เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 5 เด็กหนุ่มผู้อ่อนแอที่สุดในปฐพี (4)

“ ฟู่ ถึงจะเจออยู่ทุกปีก็เถอะ แต่ต้องมาเฝ้าดูพิธีประทานให้เด็กเป็นพันๆคนจนจบแบบนี้มันก็ลำบากจริงๆนั่นแหละ ”

 

ผู้ที่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางก้าวเท้าไปตามทางเดินของโรงเรียนนักผจญภัยนั่นก็คือ ผู้อำนวยการของสถานศึกษาแห่งนี้ ซาริเอร่า คุ๊กโจว์ คนนั้นนั่นเอง

เมื่อหยิบเอาอุปกรณ์ที่ชื่อนาฬิกาพกพา อันเป็นของระดับสูงที่มีเพียงชนชั้นนำเท่านั้นจึงจะมีอยู่ในครอบครอง ออกมาตรวจสอบดูว่าตอนนี้คือช่วงบ่ายแล้ว ซาริเอร่าก็มุ่งตรงไปยังห้องผู้อำนวยการเพื่อกะจะพักผ่อนซักหน่อย

 

“ แต่พิธีประทานปีนี้พิเศษกว่าปีก่อนหน้าจริงๆ….. ”

 

ตัวตนของเอลิเซียที่เป็นผู้สืบสายเลือดของผู้กล้านั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในกลุ่มเด็กสถานกำพร้าของกิลด์ที่มีจำนวนไม่มากมายนัก จะมีสองคนที่ได้ผลลัพธ์ซึ่งต่างกันสุดขั้วออกมาเช่นนั้น

เป็นในจังหวะที่ซาริเอร่ากำลังนึกถึงผลลัพธ์อันแสนโหดร้าย จนต้องถอนหายใจออกมาอีกคราอยู่นั่นเอง

 

“ อ๊ะ! อยู่นั่นเอง! ผู้อำนวยการรรรรรรรรรรรรร!! ”

“ อะ อะไรกันน่ะ!? ”

 

พอได้ยินเสียงแผดร้องอันเปี่ยมล้นไปด้วยความเจ็บปวดเช่นนั้น แล้วสะดุ้งหันขวับกลับไปมอง ซาริเอร่าก็พบว่าผู้ที่อยู่ตรงนั้นก็คือเด็กหนุ่มที่เธอกำลังคิดสงสารอยู่ภายในใจ ครอส อาราเกาท์ นั่นเอง

เด็กหนุ่มสะบัดเส้นผมสีม่วงอ่อนๆ ก่อนจะก้าวฉับๆตรงรี่เข้ามาใกล้ด้วยสภาพเหมือนจะร้องไห้

ซาริเอร่าถึงกับสับสนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไปไม่เป็นเลย

 

“ จะ เจ้านี่น่ะครับ! พอกลับไปถึงหอแล้ว ก็เจอเจ้านี่วางอยู่บนที่นอนผม…..! ”

 

สิ่งที่ครอสยื่นส่งมาให้ด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทิ้ม ก็คือเอกสารเชิญให้ออกจากโรงเรียนที่ถูกพิมพ์อย่างเป็นทางการจากกิลด์—ทำงานเร็วดีจริง….ไม่สิ ถ้าได้เห็นผลลัพธ์แบบนั้นแล้ว ต่อให้เป็นใครก็คงไม่มีลังเลที่จะเชิญตัวเด็กคนนี้ออกหรอก

 

“ ไปสอบถามทางเคาน์เตอร์ที่กิลด์ก็แล้ว แต่พนักงานก็เอาแต่พูดว่า [เป็นเรื่องที่ตัดสินไปแล้วค่ะ] บ้างล่ะ [จะช่วยตรวจสอบหากิจการที่กำลังต้องการบุคลลากร หรือสถานทำงานที่อยากจะรับตัวให้สุดความสามารถ] บ้างล่ะ มีแต่อะไรแบบนี้ท่าเดียวเลยครับ! เข้าไปคุยกับพวกอาจารย์เค้าก็เบือนหน้าหนีกันหมด บอกให้ผมลองมาปรึกษากับผู้อำนวยการซาริเอร่าโดยตรง…….. ”

“ อ๋าา แบบนี้นี่เอง….. ”

 

ได้ยินคำพูดครอสเท่านั้น ซาริเอร่าก็คาดเดาสถานการณ์โดยรวมได้แล้ว สรุปก็คือ เพราะครอสนั้นน่าสงสารมากเกินไป ทุกๆคนก็เลยพากันหาทางหนีจากหน้าที่พูดจาให้เด็กคนนี้ยอมเข้าใจกันหมดงั้นล่ะสิ

แต่เล่นโบ้ยภาระมาให้เจ้านายทั้งยวงแบบนี้นับว่ากล้ามาก…..เป็นจังหวะที่ซาริเอร่ากำลังคิดเช่นนั้นอยู่นั่นแหละ

 

“ ขอร้องล่ะครับ! ผมฝันอยากจะเป็นนักผจญภัยแบบเดียวกับคนคนนั้นมาตั้งแต่ยังเด็กๆแล้ว…..ฉะนั้นขอร้องล่ะครับ! จะให้ทำอะไรผมก็ยอมครับขอร้องล่ะอย่าไล่ผมออกจากโรงเรียนเลย! ไม่ว่าอะไรผมก็จะทำให้ทั้งหมดเลยครับ! ”

“ อุก….. ”

 

เจอเข้ากับครอสที่อ้อนวอนอย่างสุดชีวิตแบบนี้แล้ว ซาริเอร่าก็ถึงกับปวดใจ

 

(ขึ่ก…..เข้าใจหรอกนะว่าคงไม่กล้าพูดหักหาญน้ำใจทำให้เด็กดีมีไฟแบบนี้ต้องล้มเลิกฝันที่จะเป็นนักผจญภัย แต่กล้าดีกันจริงๆที่ผลักหน้าที่แสนยากลำบากแบบนี้มาให้กับผู้อำนวยการอย่างฉัน…..แล้วพวกแกจะต้องรู้สึก!)

 

ซาริเอร่าบ่นตำหนิลูกน้องอยู่ภายในใจอีกครั้ง ก่อนจะอ้าปากเค้นคำพูดออกมาอย่างเปิดอก

 

“ ………ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะนะ ครอส แต่ในเมื่อยกระดับเลเวลไม่ได้ เป็นนักผจญภัยไปก็มีแต่จะตายเปล่าเอาอย่างเดียว ต่อให้ฝึกฝนไปก็คงจบลงอย่างสูญเปล่าอยู่ดี ฉะนั้นถ้าเอาเวลาไปทุ่มเทกับอย่างอื่นแทนมันก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเธอมากกว่านะ ”

“ ตะ แต่ว่า! คุณนักบวชที่รับหน้าที่ตรวจความถนัดให้ผมเค้าพูดมาแบบนี้นะครับ! ถึงแม้ <<ไร้อาชีพ>> จะยกระดับเลเวลไม่ได้ แต่ก็มีจุดดีตรงที่สามารถเรียนสกิลของทุกๆ <<คลาส>> ได้ทั้งหมดเลย ฉะนั้นอย่าเศร้าใจไปแน่ะ! ”

“ นั่นมัน….. ”

 

คงจะเห็นท่าทางของซาริเอร่าที่อ้ำอึ้งไปแล้วเกิดมั่นใจขึ้นมากระมัง

ครอสจึงพูดเช่นนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

“ ฉะนั้นต่อให้จะยกระดับเลเวลไม่ได้ แต่ถ้าฝึกฝนก็อาจจะเป็นอย่างเช่น….อ่า นักดาบเวทมนตร์ของจริงที่ใช้ได้ทั้งสกิลของนักดาบกับสกิลเวทมนตร์แบบนี้ ไม่ก็คลาสระยะประชิดด้านการเล่นทีเผลอที่ใช้สกิลของโจรกับสกิลของนักรบได้อะไรแบบนี้….เอาเป็นว่าถ้าขยันหมั่นฝึกยกระดับสกิลก็น่าจะพอมีหวังนั่นแหละครับ! ฉะนั้น—- ”

“ ให้ตายเถอะ…..นักบวชคนที่ทำเรื่องให้เธอนี่ใจดีไม่เข้าท่าเอาซะเลย คิดยังไงกันนะถึงได้พูดส่งเดชให้เด็กมีความหวังผิดๆแบบนี้ ”

“ เอ๊ะ…….? ”

 

การเรียกร้องสุดชีวิตของครอส พลันถูกซาริเอร่าขัดขึ้นมากลางคัน

 

“ จริงของเธอนะ <<ไร้อาชีพ>> น่ะไม่มีข้อจำกัดที่ทำให้เรียนสกิลพื้นฐานของ <<คลาส>> อื่นไม่ได้—-จุดเด่นที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนของอาชีพนี้ ก็คือสามารถเรียนสกิลของทุกๆ <<คลาส>> ได้ทั้งหมดเลย ”

“ ถะ ถ้าอย่างนั้น! ”

“ แต่นั่นมันก็แค่ตามทฤษฎี ”

 

ซาริเอร่ากล่าวออกมาตามตรง

 

“ ขนาดเผ่าพันธุ์ที่มีอายุยืนยาวอย่างเอลฟ์หรือดราโกนิวท์ ยังต้องทำการฝึกปรือตนเองเป็นเวลานานแสนนานจนชวนละเหี่ยใจเลยกว่าจะพอมีหวัง ฝึกเป็นเวลาระดับนั้นแล้วก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจะสามารถใช้สกิลพื้นฐานซักสองสามอย่างได้จริงไหม แล้วก็ ต่อให้ฝึกจนสามารถใช้ได้ขึ้นมาจริงๆก็เถอะ แต่กว่าจะฝึกยกความเชี่ยวชาญของสกิลขึ้นมาให้อยู่ในระดับที่ใช้ต่อสู้จริงได้ มันก็จำเป็นต้องอาศัยเวลาอีกมากล้นราวกับไม่มีวันจบสิ้นอีกอยู่ดี ผลาญเวลาทั้งชีวิตไปก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะเก่งแบบเป็ดได้รึเปล่า…..<<คลาส>> ที่มีชื่อว่า <<ไร้อาชีพ>> มันเติบโตเชื่องช้ามากถึงขนาดนั้นแหละ หลักฐานที่เป็นตัวรองรับนั่นก็คือ—- ”

 

ว่าแล้ว ซาริเอร่าก็จับมือของครอสขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

 

“ เอ๊ะ อ๊ะ!? ”

 

ครอสหน้าแดงขึ้นมา แต่ไม่นานสีหน้านั้นก็พลันบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด

เพราะว่าซาริเอร่าเอานิ้วจิ้มตุ่มใสที่มีเลือดคั่งบนฝ่ามือของครอสนั่นเอง

 

“ ฉันเองก็อยู่ทำงานจนดึกดื่นค่ำมืดบ่อยเหมือนกันน่ะนะ เรื่องที่เธอมาขอร้องพวกครูฝึก ขอใช้พื้นที่สนามฝึกซ้อมตอนกลางคืน แล้วก็พยายามหนักมากกว่าใครๆถึงเท่าตัวนั่น ฉันเองก็รู้ดี แต่ถึงจะอย่างนั้นจำนวนสกิลที่ปรากฎขึ้นมาตอนได้รับอาชีพก็ยังเป็น 0 อยู่อีก ……ทั้งที่ตามเดิมแล้ว จำนวนมากน้อยของสกิลเริ่มต้นนั้นจะแปรผันตามค่าความเชี่ยวชาญก่อนที่จะได้รับ <<คลาส>> แท้ๆ…….ตามหลักแล้วสกิลมันน่าจะปรากฎขึ้นมาอย่างน้อยที่สุดก็ซัก 1 อย่าง แต่เคสของเธอนี่คือเป็น 0 แหกแม้กระทั่งหลักการนั้นซะอีกด้วยซ้ำ —–การเรียนสกิลของ <<ไร้อาชีพ>> มันยากลำบากมากถึงขั้นนั้นแหละ ”

“ ……….ขึก ”

 

กระทั่งความพยายามที่อุตส่าห์ทุ่มเทมาตลอดก็ยังถูกปฎิเสธไปด้วย ดวงตาสองข้างของครอสเริ่มจะเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา แต่ทว่า

 

“ ตะ แต่ว่า เราไม่รู้ซะหน่อยไม่ใช่เหรอครับว่าหลังจากนี้มันจะเป็นยังไงต่อน่ะ! ไม่แน่ผลความเชี่ยวชาญจากการฝึกมันอาจจะตื่นขึ้นมาพรุ่งนี้ก็ได้….ถ้า <<ไร้อาชีพ>> นี่เป็น <<คลาส>> ที่ในหลายสิบล้านคนจะมีโผล่มาคนหนึ่งจริง งั้นก็น่าจะมีข้อมูลน้อยมากๆเลยด้วย ไม่แน่อาจจะมีจุดเด่นตรงอื่นอยู่อีกก็ได้นะ….! ”

 

ครอสยังคงรั้นไม่หยุด ละทิ้งความฝันที่มีอยู่ในใจไม่ขาด เอาแต่หยิบยกข้ออ้างที่คิดขึ้นมาได้สดๆออกมาพยายามคว้าความหวังเอาไว้

 

“ อืมมม……พูดไม่รู้เรื่องเลย….. ”

 

เป็นในจังหวะที่ซาริเอร่าชักจะเหลืออดกับคำวิงวอนของครอสที่ประดุจดั่งลูกหมาตัวน้อยที่ถูกทอดทิ้งนั่นเอง

 

“ ผู้อำนวยการ! ค่อยยังชั่ว อยู่ที่นี่เองหรือครับ! ”

 

ที่เจ้าหน้าที่ของกิลด์พลันวิ่งหน้าตั้งมาจากอีกฝั่งหนึ่งของทางเดิน

พอเจ้าหน้าที่ตัดเข้ามาขัดจังหวะด้วยท่าทางเหมือนไม่ได้เห็นครอสอยู่ในสายตาด้วยซ้ำแล้ว เขาก็ทำการซุบซิบๆอะไรบางอย่างอยู่ข้างหูของซาริเอร่า เท่านั้นแหละ

 

“ ว่า…….ยังไงนะ……..!? ”

 

ซาริเอร่าถึงกับเบิกตาโพลงหยั่งกับลืมตัวตนของครอสไปแล้วเรียบร้อยเลยยังงั้นแหละ

พริบตาถัดมา ซาริเอร่าก็พลันสละละทิ้งอากัปกิริยาสงบเสงี่ยมเรียบร้อยตามปกติไปจนหมดสิ้น พุ่งเข้ายิงคำถามใส่เจ้าหน้าที่กิลด์ด้วยสีหน้าซีดเผือดราวกับไก่ต้ม

 

“ ทำไมไอ้เจ้าพวกที่หาความดีไม่ได้นั่นมันถึงโผล่มาอยู่ที่นี่…..!? อำกันเล่นใช่มั้ย!? มันต้องผิดพลาดอะไรซักอย่างแน่……ไม่สิ เป็นตัวปลอมที่แค่แอบอ้างชื่อของนังพวกนั้นเฉยๆรึเปล่า!? ”

“ ไม่ครับ……ความแข็งแกร่งนั่น ออร่าอันสุดจะท่วมท้นนั้นมันคือของจริงแน่ๆ น่าเศร้าก็จริงแต่สามคนนั้นคือ ระดับ S ไม่ผิดแน่นอนครับ……ล่าสุดนี่ก็ถล่มเข้าห้องผู้อำนวยการไปมุบมิบกินชากับขนมโดยพลการอยู่เลยเนี่ยครับสามคนนั้น ”

“ กว๊าาาาาาาาาา!? เป็นนังพวกนั้นไม่ผิดแน่ๆ…..! มะ ไม่รู้เรื่อง ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นนะ! ไม่เห็นจะมีรายงานอะไรเลยซักแอะ โชคไม่ดีสารส่งมาไม่ถึงฉันเลยไม่ได้รู้เรื่องทราบข่าวการมาเยือนของพวกมันเลยซักนิด! เธอวิ่งกลับไปบอกพวกมันแบบนี้ซะ! [ซาริเอร่า คุ๊กโจว์ ติดภารกิจต้องคอยเดินลาดตระเวนเฝ้าระวังภัยเนื่องในโอกาสที่มีจัดงานเทศกาลเก็บเกี่ยวกับอีเวนต์ผู้กล้ามาเยือน เลยติดต่อไม่ได้] แน่ะ! ”

“ ประเด็นคือพวกมัน….พูดพลางชี้นิ้วไปยังนาฬิกาที่แขวนอยู่บนกำแพงห้องผู้อำนวยการว่า [ถ้าให้พวกฉันต้องรอเงกครบหนึ่งชั่วโมงละก็ ขอถล่มอาคารเรียนให้เละราบคาบมันซักตึกสองตึกก็คงไม่ว่ากันเนาะ?] แบบนี้มาด้วยนี่สิครับ ”

“ ขึ่ก…..!? ต้องยอมบากหน้าไปเท่านั้นจริงๆหรือนี่…..!? ช่วยไม่ได้……เฮ้ยเธอ! รีบไปเตรียมสมุนไพรที่ใช้ประคองสภาพจิตได้ผลดีชะงัดนัก กับเรียก <<พรีส>> (ผู้ปฎิบัติหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์) ที่เชี่ยวชาญในเวทฟื้นฟูมาที ต้องเตรียมเอาไว้เพื่อรับมือกับกรณีที่ฉันปวดตับจนท้องทะลุเป็นรูไง! แล้วก็กลับไปบอกพวกมันด้วย ว่าเดี๋ยวฉันจะไปหาในอีก 30 นาที! ”

“ เอ๊ะ ไม่ได้จะไปตอนนี้เลยหรอกหรือครับ? ”

“ ขอเวลาให้ฉันเตรียมใจหน่อยเซ่! ”

 

ซาริเอร่าที่แผดเสียงร้องด้วยหน้าตาเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ยกเอามือขึ้นกุมหัว ก่อนจะหันกลับมาหาครอสที่มึนๆงงๆอยู่เนื่องจากอะไรต่อมิอะไรมันเกิดขึ้นเร็วจัด

 

“ ขอโทษด้วยเกิดเหตุฉุกเฉิน เอาเป็นว่าฉันยกเลิกคำสั่งเชิญออกจากโรงเรียนให้ไม่ได้ เธอรีบๆตัดใจแล้วหาเส้นทางอื่นนอกจากนักผจญภัยซะเถอะ ชิ แต่ว่าก็ว่าเถอะทำไมนังพวกนั้นมันถึงโผล่มาที่เมืองนี้กันน่ะ…..!? ”

“ เอ๊ะ อ่า เดี๋ย—- ”

 

ร่างของครอสขยับพยายามจะไล่ตามไป แต่ก็ไม่เป็นผล

เนื่องจากซาริเอร่าใช้ความเร็วของนักผจญภัยระดับ A วิ่งหายไปจากที่แห่งนี้ในบัดดล เจ้าหน้าที่กิลด์เองก็ไล่ตามซาริเอร่าไปด้วยความเร็วขนาดที่เลเวล 0 อย่างครอสตามไม่ติดอีก

ครอสที่ยืนหัวโด่อยู่กลางทางเดินตัวคนเดียว ได้แต่หงอยหมดอาศัยตายอยากราวกับเป็นเด็กที่ไร้ที่ให้พึ่งพิงได้

 

“ ขอล่ะครับ อย่าไล่ผมออกเลย…… ”

 

เป็นจังหวะที่ครอส กำเอกสารเชิญออกจากโรงเรียนที่กิลด์ส่งมาให้จนย่อยยับ ตอนนั้นแหละ

 

“ เฮ้ยเฮ้ยเฮ้ยเฮ้ย ”

“ ฮึก!? ”

 

พลันเกิดเสียงที่ฟังดูหงุดหงิดอย่างชัดเจน ดังก้องขึ้นมาจากทิศเบื้องหลังของครอส

พอครอสหันกลับไปตามเสียงที่คุ้นหูนั้นแล้ว

 

“ จิ…จิเซล….. ”

 

ผู้ที่ปรากฎตัวออกมาจากมุมอับของทางเดิน ก็คือ จิเซล สตริงก์ ที่เดินนำทัพพาเหล่าลูกไล่จำนวนหนึ่งติดตามมาด้วย

คงกำลังจะเดินไปสนามฝึกซ้อมเพื่อทดสอบสกิลที่ปรากฎขึ้นมารวดเดียวถึง 10 อย่าง ภายหลังจากที่ได้รับ <<คลาส>> กระมัง

จิเซลที่สวมใส่เมทัลเพลทของตนเองและบัสตาร์ดซอร์ดอาวุธสุดรักเอาไว้ พลันพุ่งตัวกระชั้นชิดเข้ามาหาครอสอย่างน่ายำเกรง ไม่แม้แต่จะปกปิดเก็บซ่อนความหงุดหงิดเลยซักนิด

 

“ ได้ยินเสียงโหวกเหวกกี๊ๆก๊าๆน่ารำคาญ ก็เลยถ่อมาดู ที่ไหนได้คือแกนี่เอง……นี่แก ยังไม่ตัดใจอีกเรอะ ไอ้ครอส 0 ตลอดศก ไม่สิ ตั้งแต่วันนี้ไปเรียกใหม่เป็น ไอ้ครอสว่างงาน แทนซะจะดีกว่ามั้ง? ”

 

หลังจากที่พูดออกมาราวกับหัวเราะเยาะแล้ว จิเซลก็ผลักครอสไปชนกำแพงทั้งๆอย่างนั้น

แล้วพอเข้ามาจ้องหน้าครอสในระยะประชิดขนาดที่ลมหายใจเกือบจะรดต้นคอ จิเซลก็เอ่ยขึ้นต่อ

 

“ เฮ้ย แกยังไม่เจียมกะลาหัวอีกเหรอวะ? เลเวลก็ไม่ขึ้น สกิลก็เรียนไม่ได้ แกที่ไม่มีประโยชน์ส้นตีนอะไรเลยเนี่ยคิดจะเป็นนักผจญภัยยังไงกันวะ ห๊ะ!? มันน่าหงุดหงิดว่ะ! ไอ้ปัญญาอ่อนอย่างแกอะเว้ย! รีบๆออกจากโรงเรียนไปซะ แล้วอย่าโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นอีกเป็นครั้งที่สองเชียวนะ! ”

 

ตูม! ตูม! จิเซลฟาดด้ามของบัสตาร์ดซอร์ดกระแทกอัดเข้ากับกำแพงหิน พลางพ่นน้ำเสียงอันดังกังวานเข้าใส่ราวกับกำลังสอบปากคำกันอยู่เลยยังไงยังงั้น

แม้จิตมุ่งร้ายที่จิเซลปลดปล่อยออกมาจะทำให้ครอสถึงกับตัวแข็งทื่อ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังฝืนอ้าปากพูดขึ้นสุดชีวิต

 

“ มะ ไม่ใช่ว่าจะเรียนสกิลไม่ได้…ซะหน่อยนึง! ถ้าพยายามก็มีโอกาสที่เรียนได้อยู่เหมือนกัน…..ฉะนั้น จะมายอมถูกไล่ออกไปตรงนี้ไม่ได้เป็นอันขาดเลย…..! พะ เพื่อที่จะเป็นนักผจญภัยแบบเดียวกับคนคนนั้นแล้วน่ะ! ”

 

โรงเรียนนักผจญภัยดีกรีที่หนึ่งของโลก

หากถูกไล่ออกจากที่นี่ —-<<ไร้อาชีพ>> อย่างเขาที่ปกติก็เรียนสกิลยากอยู่แล้ว คงไม่อาจจะกลายเป็นนักผจญภัยได้ไปตลอดชีวิตเป็นแน่ ครอสจึงพยายามกล่าวขอร้องสุดกำลัง ทว่า

 

“ ………นี่แก ไม่ได้ลืมตามองดูความเป็นจริงซักนิดเลยรึไงวะ ”

 

ดวงตาของจิเซลพลันหรี่ลง และแล้วในทันใดนั้น

 

“ ——-สกิลนักรบทำลายล้าง <<บัฟสมรรถภาพร่างกาย (เล็ก)>> , วิชาดาบ <<คมบิดเกลียว>> ”

 

เปรี้ยง! เสียงกระทบกระทั่งที่ดังสนั่นระดับที่เมื่อตะกี้นี้เทียบเคียงด้วยไม่ติด พลันระเบิดขึ้นข้างๆร่างของครอส

ตอนแรกนั้น ครอสไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่าอีกฝั่งทำอะไร

เป็นเพราะดาบที่จิเซลเหวี่ยงเฉี่ยวแก้มเขาไปจนกระแทกชนเข้ากับกำแพง มันเร็วมากจัดจนมองตามไม่ทันนั่นก็ส่วนนึง แต่เหตุผลหลักๆก็คือ การใช้สกิลโจมตีเข้าใส่ผู้อื่นนอกการฝึกซ้อมเนี่ย มันคือการแหกกฎโรงเรียนโดยสิ้นเชิงเลยต่างหาก

 

“ ห้ะ อะ….จิเซล…..!? ทำอะไร….!? ”

“ นักผจญภัยอะ มันต้องสู้กับมอนสเตอร์นะเว้ย! วิชาดาบ <<กวาดระนาบ>> ! ”

“ คั่ก!? ”

 

คราวนี้ไม่ใช่การโจมตีแบบแสนอ่อนโยน อย่างฟาดให้เฉี่ยวแก้มไปชนกำแพงข้างหลัง อีกแล้ว

สันของบัสตาร์ดซอร์ดกระแทกอัดเข้ากับสีข้างของครอสจังๆ ส่งร่างของครอสที่ตอบสนองไม่ทันเลยแม้แต่น้อยนิดกลิ้งกระเด็นไปตามพื้นทางเดินราวกับผ้าขี้ริ้ว ความเจ็บปวดมหาศาลที่ระเบิดขึ้นให้หลังพลันถาโถมเข้าเล่นงานครอส อย่าว่าแต่ยืนเลย ขนาดจะหายใจยังลำบาก

และครอสที่ทุรนทุรายอยู่แบบนั้น ก็ถูกจู่โจมอย่างไร้ปรานีโดยการโจมตีที่กระหน่ำรัวลงมาจากเบื้องบน

 

“ ไงล่ะ! ลองหลบให้ดูหน่อยสิวะ! ป้องกันให้ได้สิวะ! มอนสเตอร์ของแท้มันไม่ใช่อะไรหยั่งงี้หรอกนะเว้ย! ป่าเถื่อนยิ่งกว่า แล้วก็ใช้สกิลจู่โจมเข้ามาเหมือนมนุษย์เลยด้วย! ไอ้กากที่แพ้ให้กับกระต่ายเขาริสก์ 0 น่ะ! ไอ้สวะที่ขนาดสกิลของอาชีพระดับต่ำที่เพิ่งจะปรากฎขึ้นมาเมื่อตะกี้นี้ก็ยังมองไม่ทันเลยด้วยซ้ำน่ะ! มันจะไปมีทางเป็นนักผจญภัยได้ยังไงกันวะห้ะไหนบอกทีดิ้! ”

 

พลั่ก! ผั๊วะ!

ลูกเตะของจิเซลทิ่มแทงกระแทกเข้ากับแผ่นหลัง และหัวของครอสที่มุดตัวกลมอยู่กับพื้นหลายต่อหลายครั้ง

 

“ อย่า จิเซล ผมเจ็บ….! ”

“ คิดว่าถ้าร้องขอชีวิตแล้วมอนสเตอร์มันจะปล่อยไปเหรอไง!? ห๊าาา!? ”

 

เปรี้ยง!

 

“ แค่ก….!? ”

 

ลูกเตะที่แรงเป็นพิเศษถูกฟาดอัดเข้ามาใส่ จนครอสชักไม่เหลือเรี่ยวแรงเพียงพอจะร้องออกมาได้แล้วด้วยซ้ำ

 

“ ดะ เดี๋ยวสิจิเซล ต่อให้เจ็บใจเรื่องน้องชายก็เถอะ แต่แบบนี้มันเกินเหตุไปหน่อยแล้ว…..อิ๊!? อ๊ะ เปล่า ทะ โทษที ฉันพูดไม่เข้าเรื่องไปเองแหละ….. ”

 

ลูกไล่คนนึงที่ทนมองดูอยู่ต่อไปไม่ไหวเอ่ยขึ้นพยายามจะหยุดจิเซล แต่ก็ถูกทำให้เงียบไปผ่านแววตาจ้องเขม็งอย่างเงียบงันเพียงครั้งเดียว

และแล้วจิเซลก็ย่อตัวลงนั่งข้างๆครอสที่หมดแรงแน่นิ่งไม่ไหวติง ใช้มือกระชากผมสีม่วงอ่อนขึ้นมา ก่อนจะ

 

“ เฮ้ย สัญญากับฉันซะ ว่าจะยอมออกจากโรงเรียนไปแต่โดยดี แล้วก็จะไม่พูดละเมอเพ้อพกว่าจะเป็นนักผจญภัยอีกเป็นครั้งที่สองน่ะ ถ้ายอมสัญญา แกจะไม่ต้องเจ็บตัวมากไปยิ่งกว่านี้แล้วนะเว้ย? ”

 

กล่าวเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงเหมือนข่มขู่ แต่ครอสกลับเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่แหบพร่า

 

“ ไม่…เอา….ผม…..จะเป็นนักผจญภัยแบบคนคนนั้น…… ”

“ ……….อ๋อเหรอวะ ”

 

สีหน้าอารมณ์พลันเหือดหายไปจากหน้าของจิเซล

 

“ งั้นก็จะขอใช้แก เป็นแท่นทดสอบสกิลไปจนกว่าจะเปลี่ยนใจก็แล้วกัน ”

 

จิเซลเหวี่ยงบัสตาร์ดซอร์ด ดิ่งตรงลงมาอัดใส่ครอสที่กองอยู่เหนือพื้น—–เป็นในจังหวะวินาทีนี้เอง

 

“ ทำอะไรกันอยู่หรือ? ”

 

ที่เสียงอันงดงามและเสนาะหู พลันดังก้องขึ้นราวกับห้ามปรามการกระทำสุดป่าเถื่อนของจิเซล

พริบตานั้น ทุกคนในสถานที่นั่นต่างก็พากันตกตะลึงราวกับเวลาถูกหยุด

โดยเฉพาะครอสนี่แหละที่ตกตะลึงมากยิ่งกว่าใครๆ ถึงกับลืมความเจ็บปวด แหงนหน้าจ้องมองตรงขึ้นไปยังเจ้าของเสียงนั้นเลย

มองขึ้นไปยังเส้นผมสีเงินบริสุทธิ์ที่ปลิวไสว—มองขึ้นไปยังสาวน้อยผู้ดูประดุจดั่งดาบเลอค่าหนึ่งเล่ม เอลิเซีย ราฟาแกลิออน คนนั้นน่ะ

 

“ ……..แหม่ตายจริงๆ นั่นมันท่านผู้สืบสายเลือดของผู้กล้านี่นา ไม่ทราบว่ามาทำอะไรอยู่ที่นี่เหรอคะ? ”

 

ในระหว่างที่เหล่าลูกไล่กำลังกลัวหัวหดกันอยู่ มีเพียงจิเซลคนเดียวเท่านั้น ที่ยังคงความมั่นใจยิงคำถามย้อนกลับไปใส่เอลิเซีย

 

“ ว่าจะมาทักทายผู้อำนวยการซาริเอร่าอีกครั้ง กับทำเรื่องเข้าเรียนอย่างเป็นทางการ แล้วก็ อยากจะหาที่โล่งๆอยู่คนเดียวซักระยะ …….แล้ว พวกเธอล่ะทำอะไรกันอยู่หรือ? ”

“ ก็เปล่านี่คะ? แค่กำลัง โน้มน้าว ไอ้สวะที่เป็นแค่ <<ไร้อาชีพ>> แท้ๆแต่ดันฝันยิ่งใหญ่อยากจะเป็นนักผจญภัยให้หลาบจำมันก็เท่านั้น ”

“ แล้วการโน้มน้าวนั่นมันจำเป็นต้องใช้ความรุนแรงด้วยหรือ? ”

 

เอลิเซียกล่าวขึ้นอย่างเงียบเชียบ พลางเอื้อมมือไปจับฝักดาบที่ห้อยอยู่กับสะเอว

 

“ ……….ชิ ”

 

หากเป็นระดับอาชีพสูงสุดแล้วละก็ ขอแค่ได้ยินเสียงหรือสัมผัสเค้าลางได้ จะทราบรายละเอียดเบื้องลึกหนาบางของเหตุการใช้ความรุนแรงครั้งนี้ตั้งแต่ต้นจนจบเลยก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร

คงเห็นว่ามาถึงขั้นนี้ น่าจะกลบเกลื่อนไม่ไหวแล้วกระมัง จิเซลจึงหันไปสบตากับเหล่าลูกไล่ ก่อนจะ

 

[อย่าคิดว่าจะรอดตัวเชียวนะ ไอ้ครอส 0 ตลอดศก]

 

จ้องเขม็งส่งสายตามองครอสราวกับจะสื่อเช่นนั้น ว่าแล้วพวกจิเซลก็ก้าวตรงไปยังทางเดินฝั่งตรงข้ามด้วยฝีเท้าที่ดังสนั่นรุนแรง

ส่วนครอสที่เฝ้าดูบทสนทนาของทั้งสองตั้งแต่ต้นจนจบ และกำลังจ้องมองขึ้นมายังเบื้องบนด้วยหน้าตาเซ่อซ่าเหมือนจะสื่อว่า “ นี่ผมฝันไปรึเปล่า? ” นั้นก็

 

“ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ”

“ …………..เอ๊ะ? ”

 

พอเห็นเอลิเซียที่หันหน้าลงมาสบสายตากับตนเองที่กองอยู่กับพื้น พร้อมกับยื่นมือเข้ามาช่วยแล้ว ครอสก็เข้าใจได้ในที่สุดว่าเรื่องทั้งหมดมันคือความจริง

แล้วก็รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในสภาพน่าสมเพชดูไม่ได้สุดๆในจังหวะเดียวกัน เล่นทำเอาถึงกับหน้าแดงแจ๋เลย

 

“ เอ๊ะ อ่า มะ ไม่เป็นไรครับ! สบายมาก ไม่เป็นอะไรเลยซักนิดเดียวครับกะอีแค่นี้! ”

 

ไม่ยอมรับมือของเอลิเซีย ฝืนลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองโดยเมินเฉยต่อความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วร่าง

แต่ภายในหัวของครอสนั้นยังคงเปี่ยมล้นไปด้วยความโกลาหลครั้งยิ่งใหญ่

ซึ่งมันก็คงช่วยไม่ได้หรอก

ก็สาวน้อยที่เขาเฝ้าหลงใหลชื่นชมมาตลอดจนถึงตอนนี้—-ความเป็นจริงอันยากยิ่งที่จะเชื่อเช่นนั้น มันมากองอยู่ต่อหน้าเขาเลยนี่นา

แถมยังแสดงสารรูปดูไม่ได้จนถูกสาวน้อยคนนั้นช่วยเหลือเอาไว้อีกรอบอีก เกิดกลายเป็นความอับอายที่หนักหน่วงเกินจะทานทนไหว  

หนำซ้ำภายใน 4 ปี สาวน้อยคนนั้นเค้ายังเติบโตขึ้นกลายเป็นสาวงามระดับละสายตาออกห่างไม่ได้เลยด้วยอีกต่างหาก แค่เห็นเธอมายืนอยู่เบื้องหน้าแบบนี้ก็เพียงพอจะทำให้แก้มของครอสแดงแจ๋ขึ้นมาได้แล้ว

จนตอนนี้ครอสชักมึนๆงงๆไม่รู้อะไรเป็นยังไง ร่ายคำพูดที่โผล่ขึ้นในหัวออกมารัวๆอย่างเดียว

 

“ ขะ คือว่า ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมเอาไว้! คือ เอ่อ ไม่ใช่แค่ในวันนี้อย่างเดียวนะ อาจจะลืมไปแล้วก็ได้ แต่จริงๆแล้วคือว่าผม เคยถูกคุณช่วยเอาไว้เมื่อนานมาแล้วน่ะครับ…..แล้วตั้งแต่นั้น ตั้งแต่นั้นมาก็ ฝะ ฝันอยากจะเป็นนักผจญภัย แบบคุณ  มาตลอดเลย…… ”

 

โอ้ยโธ่เอ้ย! อะไรพรรค์นี้พูดให้คุณเอลิเซียฟังไปก็ไม่ได้อะไรซะหน่อยนี่นา……!

….แม้ในมุมหนึ่งของหัวจะคิดเช่นนั้น แต่ครอสที่สับสนงุนงงก็ได้แต่ปล่อยความคิดที่ฝังวนเวียนอยู่ภายในหัวตลอดเวลา 4 ปีออกมาเพียงอย่างเดียว เป็นในจังหวะนั้นเอง

 

“ ………อ๋อ ที่พูดนั่น เธอพูดออกมาจากใจจริงเลยสินะ ”

 

ฉับพลันดังกล่าว

น้ำเสียง และสีหน้าของเอลิเซีย พลันแปรเปลี่ยนดูเย็นชาขึ้นมาอย่างสุดขั้ว

 

“ ฉันไม่ใช่ <<ธีฟ>> (จอมโจร) หรอกก็จริง แต่เสียงมันสะท้อนอยู่ตามทางเดินเลยได้ยินชัดเลยน่ะ ไม่ใช่แค่ที่เธอคุยกับเด็กที่ดูออกเกเรคนนั้นเพียงอย่างเดียว แต่ได้ยินไปถึงตอนที่เธอคุยกับผู้อำนวยการซาริเอร่าด้วย ได้ยินทั้งหมดเลย ”

“ เอ๊ะ………? ”

 

เอลิเซียที่เปลี่ยนโฉมไปทำเอาครอสถึงกับหยุดชะงัก และในพริบตาให้หลัง

 

 

“ <<ไร้อาชีพ>> น่ะ จะไปมีทางเป็นนักผจญภัยได้ยังไงกันล่ะ ”

 

 

“ …………..เอ๊ะ? ”

 

คำพูดอันเยือกเย็นประดุจน้ำแข็งที่ถูกยิงออกมาจากปากของสาวน้อยที่เฝ้าหลงใหลศรัทธากว่าใครๆ มันเสียดแทงฝังลึกเข้าไปในอกของครอส และราวกับเป็นการไล่ต้อนครอสให้จนมุม เสียงของเอลิเซียก็พลันดังก้องขึ้นต่อ

 

“ คนเราทุกคนต่างก็มีสิ่งที่ได้ติดตัวมาตั้งแต่เกิดอยู่ และสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดนั่นเองจะเป็นตัวตัดสินทุกอย่าง แม้แต่เด็กเล็กๆก็ยังรู้กันเลยไม่ใช่หรือ ว่านั่นล่ะคือระบบการทำงานของโลกใบนี้น่ะ หากสามารถใช้ความพยายามเปลี่ยนแปลงได้ ก็แสดงว่าสิ่งนั้นมันอยู่ในขอบข่ายที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ตอนแรกสุดแล้ว เป็นสามัญสำนึกที่ไม่ว่าใครต่างก็รู้กันใช่ไหม? ”

 

 

และแล้วเอลิเซียก็ใช้มือขวาโอบร่างตัวเองเอาไว้พลางก้มหน้า ก่อนจะพึมพำออกมาด้วยเสียงอันเบาบางระดับที่ครอสฟังไม่ได้ยิน

 

“ ……..หลักฐานที่เห็นได้ชัดๆเลยก็ตัวฉันนี่ไงล่ะ ขนาดตัวฉันที่ถูกยกย่องสรรเสริญว่าเป็นผู้สืบสายเลือดของผู้กล้าอะไรนั่น ก็ยังไม่มีอิสระที่จะมีชีวิตอย่างที่ใจอยากเลย ”

 

แล้วหลังจากที่เงยหน้าขึ้นมาจ้องตาของครอสที่ผงะอยู่ เอลิเซียก็พลันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและชัดเจน

 

“ ถ้าเข้าใจแล้ว ก็หัดยอมรับชะตากรรมของตัวเองซะเถอะนะ เอาแต่ใจหวังอะไรเกินตัวไป ก็มีแต่จะทำให้คนรอบข้างลำบากเท่านั้นแหละนะ ”

 

และแล้วเอลิเซีย ก็หันหลังให้กับครอส ราวกับเป็นการถีบหัวส่งอย่างไม่เหลือเยื่อใย

 

“ ………..ครั……..บ…….. ”

 

ครอสที่ถูกทิ้งอยู่กลางทางเดินเพียงคนเดียว พลันปล่อยเสียงที่เหือดแห้งพร่ามัวไปหมดออกมาจากลึกๆในลำคอ

ไม่ใช่การโน้มน้าวที่อิงเหตุผลและเป็นขั้นเป็นตอนเหมือนผู้อำนวยการซาริเอร่า

ไม่ใช่การบังคับข่มขู่ด้วยกำลังและความรุนแรงเหมือนจิเซล

ก็แค่บทสนทนาสั้นๆ

หากมองดูเนื้อในใจความ สิ่งที่พูดออกมาก็คงไม่ต่างอะไรกับสองคนก่อนหน้ามากนักหรอก

ทว่า——-

อารมณ์ความรู้สึกอันมืดมิดของสาวน้อยที่เฝ้าหลงใหลชื่นชมมาตลอด ถ้อยคำวาจาอันไร้ปรานีของเธอผู้นั้น และความเป็นจริงที่กระแทกอัดเข้ามากลางเบ้าหน้า——ทำให้ครอส ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองหักกร่อนแตกสลายพังทลายลง เป็นครั้งแรก

 

“ ……..อุ…….อะ…….. ”

 

น้ำตาที่พรั่งพรูออกมาไม่ยอมหยุด พลันร่วงหล่นซึมหายเข้าไปในทางเดินอันไร้ซึ่งผู้คนอย่างเงียบเชียบ

 

 

ตั้งแต่นั้นมา เวลาผ่านไปนานมากขนาดไหนแล้วนะ

 

“ ……..ฮือ…….เฮ่อ……..ต่อจากนี้ไปจะเอายังไงดีล่ะผม…… ”

 

จากตอนนั้นมา หัวมันก็ไม่ยอมทำงาน ครอสก้าวเท้าหนีจากโรงเรียนออกมาเดินเร่ร่อนโซซัดโซเซไปตามเมือง แต่วันนี้ก็เป็นวันงานเทศกาลเก็บเกี่ยว ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่บรรยากาศสดใสเปี่ยมสุขเต็มเมืองไปหมด ไม่เหลือที่ให้ครอสหยุดพักกายและใจได้เลย

พอเดินหลบหลีกบรรยากาศของงานเทศกาลไปซักพัก เท้าของเด็กหนุ่มก็พลันก้าวตรงไปยังตรอกถนนอันเปลี่ยวผู้คนโดยอัตโนมัติ

และสถานที่ซึ่งครอสเดินทางมาถึง ก็คือตรอกถนนเล็กๆที่ยืดออกมาจากถนนใหญ่ อันเชื่อมติดอยู่กับเขตพื้นที่ซึ่งถูกเรียกว่าเขตฟื้นฟูปรับสภาพเมือง

เขตฟื้นฟูปรับสภาพเมืองนั้นก็คือ เขตศูนย์รวมบ้านพักโรงแรมสำหรับใช้รองรับเป็นที่พักให้กับเหล่านักผจญภัยที่จะแห่มาอาศัยในเมืองเนื่องในโอกาสที่ผู้สืบสายเลือดของผู้กล้ามาเข้าศึกษาที่นี่ พวกตึกอาคารที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยที่ผู้กล้ารุ่นก่อนเข้ามาศึกษาได้ถูกโล๊ะทำลายทิ้งไปจนหมดสิ้นแล้ว ปัจจุบันตรงนี้จึงถูกใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างโรงแรมใหม่ๆหรือพวกอาคารที่จดสัญญาเช่าเป็นระยะยาวไปแทน

แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันเทศกาลเก็บเกี่ยว จึงไม่มีงานก่อสร้าง กลายเป็นเขตเดียวภายในเมืองที่เปลี่ยวไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว

พื้นที่ก่อสร้างนั้นได้ถูกปิดไว้ไม่ให้คนนอกสามารถเข้าไปได้ แต่ตรอกเล็กๆที่เชื่อมระหว่างถนนใหญ่กับเขตฟื้นฟูปรับสภาพเมืองนี้ก็เปลี่ยวไร้ผู้คนไม่แพ้กัน ครอสชำเลืองมองความคึกคักครื้นเครงตรงถนนใหญ่ด้วยหางตา ล้มตัวลงนั่งกับพื้นตรอกถนนที่มืดสลัว แล้วจากนั้นจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

 

“ ถึงเค้ารับปากว่าจะช่วยหาที่ทำงานให้ก็เถอะ แต่ก็ไม่น่าจะมีใครที่ไหนอยากจะจ้างคนอย่างผมเข้าไปทำงานหรอก……. ”

 

บนโลกใบนี้ที่ไม่ว่าใครต่อใครต่างก็มี <<คลาส>> และเลเวลเหมือนกันหมดนั้น สถานะเลเวล 0 นี่ต่อให้ไม่ได้จะเป็นนักผจญภัยก็ยังสาหัสร้ายแรงมากอยู่ดี ยกตัวอย่างเช่นถ้าทำงานเป็นพนักงานเคาน์เตอร์ต้อนรับแขก ก็ไม่ใช่ว่าแค่นั่งจดบัญชีอย่างเดียวแล้วจะพอ นอกจากต้องช่วยทำความสะอาดแล้วยังต้องช่วยไปซื้อของนู่นนี่ด้วย บางทีอาจจะถูกวานให้ไปช่วยตวงน้ำมาเก็บอีกด้วยซ้ำ หรือก็คือต้องเผชิญกับงานที่ต้องใช้พละกำลังเรี่ยวแรงเป็นกิจวัตรนั่นเอง และสิ่งที่สำคัญต่องานใช้แรงเป็นอย่างยิ่งเลยก็คือสเตตัส หากเรี่ยวแรงน้อย งานที่ทำได้ก็จะลดหดหายไปเรื่อยๆ ประสิทธิภาพการทำงานก็จะตกลงอีก จะทำให้ปริมาณงานที่สามารถทำได้ภายในหนึ่งวันลดน้อยลงอย่างแน่นอน

ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ ฉะนั้นใครที่ไหนมันจะชอบของแปลกมากขนาดที่ใจกล้าบ้าบิ่นพอจะจ้างไอ้กากเดนสวะที่สเตตัสทุกช่องเป็น 0 แบบนี้ไปทำงานกันล่ะ

ถ้าจะจ้างครอสแล้วละก็ สู้จ้าง <<นักดาบ>> ที่เป็นนักผจญภัยไม่ได้ หรือไม่ก็เลือกที่จะไม่เป็นมาแทนซะยังจะดีกว่า แบบนั้นก็ใช้งานพ่วงให้เป็นบอดี้การ์ดได้ด้วยสะดวกยิ่งขึ้นไปอีก  <<ชาวนา>> เองก็มีเรี่ยวแรงกำลังทำงานได้ดีกว่า <<ไร้อาชีพ>> เยอะแยะ—-ให้ว่ากันแล้ว ถึงแม้ <<ชาวนา>> จะมีสเตตัสต่ำมากเหมือนกัน แต่ก็มีสกิลสารพัดประโยชน์ที่ใช้ในการบุกเบิกขุดเหมืองสร้างทางได้มากมาย นับว่าเป็นอาชีพที่สำคัญและน่ายกย่องอาชีพหนึ่งเลย ไม่สมควรจะเอามาเปรียบเทียบกับอีแค่ <<ไร้อาชีพ>> ที่ขนาดจะเรียนสกิลดีๆยังทำไม่ได้เลยซักนิด

 

“ …….เฮ่อ กลุ้มจริงจังเลยแฮะ ต่อจากนี้ไปจะทำยังไงดีนะ…….. ”

 

ยอมหันหน้าเข้าเผชิญกับความเป็นจริงตามคำพูดของสาวน้อยที่หลงใหลชื่นชมมาตลอดโดยดีแล้ว แต่ความเป็นจริงดังกล่าวมันกลับช่างมืดมน ตันไปหมดทุกทิศทางโดยสมบูรณ์เลย

——-มันคือ ช่วงจังหวะที่ครอสกำลังกลัดกลุ้มอยู่นั่นเอง

ที่พลันเกิดเหตุแปลกประหลาดขึ้นกับเมืองแห่งนี้

 

“ …………..เอ๊ะ? ”

 

ตอนแรกสุด ก็เป็นแค่เหตุประหลาดขนาดเล็กๆเท่านั้น

เสียงผืนดินสั่นเบาๆที่ถูกเสียงหัวเราะและเสียงฝีเท้าที่ดังก้องเซ็งแซ่มาจากถนนใหญ่จากทั่วทุกทิศกลบมิดหมด ทว่า การสั่นสะเทือนนั่น แม้จะเพียงนิดๆ แต่มันก็ค่อยๆขยายทวีความรุนแรงขึ้น อย่างแน่นอน อย่างชัดเจน—-

 

“ อะ….ไรเนี่ย…..!? ”

 

เสียงแผดร้องกู่ก้องกังวานดังสนั่นขึ้นมา ร้านรวงที่ตั้งอยู่โค่นล้มหมดท่า พื้นหินแตกร้าวเป็นรอย ตึกอาคารที่ตั้งอยู่ติดกับถนนใหญ่ต่างก็ลั่นเสียงประหลาดดังเอี๊ยดอ๊าดส่อแววอัปมงคล  

การสั่นสะเทือนที่ค่อยๆยกระดับความรุนแรง มันใหญ่โตขึ้นมากระดับที่ทำให้เหล่าผู้คนบนถนนใหญ่อดทนฝืนยืนอยู่ต่อไปไม่ไหว และไม่นานนัก เสียงก้องกัมปนาทระเบิดระเบ้อที่แตกต่างไปจากเสียงสั่น ก็ดังขึ้นสะท้านแก้วหูของเหล่าปวงประชา ตามมาด้วยเสียงร้องคำรามที่ทำให้ท้องฟ้าต้องสั่นคลอนประดุจดั่งวันสิ้นโลก

และแล้ว สิ่งที่ทะลวงผืนดินขึ้นมาจากใจกลางของเขตฟื้นฟูปรับสภาพเมืองนั่น….ตัวตนที่ปรากฎตัวโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นโลกเรื่อยๆไม่มีท่าทีจะหยุดนั้น ———-ก็คือมหันตภัยที่มีรูปทรง อวตารแห่งการเข่นฆ่าทำลายล้าง ที่ต่อให้คิดยังไงมันก็ไม่น่าจะโผล่มาที่นี่โดยไร้ซึ่งวี่แววบอกเหตุล่วงหน้าได้เลย

 

 

สัตว์ประหลาดที่มีขนาดมหึมามากยิ่งกว่ากำแพงที่ห่อหุ้มปกคลุมรอบเมืองเอาไว้ซะอีก พลันปลดปล่อยเสียงร้องแรกเกิดอันแสนน่าหวาดผวาอยู่เหนือหัวของพวกครอส  

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset