เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 14 เริ่มต้นการฝึก! (5)

และตั้งแต่วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ครอสได้สกิลมาครอง การฝึกวิชามันก็ยิ่งดำเนินไปอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้นอีก

 

“ เพ่งสติเอาให้การเคลื่อนไหวของร่างกายมันเชื่อมกันกับกระแสของพลังเวทมากกว่านี้อีก …….เอ้อ เอ้อใช่เลยแบบนั้นแหละ! ทีนี้ก็ลองเพ่งสติจับสัมผัสแบบเมื่อกี้แล้วใช้ <<ฟันแหวก>> ต่อเนื่อง 100 ครั้งซะ แต่อย่าใช้แบบส่งเดชนะ ก่อนใช้ทุกครั้งต้องเพ่งสติโฟกัสสมาธิให้ดีๆแล้วทบทวนตามที่ฉันสอนไปด้วย คราวนี้เราไม่เน้นอานุภาพแต่จะเน้นไปที่ความเร็วแทน ถ้าทำครบแล้วเดี๋ยวมาสู้ประลองฝีมือกับฉันต่อเหมือนเคย…..เอ้อ เอาเป็นว่าทุ่มสุดตัวใส่เต็มกำลังไปเลย ไม่ต้องไปกลัวว่าพลังเวทจะหมดก๊อกหรอก! ”

“ ครับ! ”

 

เอาแต่ตะบี้ตะบันฝึกเพื่อยก “ระดับความชำนาญ” ของสกิลที่ปรากฎขึ้นมา โดยใช้การต่อสู้ประลองฝีมือกับลีโอเน่เป็นศูนย์กลาง

สกิลนี่มันก็มีความหมายตรงตามชื่อ หมายถึงเทคนิคพิเศษที่จะทำงานโดยแลกกับพลังเวทนั่นเอง

เป็นระบบที่อยู่แยกออกมาจากเลเวลหรือสเตตัสของผู้ใช้อีกทีหนึ่ง กล่าวคือยิ่งฝึกปรือสกิลมากเท่าไหร่ พวกอานุภาพ ความเร็ว คอสท์ (ประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังเวทต่อการเรียกใช้งานสกิล) นี่ก็จะยิ่งเพิ่มสูงมากขึ้น แล้วจึงจะถูกจัดแสดงอยู่บนสเตตัสเพลทเป็น Lv (ต่อให้มีระดับความชำนาญของสกิลเท่ากัน แต่ฝั่งที่มีสเตตัสมากกว่าก็ย่อมที่จะมีอานุภาพและความเร็วสูงกว่าเป็นแน่แหงอยู่แล้ว)

ระดับความชำนาญและจำนวนสกิลที่ถือครองอยู่นั้นจะมีผลต่อความแข็งแกร่งของนักผจญภัยอย่างใหญ่หลวง ว่ากันว่านักผจญภัยที่คิดจะฝึกฝนยกฝีมือตัวเองให้สูงขึ้นมานั้น จะเพ่งเน้นให้ความสำคัญกับสกิลในระดับเดียวกันไม่ก็มากยิ่งกว่าเลเวลของตนเองเสียอีก

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ส่วนนึงก็คงเป็นเพราะว่าหลักการทำงานมันต่างกับสเตตัสที่จะเติบโตผ่านการเลเวลอัพเพียงอย่างเดียว ระดับความชำนาญของสกิลเนี่ยสามารถยกระดับได้ผ่านการหมั่นฝึกฝนใช้งานบ่อยๆ กล่าวคือเป็นวิธีการเดียวที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นได้โดยไม่ต้องออกไปสู้เสี่ยงชีวิตกับพวกมอนสเตอร์เพื่อเก็บเกี่ยวค่าประสบการณ์นั่นเอง

ยิ่งฝึกปรือสกิลมาก ก็จะทำให้ล่ามอนสเตอร์ระดับสูงได้ง่ายยิ่งขึ้น แล้วก็จะทำให้เลเวลอัพได้ง่ายยิ่งขึ้นตามไปด้วย หากเลเวลอัพแล้ว นอกจากสเตตัสจะสูงขึ้น ระดับความชำนาญมันก็จะเติบโตเร็วมากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยด้วย ทำให้มีสถานะพร้อมที่จะเข้าท้าทายประมือกับมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมได้อีก

เนื่องจากสามารถฝึกฝนยกระดับได้โดยไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงอันตราย รวมทั้งยังเป็นตัวเริ่มต้นวงจรดีเลิศดังที่ได้กล่าวไปก่อนหน้าอีกต่างหาก ทำให้ระดับความชำนาญของสกิลกลายเป็นเชือกช่วยชีวิตของเหล่านักผจญภัยไปโดยปริยาย ดูจากที่โรงเรียนนักผจญภัยบัสเคิลเบียร์ทุ่มเทงบประมาณและบุคลากรอย่างมหาศาลไปกับคลาสเรียนสกิลผ่านการฝึกปฎิบัติ ก็เป็นตัวพิสูจน์ถึงความสำคัญของสกิลได้ชัดเจนมากพอแล้ว

ทว่า ถึงแม้การฝึกฝนสกิลนี้จะมีข้อดีอันยิ่งใหญ่คือไม่มีอันตรายต่อชีวิต แต่มันก็มีข้อจำกัดอันใหญ่ยิ่งที่ไม่ว่าใครๆต่างก็ต้องเคยประสบพบเจอมากับตัวหมดอยู่ด้วยอีกเช่นกัน——พลังเวทหมดก๊อกนั่นเอง

ทุกคนต่างก็มีตัวจำกัดว่าในวันๆนึงจะสามารถใช้สกิลได้ทั้งหมดกี่ครั้ง เพราะขีดจำกัดนี่เอง ทำให้เหล่านักผจญภัยที่อยากจะฝึกใจจะขาดแต่ก็ทำไม่ได้เนื่องจากมีพลังเวทไม่พอ ต้องกลั้นฝืนกลืนน้ำตาอย่างเจ็บใจไปทั้งๆอย่างนั้น มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ต่อให้คิดจะดื่มเมจิคโพชั่น (ยาฟื้นพลังเวท) ก็เถอะ แต่หากดื่มมากเกินไปมันก็ไม่ดีต่อร่างกาย หนำซ้ำยาขวดหนึ่งยังมีราคาสูงมากอีกต่างหาก ปัจจัยทั้งหลายนี่เองคือตัวการที่ทำให้เหล่านักผจญภัยจำนวนมากไม่อาจรอดพ้นเป็นอิสระจากโซ่ตรวนที่มีชื่อว่าพลังเวทหมดก๊อกนี้ได้

แต่ ไม่ว่าอะไรก็มีข้อยกเว้นเหมือนกันทั้งนั้น

 

“ เอ้าจ้~าครอสคุง  ถึงเวลา <<เมจิคบาซ่าร์>> (โอนถ่ายพลังเวท) แล้วน้าา~♥ ”

“ อุ ขุ่ก…….! ”

 

สัมผัสอันร้อนแรงที่ถูกส่งเข้ามาทำให้ครอสชักดิ้นชักงอ และเทโลเมียร์ที่เฝ้าดูสภาพของเด็กหนุ่มอยู่ก็สั่นเทิ้มร่างกายไปด้วยความตื่นเต้น ก่อนที่จะกระหน่ำทำการถ่ายโอนพลังเวท พลังกาย และกำลังใจให้ไปเป็นปริมาณมากมายมหาศาล

การฝึกสกิลนับร้อยครั้ง พันครั้งภายในเวลาเพียงวันเดียว ที่สามารถเกิดเป็นจริงขึ้นมาได้เนื่องจากถูก <<ดาร์คพรีส ไฮเอนด์>> ระดับแกร่งสุดของโลกช่วยส่งพลังเวทที่เกือบๆจะถึงหลักอนันต์มาให้

แถมยังได้รับการสั่งสอนแบบละเอียดยิบจากอาจารย์ที่ฝึกฝนสกิลสายนั้นจนชำนาญถึงขีดสุด

ปัจจัยดังกล่าวมันผสานเข้ากับความมุ่งมั่นทุ่มเทพร้อมจะดูดซับความรู้ที่ถูกสอนอยู่เบื้องหน้าทั้งหมดของเด็กหนุ่มได้อย่างลงตัว

ผ่านไปราว 10 วันหลังจากที่มีสกิลปรากฎขึ้นเป็นครั้งแรก

เด็กหนุ่มผู้ถูกเรียกขานว่าเป็น <<ไร้อาชีพ>> ได้ถลำตัวเองจมดิ่งลงไปภายในสภาพแวดล้อมที่เพียบพร้อมฟุ่มเฟือยเป็นอันดับหนึ่งของโลก พัฒนายกระดับสกิลขึ้นมาได้ด้วยความเร็วแบบก้าวกระโดด

 

 

<<เสริมกำลัง Lv2  (+12)>>  <<เสริมป้องกัน Lv2  (+11)>>  <<เสริมความว่องไว Lv2  (+12)>>

<<ฟันแหวก Lv3>>  <<หลบหลีกฉุกเฉิน Lv1>>  <<เคลือบแข็งร่างกาย (เล็ก) Lv1>>

<<บัฟสมรรถภาพร่างกาย (เล็ก) Lv1>>  <<ตรวจจับพลังเวทในร่าง Lv1>>  <<ควบคุมพลังเวทในร่าง Lv1>>

 

 

“ สะ สุดยอดเลย มีสกิลโผล่มาตั้งขนาดนี้……! แถมยังอัพให้ <<ฟันแหวก>> ขึ้นมาเป็น Lv3 ได้ภายในเวลาแค่ 10 วันเองอีกต่างหาก…….! ”

 

ครอสที่เปิดสเตตัสเพลทขึ้นมาดูระหว่างช่วงพักฝึกนั้น ถึงกับดวงตาส่องประกายแวววาวเลยทีเดียวเชียว

ส่วนลีโอเน่กับเทโลเมียร์ที่จ้องมองลงมายังสเตตัสเพลทพลางขนาบข้างอยู่เหนือไหล่ครอส ก็พลันถอนลมหายใจออกมาอย่างพึงพอใจ

 

“ …….อะไรกัน <<ไร้อาชีพ>> ก็โตเร็วใช้ได้นี่นา ”

“ เน้อ~ นึกว่าจะลำบากมากกว่านี้เยอะเลยแท้ๆนะ ”

 

นอกจากพวกสกิลเสริมสเตตัสที่จะเติบโตเร็วในช่วงแรกๆที่ปรากฎขึ้นมาแล้ว , <<ฟันแหวก>> อันเป็นวิชาดาบที่ปรากฎขึ้นมาอันแรกสุดนั่นก็ขึ้นมาเป็น Lv3  แล้วด้วย ผสานเข้ากับสกิลสายอาชีพระยะประชิดที่ปรากฎขึ้นมาหลายอันหลังจากที่ผ่านการต่อสู้ประลองฝีมืออีก……เรียกได้ว่าการฝึกฝนดำเนินไปได้สวยงามมากๆเลยเชียว

<<เคลือบแข็งร่างกาย>> ที่ทำให้พลังป้องกันต่อการโจมตีกายภาพสูงขึ้นชั่วขณะ , <<บัฟสมรรถภาพร่างกาย>> ที่ช่วยเร่งระดับกำลังและความว่องไวได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ , <<หลบหลีกฉุกเฉิน>> ที่จะทำการกึ่งๆฝืนบิดร่างกายให้หลบหลีกพ้นจากวิถีการโจมตีของศัตรูได้แบบหวุดหวิด , <<ตรวจจับพลังเวทในร่าง>> และ <<ควบคุมพลังเวทในร่าง>> อันเป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้ใช้สามารถรับรู้สัมผัสและควบคุมพลังเวทที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างได้มากระดับไหน……ความหลากหลายของสกิลที่ปรากฎขึ้นมานั้นก็มีสมดุลเหมาะทั้งรุกและรับ ถือว่าไม่เลวเลยสำหรับสกิลล็อตแรก

เคยได้ยินว่า <<ไร้อาชีพ>> นั้นนอกจากจะเรียนสกิลอะไรแทบไม่ได้แล้ว ยังยากที่จะฝึกยกระดับความชำนาญอีกต่างหาก แต่ไม่เห็นจริงอย่างที่ว่าเลย………..คงเพราะว่าครอสเป็นเผ่าพันธุ์อายุสั้นที่มีระดับการเติบโตรวดเร็ว กับพวกลีโอเน่ช่วยกันรุมยัดวิธีฝึกแบบโคตรโกงให้รัวๆนี่ละมั้ง ปัจจัยทั้งหลายแหล่มันเลยผสานกันอย่างลงตัวจนก่อให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้ขึ้นมา

ต่างกับลูด์มิร่า ลีโอเน่กับเทโลเมียร์ไม่เคยมีประสบการณ์ฝึกสอนลูกศิษย์มาก่อน จึงไม่มั่นใจว่าความสามารถในการฝึกสอนของพวกตนมันจะมีผลใช้ได้จริงในระดับไหน ฉะนั้นในตอนแรกก็เลยคิดว่าอาจจะต้องใช้เวลาฝึกครอสเป็นสิบๆยี่สิบปีเลยก็ได้…….แต่เห็นว่าโตเร็วแบบนี้แล้วก็ยิ่งดีใหญ่

 

“ อืม ถ้าแบบนี้ละก็………เฮ้ยครอส! ”

 

ลีโอเน่พลันส่งเสียงทักเข้าใส่ครอสที่กำลังเนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความซาบซึ้งหลังเห็นสเตตัสเพลท

 

“ เร็วกว่าที่วางแผนเอาไว้มากเลยก็จริงนะ แต่ถ้าแบบนี้ละก็ไม่ใช่ปัญหาแน่ —–เรามาเริ่มฝึกกันแบบจริงๆจังๆเลยดีกว่า เพื่อไปให้ถึง เป้าหมายนั่น อะ ”

“ ฮึก! พูดจริงเหรอครับ!? ”

 

เป้าหมายนั่น——ก็คือสิ่งที่ลีโอเน่ถามออกมาได้จากครอส ในระหว่างการฝึกของวันถัดมาหลังจากที่สกิลปรากฎขึ้นเป็นครั้งแรก

 

 

[เป้าหมายระยะสั้น….เหรอครับ?]

[เออ ถ้ามีเป้าหมายที่ละเอียดชี้ชัดแล้วก็สามารถทำจริงๆได้ แบบนั้นมันจะช่วยให้คิดแนวทางการฝึกได้ง่ายขึ้นอะนะ แล้วก็น่าจะทำให้มีกะใจอยากฝึกขึ้นมาได้ด้วยไง …….แล้ว แกล่ะมีอะไรที่อยากทำเป็นพิเศษมะ? แบบ มันต้องมีบ้างอยู่แล้วใช่มั้ยอะ อยากจะปราบมอนสเตอร์ตัวนั้นบ้างล่ะ มีคนที่อยากจะซ้อมให้น่วมคาตีนอยู่บ้างล่ะ อะไรเงี้ย]

[อะ เอ่อ……..]

 

เจอกับตัวอย่างที่แสนจะป่าเถื่อนของลีโอเน่เข้าไปแล้ว ครอสก็ถึงกับสะดุ้งนิดๆ แต่แล้วก็เปลี่ยนมาใช้ความคิด

และแล้วก็มีความปราถนาหนึ่งปรากฎขึ้นมาอยู่ภายในอก ทว่า  [อืม แต่แบบนี้มัน]  ครอสกลับลังเลที่จะกล่าวมันออกมาเสียอย่างนั้น แต่ลีโอเน่ก็ไม่ปล่อยให้ท่าทางนั่นหลุดรอดสายตาไปได้ พลันยุให้ครอสพูดออกมาโดยไม่ต้องเกรงใจในทันที

 

[ไม่เป็นไรน่าไม่เป็นไรๆ จะไม่หัวเราะแล้วก็จะไม่ดูถูกด้วย]

[อะ อ่าถ้าอย่างงั้นก็…….]

 

และแล้วครอสที่บิดไปบิดมาอย่างหวาดๆ ก็พลันพูดต่อออกมาว่า

 

[ผมอยากจะ….ลองเข้ารับการทดสอบเพื่อกลับไปเรียนที่โรงเรียนนักผจญภัยน่ะครับ]

[…………กลับไปเรียน?]

[พะ พิลึกจริงๆด้วยสินะครับ ถูกกลุ่มคนที่สุดยอดขนาดนี้เก็บมาเลี้ยงแล้วแท้ๆ ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ฟุ่มเฟือยไม่มีที่ใดเกินขนาดนี้แล้วแท้ๆ……..แต่ผม การได้ร่ำเรียนที่โรงเรียนแห่งนั้นมันเป็นความฝันของผมเลยน่ะครับ……]

 

ก็เป็นสถานศึกษาที่อยู่ใกล้ตัวตลอดมาตั้งแต่ตอน 10 ขวบ ในวันนั้นที่คิดอยากจะเป็นนักผจญภัยอย่างเช่นเอลิเซีย มาจวบจนถึงวันนี้เลยนี่นะ…….แม้เส้นทางนั้นจะถูกตัดขาดไปในวันที่ถูกบีบให้ต้องออกเนื่องจากได้รับประทานคลาส <<ไร้อาชีพ>> นี่มา แต่ถึงกระนั้น—–แม้จะเป็นในตอนนี้ที่ถูกพวกลีโอเน่เก็บมาเลี้ยงดูแล้ว แต่ฝันนั่นมันก็ยังคงมอดไหม้คุกรุ่นอยู่ในอกของเด็กหนุ่มไม่เคยดับมอด

 

[………….]

 

ลีโอเน่ที่ได้ยินความปราถนาของครอส พลันทำสีหน้าจริงจังพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

ครอสที่เห็นท่าทางแบบนั้นเข้า ก็พลัน  [สะ เสียมารยาทจริงๆด้วยสินะครับ! พูดอะไรแบบนี้น่ะ]  พยายามจะแก้ไขสถานการณ์เต็มกำลัง ทว่า  [……..ไม่หรอก ได้อยู่นะไอ้เนี่ย]  ลีโอเน่กลับพยักหน้าให้ด้วยสีหน้าจริงจังสุดขีดเฉยเลยซะอย่างงั้น

 

[ถ้าแกที่เคยถูกไล่ออกมาแล้วครั้งนึงอยากจะสมัครเป็นนักผจญภัยในเมืองนี้ ไม่ว่ายังไงจะช้าหรือเร็วก็จำเป็นต้องฝ่าบททดสอบเพื่อกลับไปรับการศึกษาให้ได้อยู่แล้ว แถมถ้าเอาแต่สู้ประลองฝีมืออยู่กับพวกฉันแบบนั้นเดี๋ยวมีหวังได้ติดเป็นนิสัยแปลกๆแน่ การร่ำเรียนในสภาพแวดล้อมที่มี <<คลาส>> หลากหลายรูปแบบมารวมกันนี่มันก็สำคัญนะ……แถมถ้าเป็นบัสเคิลเบียร์ในตอนนี้ที่มีผู้กล้าอยู่ด้วยแล้วละก็…….]

 

ลีโอเน่พลันตัดช่วงคำพูดอย่างประหลาดอยู่ตรงนั้น ก่อนจะทำตาเป็นประกายอย่างน่าสงสัย

ทว่าครอสที่เห็นว่าความปราถนาของตนถูกยอมรับสนับสนุนเต็มที่นั้น กลับอยู่ในสภาวะกึ่งๆใจเต้นโลดโผน ไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางประหลาดๆของลีโอเน่เลยแม้แต่น้อยนิด…….และแล้วเด็กหนุ่มที่ดีใจสุดขีดก็มุ่งมั่นฝึกฝนเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายระยะสั้นร่วมกันกับพวกลีโอเน่

 

 

 

“ อ่าก็ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการสอบกลับเข้าเรียนแล้ว ที่เราจะต้องทำก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น —–ครอส คงต้องให้แกเรียน เอ็กตร้าสกิล ตัวนึงให้ได้ก่อนละนะ ”

“ เอะ เอ็กตร้าสกิล…….!? ”

 

คำพูดของลีโอเน่ที่ยิ้มอย่างดุดัน ทำให้ครอสรู้สึกตื่นเต้นไปพลางกลืนน้ำลายดังเอื๊อกด้วยความประหม่าไปด้วย

เอ็กตร้าสกิล (สกิลพิเศษ) ——นั่นก็คือรูปแบบหนึ่งของสกิลที่จะได้รับการวิวัฒนาการ ภายหลังจากที่ยกระดับความชำนาญของสกิลขึ้นมาแล้ว

การวิวัฒนาการของสกิลนั้น สามารถจำแนกใหญ่ๆออกได้เป็น 2 รูปแบบ

แบบแรกคือสกิลอัพ

หากยกระดับความชำนาญของสกิลขึ้นมาจนถึง Lv10 อันเป็นระดับสูงสุดแล้ว ก็จะทำให้มีสกิลที่อยู่ในระดับสูงมากยิ่งกว่าปรากฎขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น , <<บัฟสมรรถภาพร่างกาย (เล็ก) Lv10>> วิวัฒนาการกลายมาเป็น <<บัฟสมรรถภาพร่างกาย (กลาง) Lv1>> ….เป็นต้น

และการวิวัฒนาการของสกิลอีกรูปแบบ ก็คือปรากฎการณ์ที่ถูกเรียกว่าสกิลผสาน

หมายถึงการนำเอาสกิลหลากหลายรูปแบบที่มีระดับความชำนาญสูงถึงจุดจุดหนึ่งมาผสมผสานรวมกัน จนเกิดได้ออกมาเป็นสกิลที่ทรงอานุภาพมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง—–โดยสกิลที่ถือกำเนิดขึ้นมาผ่านขั้นตอนนี้แหละจะถูกเรียกขานว่าเป็น เอ็กตร้าสกิล

ถึงแม้จะยังเทียบเท่ายูนีคสกิลไม่ได้ แต่อานุภาพนั้นก็ทรงพลังมากพอตัวเลยทีเดียว

ผลจากการซ้อนทับเอฟเฟคของสกิลผสานมันช่วยฉุดให้อานุภาพยิ่งเพิ่มมากขึ้น เอ็กตร้าสกิลส่วนใหญ่ต่างก็มีพลังทำลายล้างและเอฟเฟคพิเศษรุนแรงเยอะกว่ามากมายนัก ในระดับที่ต่อให้เรียกใช้สกิลเดิมที่เป็นฐานพร้อมกันในทีเดียวก็ยังเทียบชั้นกับใช้เอ็กตร้าสกิลครั้งเดียวยังไม่ได้เลย

แต่ข้อเสียนั้นก็คือ ขั้นตอนการได้รับมันแตกต่างไปจากสกิลอัพที่แค่ฝึกยกระดับความชำนาญไปเรื่อยๆก็จะได้สกิลระดับสูงกว่ามาเองโดยอัตโนมัติแล้ว—–กว่าจะได้เอ็กตร้าสกิลมา มันจำเป็นต้องเข้ารับการฝึกแบบพิเศษและต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะเหม็งตรงกันเป๊ะ พูดได้ว่าระดับการเรียนนั้นยากลำบากมากเลยทีเดียว

เพราะเหตุนี้ เอ็กตร้าสกิลจึงกลายเป็นฉายาบ่งชี้ไปโดยปริยาย บ่งชี้ว่ามีเพียงเหล่านักผจญภัยสุดทรงพลังที่มีพรสวรรค์มากล้นเท่านั้นจึงจะมีอยู่ภายในครอบครอง

รวมทั้งยังเป็นสกิลที่เหล่าชายหญิงซึ่งลุ่มหลงใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักผจญภัยต่างก็ต้องเคยฝันถึงซักครั้งในชีวิตด้วย ขึ้นลิสต์อยู่ในรายการสิ่งที่อยากได้พอๆกับสกิลปรากฎขึ้นก่อนเวลา หรือยูนีคสกิลเลยทีเดียว เพราะแบบนั้นแหละ

 

“ ………ครับ! ขอฝากตัวด้วยนะครับ! ”

 

ครอสจึงทำดวงตาเป็นประกายเหมือนหมาน้อยแสนเชื่อง ยินยอมตกลงเอาด้วยโดยไม่มีพูดขัดใดๆแม้แต่น้อยนิด

และแล้วเด็กหนุ่มก็ถูกลีโอเน่ที่แสยะยิ้มอย่างป่าเถื่อน กับเทโลเมียร์ที่ปั้นยิ้มอย่างน่าสงสัยคอยชักนำ เริ่มต้นฝึกฝนทันทีภายในวันนั้นเลย เพื่อมุ่งเป้าไปสู่การได้กลับเข้าโรงเรียน  

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset