหละ

ไม่แปลกเลยที่จะประลองกำลังแพ้เด็กผู้หญิงอายุน้อยกว่า

พวกช่องพลังเวทโจมตีนี่ ตราบใดที่ไม่ได้รับ <<คลาส>> ที่ข้องเกี่ยวกับเวทมนตร์ ต่อให้เป็นใครก็จะมีค่าอยู่ที่ 0 เหมือนๆกันหมดฉะนั้นไม่ได้แปลกอะไร แต่ถ้าขนาดช่องอื่นๆมันยังเป็น 0 เรียบหมดเลยอีกนี่ก็คือคงพูดได้แค่ว่าระดับอาการหนักมากแล้ว

เมื่อก่อนก็คิดแค่ว่าเติบโตช้ากว่าคนอื่นนิดหน่อยเฉยๆ ไม่ได้ใส่ใจมากมายอะไร แต่มันก็จริงอย่างพวกเด็กเล็กๆพูดกันนั่นแหละ อายุตั้ง 14 แต่อ่อนแอปวกเปียกซะขนาดนี้มันจะน่าสมเพชเกินไปรึเปล่า……

ทั้งที่ผมเองก็ฝึกแบบเดียวกับทุกคน กินข้าวแบบเดียวกับทุกคนแล้วแท้ๆ แต่ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้

 

(……….ไม่มีพรสวรรค์ ไม่มีแวว ไม่มีคุณสมบัติ)

 

คำพูดพวกนั้นมันแล่นผ่านเข้ามาอยู่ในหัว ทำเอาอยากจะร้องไห้ออกมาท่ามกลางยามค่ำที่คนอื่นๆต่างก็นอนหลับผล็อยกันไปหมดแล้ว

 

“ ………ไม่สิ ยังเร็วไปที่จะตัดใจ ถ้าได้รับ <<คลาส>> แล้ว อย่างน้อยที่สุดก็จะได้สกิลมาหนึ่งสกิล และถ้ามีสกิล ก็จะรู้ว่าควรทุ่มเทความพยายามไปในทิศทางไหนดี หากพัฒนาสกิลให้ทรงพลังพอจะปราบมอนสเตอร์ได้ก็จะต้องเลเวลอัพแน่ๆล่ะ ขอเวลาซักเดี๋ยวเดียวก็จะไม่มีใครมาเรียกผมว่าเป็นครอส 0 ตลอดศกได้อีกแล้ว! ”

 

ผมพึมพำออกมาแบบนั้นราวกับเป็นการปลอบใจตัวเอง

<<คลาส>> ——-หมายถึงคุณสมบัติที่มีรูปทรงชัดเจนซึ่งฟ้าจะประทานลงมาให้กับผู้ที่มีอายุครบ 14 ปีทุกคน ภายในช่วงฤดูกาลที่ใบไม้ผลิปลิวไสว ภายในงานเทศกาลเก็บเกี่ยวที่หนึ่งปีจะมีครั้ง

ดวงวิญญาณของคนเราจะถูกกำหนดรูปทรงผ่านการได้รับ <<คลาส>> นี่แหละ การเติบโตของค่าสเตตัสก็จะเปลี่ยนแปลงไปให้สอดคล้องกับ <<คลาส>> นั้นๆ และในขณะเดียวกันก็จะสามารถเรียนทักษะพิเศษที่ถูกเรียกขานว่าสกิลได้ด้วย

สกิลนี่ก็คือวัฒนธรรมของโลกใบนี้—-แล้วก็เป็นพลังอำนาจดีๆเลยนี่แหละ

ต่อสู้ โจรกรรม รักษาแล้วก็แปรรูป…..โลกใบนี้มีพลังเหนือธรรมชาติในนามสกิลอยู่มากมายหลากหลายรูปแบบ และเป็นเพราะสกิลพวกนี้เองที่ทำให้พวกเราเฟื่องฟูเสวยสุขอยู่ได้อย่างทุกวัน ที่ในบางครั้งมนุษย์สามารถโค่นมังกรลงได้นั่น ก็เป็นเพราะผลพวงจากเลเวล กับทักษะพิเศษที่ถูกเรียกว่าสกิลนี้นี่แหละ

ปกติแล้ว—-ไม่นับคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นข้อยกเว้นอย่างเช่นจิเซล—-ถ้ายังไม่ได้รับ <<คลาส>> ก็จะไม่อาจเรียนใช้สกิลได้เด็ดขาด

แล้วก็ <<คลาส>> แต่ละแบบนั้นจะมีสกิลที่สามารถเรียนรู้ได้แตกต่างกันออกไป ส่งผลให้มีการกำหนดบทบาทเอาไว้แล้วอย่างชัดเจนเข้มงวดว่า <<คลาส>> ใดทำอะไรได้ทำอะไรไม่ได้

เราจะได้รับ <<คลาส>> ใด แล้วก็จะสามารถพัฒนาความถนัดในด้านนั้นๆขึ้นไปได้สูงขนาดไหน—-นี่แหละคือประเด็นที่วงการนี้ให้ความสนใจมากยิ่งกว่าใดๆเลย

งานเทศกาลเก็บเกี่ยวปีนี้จะมีจัดขึ้นภายในหนึ่งอาทิตย์หลังจากนี้

คนหนึ่งจะมีคลาสที่เหมาะสมกับตนให้เลือกอยู่ประมาณ 2-3 อย่าง และชีวิตของพวกผมก็จะได้รับผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกอาชีพอะไรที่อยู่ภายใน 2-3 อย่างนั้นนี่แหละ

 

“ ใช่สิ ใช่แล้วล่ะ ขอแค่ได้รับ <<คลาส>> ซะอย่างก็น่าจะพอไปต่อไหว แถมไม่แน่อาจจะได้ <<คลาส>> เจ๋งๆที่ทำให้เติบโตก้าวกระโดดได้ภายในพรวดเดียวเลยด้วยก็ได้ ”

 

…….อืมม <<คลาส>> เนี่ยต่อให้เป็นใครเก่งมาจากไหนก็จะต้องเริ่มต้นจากคลาสระดับต่ำก่อนกันหมดทุกคน ถ้าจะยกตัวเองให้ขึ้นมาเป็นระดับกลาง ระดับสูงก็จำเป็นต้องค่อยๆฮึดเก็บเกี่ยวเลเวลและพัฒนาสกิลทีละนิดทีละหน่อยไปเรื่อยๆนั่นแหละนะ

แต่เอาเป็นว่า ยังเร็วไปที่จะตัดใจยอมแพ้

เขาพูดกันว่าเราสามารถวัดระดับความเหมาะสมของเราที่มีต่อ <<คลาส>> ได้ผ่านจำนวนสกิลที่ปรากฎขึ้นมาในตอนที่ได้รับ <<คลาส>> นั้นๆ แล้วก็มีคนตั้งสมมติฐานอยู่เหมือนกัน ว่าจำนวนของสกิลที่ปรากฎขึ้นมานั่นจะแปรผันขึ้นอยู่กับความพยายามในตอนเด็กไม่มากก็น้อย—-ฉะนั้นความพยายามทั้งหมดของผม มันก็จะต้องไม่สูญเปล่าแน่ๆล่ะ

 

 

“ เอาล่ะ! หมดเวลาพักแล้ว! หมดเวลามามัวซึมเศร้าอยู่แล้ว! ”

 

ผมเอามือตบหน้าตัวเองดังฉาดเป็นการเรียกขวัญกำลังใจ ก่อนจะเริ่มต้นวิ่งทะยานเข้าไปตามคอร์สวิ่งแข่งที่ถูกสร้างให้ดูมีสภาพเหมือนทางวิบากบนป่าลึก

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset