เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 19 สถานการณ์ประหลาด (3)

วันรุ่งขึ้น

หลังจากที่โรงเรียนเลิก ผมก็มายืนหัวโด่คนเดียวอยู่ในลานโล่งหน้าโบสถ์ซึ่งตั้งอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของเมือง….กำลังหันซ้ายหันขวามองไปรอบบริเวณอย่างอยู่ไม่สุข

ลานโล่งหน้าโบสถ์ในช่วงกลางวันนั้นเอ่อล้นเต็มเปี่ยมไปด้วยผู้คนที่มารอนัดแบบเดียวกับผม แล้วก็คลื่นฝูงชนที่กำลังเดินทางจากถนนหลักเส้นนึงไปยังถนนหลักอีกเส้น

และผมนี่ก็คือยุกยิกอยู่ไม่สุขมากกว่าใครๆในหมู่ฝูงชนเลย อารมณ์มันอลหม่านสืบเนื่องมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ทำไมน่ะเหรอ……

 

“ ขอโทษด้วยนะ รอนานไหม? ”

“ ฮ๊าววว!? อ๊ะ ขะ คุณเอลิเซีย!? มะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่….. ”

 

ผมสะดุ้งตัวลอย พลางปล่อยเสียงร้องที่แสนจะน่าสมเพชระดับตัวเองยังอายออกมา

เพราะจู่ๆสาวน้อยผมสีเงินบริสุทธิ์เค้าก็ปรากฎตัวขึ้นมาอยู่เบื้องหน้า เฉกเช่นเดียวกับเมื่อวาน—–ไม่สิ ต่างจากเมื่อวานหน่อย ตรงที่วันนี้ไม่มีกระทั่งเสียงอะไรเฉือนผ่านสายลมเลยด้วยซ้ำ

ผู้สืบสายเลือดของผู้กล้า สาวงามที่ดูราวกับเป็นดาบอันเลอค่าหนึ่งเล่ม คุณเอลิเซีย ราฟาแกลิออน คนนั้นนั่นแหละ

ใช่แล้ว ผมกำลังนัดหมายกับคุณเอลิเซียคนนั้นอยู่แหละ

 

[เธอรู้จักร้าน ส่วนฉันก็เข้าใจว่าเด็กผู้หญิงชื่นชอบรสชาติแบบไหน ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปเลือกด้วยกันซะเลยดีไหม]

 

คุณเอลิเซียเค้าเสนอแบบนั้นมาเมื่อวาน และผมก็ตอบรับไปทั้งๆที่หัวขาวโพลน ตกลงกันว่าหากโรงเรียนเลิกแล้วให้มุ่งหน้าตรงมายังสถานที่นัดพบแห่งนี้แบบทางใครทางมัน แล้วก็กลายเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ

………….ถ้าเกิดไม่ได้ <<เมจิคเดรน>> ของคุณเทโลเมียร์ช่วยเอาไว้ ป่านนี้ผมคงนอนไม่พอขั้นหนักเลยละมั้ง ชัวร์

ประหม่าสุดขีดจนแทบเป็นลมล้มพับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วก็จริง……แต่เชื่อไหมว่าตอนนี้ประหม่าหนักมากยิ่งกว่านั้นอีก ก็เครื่องแต่งกายของคุณเอลิเซียเค้ามันน่ารักสุดๆไปเลยนี่นา

คงเป็นเพราะมีจุดยืนในฐานะผู้สืบสายเลือดผู้กล้าละมั้ง เลยสวมชุดเกราะสีเงินบริสุทธิ์กับดาบสองเล่มติดตัวมาด้วยเพื่อรับมือกับสถานการณ์อันไม่คาดคิด แต่ก็มีสวมเสื้อปอนโชแสนน่ารักทับอยู่เหนือข้างบนนั่นอีกทีด้วยแหละ

สภาพของเค้าในตอนที่สวมผ้าคลุมหัวด้วยแบบนี้ มันดูเป็นเด็กเล็กๆ ขัดกับบรรยากาศสุขุมเยือกเย็นของคุณเอลิเซียยังไงชอบกล และความแตกต่างนี่แหละที่ทำให้ใบหน้าของผมร้อนจี๋ขึ้นมาอีกรอบ

ทว่าในฉับพลันเดียวกัน รูปโฉมที่งดงามระดับที่ต่อให้เป็นชายหรือหญิงก็ต้องหันขวับกลับมามองนั่น ก็ทำให้ผมรู้สึกกังวลขึ้นมา

 

“ พูดเอาป่านนี้อาจจะฟังดูยังไงๆก็จริง……..แต่ไม่กลัวสายตาผู้คนเหรอครับ? ”

 

ไม่ต้องพูดก็น่าจะรู้ คุณเอลิเซียเค้าเป็นคนดังสุดๆไปเลย

ผู้สืบสายเลือดของผู้กล้า ไพ่ตายของหมู่มนุษย์ สมบัติอันเลอค่าแห่งอาณาจักรอัลเมเรีย หนำซ้ำยังมีรูปโฉมที่สง่ามีราศีนี้อีก

ถ้าออกมาเดินต๊อกๆอยู่ในเมืองก็รับประกันเลยว่าเดี๋ยวเดียวได้มีคนมุง ยิ่งถ้าถูกเห็นตอนอยู่สองต่อสองกับผมด้วยนี่มีหวังได้เป็นเรื่องในหลายๆความหมายเลยแน่

พอหวนนึกถึงเมื่อวาน ตอนที่เกือบๆกลายเป็นเรื่องที่โรงเรียนนั่นอย่างวิตกแล้วปุ๊บ

 

“ ถ้าเรื่องนั้นละก็ไม่ต้องห่วงไปหรอก พกเอาเมจิคไอเท็มแบบพิเศษมาด้วยน่ะ ”

 

คุณเอลิเซียพูดออกมาเช่นนั้น พลางยกจี้ห้อยคอที่ห้อยอยู่รอบๆคอตนเองขึ้นมา

 

“ ในระหว่างที่สวมเจ้าสิ่งนี้อยู่กับตัว ตราบเท่าที่ฉันไม่เข้ามามีปฎิสัมพันธ์ด้วยอย่างแรงกล้า ก็จะไม่มีใครรับรู้มองเห็นว่าฉันคือ เอลิเซีย ราฟาแกลิออน ได้เลย ”

“ มะ มีของแบบนั้นอยู่ด้วยเหรอเนี่ย…… ”

 

ก็ว่าอยู่ เพราะแบบนี้เองถึงไม่ทันสังเกตเลยว่าคุณเอลิเซียเดินเข้ามาอยู่ใกล้จนกระทั่งถูกทัก ตอนนี้ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆก็ไม่มีแสดงท่าทีเหมือนว่าสังเกตเห็นตัวคุณเอลิเซียกันเลยด้วย

ยาสูตรลับของคุณลูด์มิร่านั่นก็อย่างนึง โลกใบนี้ยังมีสิ่งที่ผมไม่รู้อยู่เยอะแยะเต็มไปหมดเลยน้าา…….พอตกใจอยู่แบบนั้นปุ๊บ

 

“ แต่ คนคอยคุ้มกันของฉันเค้าพกไอเท็มที่ลบล้างเอฟเฟคได้อยู่กับตัวน่ะ เอฟเฟคยับยั้งการรับรู้จึงใช้กับพวกเขาไม่ได้ ฉะนั้นก็ยังจำเป็นต้องคอยระมัดระวังบริเวณโดยรอบอย่างถี่ถ้วนอยู่ดี ……..จริงๆแล้ววันนี้ ฉันแอบมาที่นี่ โดยไม่ได้บอกคนคุ้มกันกับคนในวังเลยน่ะ ”

“ เอ๊ะ ”

 

คุณเอลิเซียสวมเสื้อปอนโชให้ปกปิดใบหน้าตัวเองมิดชิดมากขึ้น ก่อนจะกล่าวอะไรที่ชวนให้ตะลึงแบบนั้นออกมา แล้วก็

 

“ ฉะนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ขอให้เป็นความลับของสองเราเท่านั้นนะ ”

“ ………..ขึก ”

 

คุณเอลิเซียเค้าเอานิ้วชี้จิ้มไปยังริมฝีปากอันชุ่มฉ่ำดูมีน้ำมีนวลของตน พลางตีสีหน้าเหมือนพยายามจะจริงจัง….และแล้วสมองของผมที่หัวใจเต้นตึ๊กตั๊กแรงจัดซะหยั่งกับจะฉีดขาดเพราะท่วงท่าและวาจานั้น ก็พลันเกิดความคิดฉงนสงสัยบางประการขึ้นมาเอาป่านนี้

 

(อะ อ้าว? นี่หรือว่าเหตุการณ์แบบในวันนี้ ใช่ที่เค้าเรียกว่าแอบนัดพบกันนั่นรึเปล่า……!?)

 

เด็กผู้หญิง (9 ขวบ) ในสถานกำพร้าเคยพูดอยู่

ว่า [ถ้าผู้ชายกับผู้หญิงแอบมาเจอกันอย่างลับๆละก็ นั่นแหละถือว่าเป็นแอบนัดพบแล้ว!] แน่ะ

ให้ว่าตามตรงแล้ว วันนี้ผมก็เขินที่จะได้เจอกับคุณเอลิเซียมากจนเก็บไว้เป็นความลับไม่ยอมบอกพวกคุณลีโอเน่ด้วย วันนี้เผอิญเป็นวันหยุดพักเต็มวันที่ในรอบหลายวันจะมีมาครั้งนึง ตั้งแต่ช่วงกลางวันไปก็เลยไม่ต้องฝึกวิชา ผมเลยอ้างว่าจะออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนที่โรงเรียนซะเลยแน่ะ

หรือก็คือ วันนี้ทั้งผมทั้งคุณเอลิเซียต่างก็โกหกผู้คนโดยรอบเพื่อแอบมาพบเจอหน้ากันทั้งคู่ ถ้าไม่เรียกว่าแอบนัดพบแล้วจะให้เรียกว่าอะไรได้

ในฉับพลันที่คิดได้ข้อสรุปเช่นนั้น หัวของผมก็พลันมีข้อมูลที่ว่า “ผู้สืบสายเลือดของผู้กล้าเข้ามาศึกษาในโรงเรียนนักผจญภัยเพื่อตามหาคู่ชีวิตในอนาคต” แล่นผ่านเข้ามาทันที ร่างกายยิ่งร้อนจี๋หนักมากเข้าไปอีก

 

(มะ ไม่สิไม่สิไม่ๆ! คิดอะไรอยู่กันเนี่ยตัวผม! คุณเอลิเซียเค้าเห็นว่าถ้าถูกรู้ว่าออกมาอยู่กับ <<ไร้อาชีพ>> สุดกระจอกอย่างผมแบบสองต่อสองแล้วมันจะไม่ดี ก็เลยเก็บเป็นความลับเอาไว้เท่านั้นแหละ….แต่ก็ถึงกับอุตส่าห์ใช้เมจิคไอเท็มระดับสูงเพื่อมาขอบคุณเลยนะ….เอ้ยใจเย็นก่อนนะตัวผม จะมโนเข้าข้างตัวเองมากเกินเหตุไปแล้ว!)

 

แม้จะสับสนสุดขีด แต่ผมก็พยายามกล่อมตัวเองให้สงบสติสุดความสามารถ ทว่า

 

“ ถ้างั้นก็ ไปกันเลยไหม ”

 

พอคุณเอลิเซียพูดเช่นนั้นแล้ว เค้าก็ส่งยิ้มให้เล็กๆ

เจอกับสถานการณ์ประหลาดเช่นนี้แล้ว ผมจะไปมีทางควบคุมทำใจให้สงบอยู่นิ่งได้ยังไงกันเล่า

 

 

การเลือกขนมร่วมกันกับคุณเอลิเซียที่เริ่มต้นขึ้นด้วยเหตุเช่นนี้ แต่เดิมแล้วมันน่าจะเป็นแค่อะไรง่ายๆ เช่น ผมนำทางพาไปยังร้านที่รู้จักซักสองสามร้าน คุณเอลิเซียลองกินขนมชิ้นที่ดูน่าจะเหมาะแล้วช่วยตัดสินให้ว่าชิ้นไหนที่เหมาะสมคู่ควรจะนำไปขอโทษจิเซล แค่ทำอะไรง่ายๆแบบนั้นซ้ำเรื่อยๆเท่านั้นก็พอแล้ว

และในตามจริง มันก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ จนกระทั่งถึงช่วงที่กำลังจะเดินทางจากร้านที่หนึ่ง มุ่งหน้าตรงไปยังร้านที่สองนั่นน่ะนะ…….

 

“ …………. ”

“ ………….เอ่อ คุณเอลิเซียครับ? นี่หรือว่าอยากจะลองไปดูแผงลอยตรงนั้นเหรอครับ? ”

“ เอ๊ะ…….อ๊ะ ก็…………อือ ”

 

แวะข้างทางแปปนึง

 

“ นี่ครอส ตรงนั้นมันคืออะไรหรือ? ”

“ เอ๊ะ? เอ่อ ถ้าจำไม่ผิด เหมือนจะเป็นร้านที่เลียนแบบเจ้าร้านคาเฟ่ที่มีตั้งอยู่ในวังหลวงนะครับ เห็นว่าจะเสิร์ฟกาแฟกับอาหารเบาๆให้หรือไงนี่ …….เอ่อ ลองเข้าไปดูมั้ยครับ? ”

“ ขะ แค่เดี๋ยวเดียว ”

 

แวะข้างทางแปปนึง

 

“ เหมือนว่าบรรยากาศตรงนั้นจะต่างออกไปนะ มีอาคารใหญ่ๆอยู่เต็มไปหมดเลยล่ะ ”

“ ตรงนั้นคือเขตที่มีพวกอาคารทางสื่อบันเทิงอย่างโรงละคร โรงดนตรี อะไรพวกนี้รวมติดอยู่ใกล้ๆกันน่ะครับ ถึงเด็กกำพร้าอย่างผมจะไม่เคยก้าวเข้าไปใกล้เลยก็เถอะนะ………แต่จะลองเดินวนดูรอบๆหน่อยมั้ยล่ะครับ? ”

“ ………….อือ ”

 

แวะข้างทางแปปนึง

สนใจใคร่รู้ ผมถูกคุณเอลิเซียที่มองไปรอบๆหยั่งกับเด็กๆลากไปที่โน่นที่นี่ ทำให้การเลือกซื้อขนมแปรเปลี่ยนกลายเป็นการซื้อของกินเล่นมันทุกแบบทุกประเภท แล้วก็เดินเที่ยวชมดูร้านรวงต่างๆนาๆไปแทน อย่างตอนท้ายสุดนี่คือต้องถึงกับอุตส่าห์ถ่อเข้าไปในเมืองสีสันความบันเทิงเพื่อดูบริเวณภายนอกของโรงละครแค่นั้นเองเลยอีกต่างหาก…….

กว่าจะเลือกขนมได้ตะวันมันก็เกือบๆจะลับฟ้าไปแล้ว ผมหอบถุงขนมที่เลือกมาได้ในที่สุด พลางนั่งลงบนม้านั่งของลานโล่งหน้าโบสถ์อันเป็นสถานที่นัดพบแรกสุดเคียงข้างกันกับคุณเอลิเซีย

หัวใจยังคงเต้นแรงตึ๊กตั๊กและทั้งร่างก็ยังประหม่าแข็งทื่อไปหมดอยู่เหมือนเคย แต่ตอนนี้ก็พอจะแลกเปลี่ยนคำพูดเล็กๆน้อยๆในระดับที่ไม่ถือว่าเป็นการเสียมารยาทต่อคุณเอลิเซียได้แล้ว

…………นี่คือพยายามควบคุมตัวเองสุดๆแล้วนั่นแหละนะ จนตอนนี้นิ้วมันก็ยังสั่นหงึกๆอยู่เลย แถมยังประหม่าจัดจนความทรงจำตลอดวันนี้มันเลือนรางไปหมดอีกต่างหาก…….

 

“ เธอรู้จักร้านต่างๆมากมายเลยนะ ไปเที่ยวกับคนอื่นอยู่บ่อยๆหรือ? ”

“ ไม่ครับ พอจะรู้ตำแหน่งและรายละเอียดของร้านพอตัวอยู่เหมือนกันแหละ แต่เพราะมีเงินที่ใช้สอยอย่างอิสระได้น้อย ก็เลยแทบไม่ค่อยได้ไปใช้บริการจริงๆจังๆเลยครับ ”

 

ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับร้านต่างๆเยอะมันก็เพราะได้ออกไปสำรวจเมืองระหว่างที่ทำเควสต์จิปาถะ แล้วก็นานๆทีพวกรุ่นพี่นักผจญภัยจากสถานกำพร้าจะมาเล่าเรื่องให้ฟังน่ะ

 

“ ฉะนั้นตามจริงแล้ว….ผมก็เพิ่งจะได้เข้าไปในร้านต่างๆด้วยกันกับคุณเอลิเซียนี่แหละครับครั้งแรกสุด ก็ สนุกพอสมควรเลยครับ……. ”

“ ………..ฉันเองก็สนุกมากเลยเหมือนกันล่ะ ”

 

พอผมพึมพำออกมาพลางแก้มแดงแล้ว คุณเอลิเซียก็เอ่ยออกมาเบาๆแบบนั้นด้วยเช่นกัน

 

“ เพิ่งจะเคยได้มาเดินชมร้านรวงต่างๆแบบนี้…..ได้เดินกินเล่นตามใจอยากแบบนี้ เป็นครั้งแรกเลย ”

“ เอ๊ะ แต่ว่า ตลอดมานี้คุณเอลิเซียก็เดินทางไปฝึกวิชาที่เมืองต่างๆอยู่เรื่อยไม่ใช่เหรอ…… ”  

“ ไปเพื่อฝึกวิชาเพียงอย่างเดียวเท่านั้นน่ะ ”

 

เสียงของคุณเอลิเซีย พลันฟังดูแข็งกร้าวขึ้นมา

 

“ เวลาที่ได้เดินเที่ยวชมรอบเมืองแบบนี้….ตลอดจนถึงตอนนี้ไม่เคยมีเลยแม้แต่นิดเดียว ”

“ …………ขึก ”

 

เสียงที่ราวกับว่าขาดหายไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกนั่น มันทำให้ผมถึงกับหมดคำพูด

บรรยากาศนั่นมันเหมือนกับในวันนั้นเลย—–ในวันที่คุณเอลิเซียพูดให้คำขาดว่า [<<ไร้อาชีพ>> ไม่มีทางเป็นนักผจญภัยได้หรอก] นั่นไม่มีผิดเลย……

ถูกกดดันด้วยท่าทางที่เหมือนกับว่าจะถามลึกไปกว่านี้ไม่ได้เด็ดขาด จนผมที่ประหม่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งหัวตื๊อหนักเข้าไปใหญ่ คิดไม่ออกเลยซักนิดว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี

แล้วก็ไม่รู้ว่าเพิ่งจะรู้สึกตัวถึงบรรยากาศอึมครึมหรือไง เพราะจู่ๆคุณเอลิเซียก็พลันสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมา

 

“ ฉะนั้นวันนี้ ก็เลยสนุกมากๆเลยล่ะ เพราะมีเธออยู่ด้วย ก็เลยได้เข้าไปในร้านที่ไม่รู้จักเยอะแยะ…..สนุกมากซะจนชวนคิดเลยว่าเผลอๆฉันอาจจะไม่ได้ช่วยเหลือเพื่อตอบแทนแล้วก็ขอโทษเธอเลยด้วยซ้ำ ”

“ เอ๊ะ มะ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ! ”

 

จู่ๆคุณเอลิเซียพูดออกมาแบบนั้นด้วยท่าทางเหมือนรู้สึกผิด ผมจึงรีบชูขนมที่ได้คุณเอลิเซียช่วยเลือกให้ขึ้นมาให้เห็น

 

“ ……..งั้นหรือ ถ้างั้นก็ดีแล้วล่ะ ”

 

ในฉับพลัน ที่คุณเอลิเซียพูดเช่นนั้นพลางหัวเราะเล็กๆนั่นเอง

กริ้งกริ้ง—–กริ้งกริ้ง——

ที่ระฆังของโบสถ์พลันดังกังวานขึ้นมาราวกับเพ่งเล็งจังหวะนี้ไว้ บ่งบอกว่าถึงเวลาเลิกงานแล้ว รู้ตัวอีกทีช่วงเวลายามเย็นก็ใกล้จะแปรเปลี่ยนกลายเป็นยามค่ำซะแล้ว

 

“ คงถึงเวลาต้องกลับแล้วล่ะนะ ”

 

คุณเอลิเซียยืนขึ้นมาจากม้านั่ง ผมเองก็ลุกขึ้นตามเช่นกัน ก่อนจะพูด  “ อะ เอ่อ วันนี้ต้องขอขอบคุณมากๆเลยนะครับ! ”  พลางก้มหัวให้หลายต่อหลายรอบ

แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่คุณเอลิเซียก็ไม่ยอมขยับไปจากตำแหน่งนั้นเลย และแล้ว เป็นช่วงที่เสียงระฆังหยุดเงียบลงไปนั่นเอง

 

“ นี่ครอส แล้วช่วยบอกฉันมีหลังด้วยนะ ว่าขนมนั่นมันช่วยให้คืนดีได้ไหม….เพราะถ้าช่วยให้เธอคืนดีกับเด็กคนที่ดูออกเกเรๆคนนั้นไม่ได้ ก็ไม่ถือว่าเป็นการตอบแทนแล้วก็ขอโทษหรอก ………ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ก็มาปรึกษาฉันอีกนะ? ”

 

 

นี่เอง….ก็เป็นการมโนเข้าข้างตัวเองของผมอีกรึเปล่านะ

พอคุณเอลิเซียพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเหมือนเสียดายแบบนั้นแล้ว เค้าก็ค่อยๆหันหลังให้กับผมอย่างเชื่องช้า ราวกับว่าอยากจะยืดขยายช่วงเวลานี้ให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้…..ก่อนจะหายลับไปในฝูงชนในที่สุด

 

“ ……….. ”

 

จากนั้นผม ก็จ้องมองตาค้างไปยังฝูงชนที่คุณเอลิเซียหายวับเข้าไปนั่นอย่างกับคนบ้าเลย

และด้วยเหตุนี้เอง ช่วงเวลาที่ชวนให้ฉงนว่าเป็นเพียงฝันกลางวันหรือเปล่าเช่นนั้น มันก็จบลงไปอย่างง่ายดายราวกับยามเย็นที่จมดิ่งลงไปกับความมืดกลายเป็นยามค่ำ——ทว่า วันถัดมา

 

 

“ เป็นยังไงบ้าง? ”

“ อะ เอ่อ…… ”

 

พริบตาหลังจากที่คาบเรียนในวันนั้นสิ้นสุดลง ตัวผมที่ก้าวออกมาจากห้องเรียน ก็พลันถูกคุณเอลิเซียที่ปรากฎตัวออกมาด้วยความเร็วที่ราวกับว่าดักรออยู่ ฉุดลักพาตัวไปโดยไม่ทันมีโอกาสได้ตกใจเลยด้วยซ้ำ

พอถูกหิ้วมาอยู่ใต้เงาของสนามประลองอันไร้ซึ่งผู้คนอีกคราในฉับพลันเดียวแล้วปุ๊บ คุณเอลิเซียก็พลันเอ่ยปากถามผลลัพธ์ของเรื่องจิเซลก่อนเป็นอันดับแรกเลย

 

(ก็เข้าใจหรอกนะว่ากลัวสายตาคนรอบข้าง แต่ถ้าถูกทำแบบนี้อยู่ตลอดทุกๆครั้งนี่หัวใจผมคงทนไม่ไหวแน่ๆ…….!)

 

ผมแผดเสียงกรีดร้องเช่นนั้นขึ้นมาในใจ พลางถูกคุณเอลิเซียรุกกระชั้นชิดเข้าใส่จนตัวหดไปหมด  

ทว่าสิ่งที่ควรจะกล่าวออกมาในตอนนี้มันไม่ใช่อะไรแบบนั้น

 

“ คือว่า….คือ….แผนใช้ขนมพิชิตใจมันไปได้ไม่สวยเท่าไหร่เลยครับ…… ”

 

ผมรายงานผลลัพธ์….รายงานว่าแผนการล้มเหลวให้คุณเอลิเซียฟังอย่างอ้ำๆอึ้งๆ

ตัวผมที่เอาขนมไปฝากไว้กับเคาน์เตอร์กิลด์เพื่อไม่ให้ความแตกถูกพวกคุณลีโอเน่รู้นั้น ได้วิ่งมาเอาเจ้าสิ่งนี้กลับไปตั้งแต่เช้าตรู่พร้อมทดลองดำเนินการนำไปให้จิเซลในทันที เพราะต่อให้คิดยังไงก็ไม่น่าจะเอาไปส่งให้โดยตรงได้แน่ๆ ผมจึงฝากคนที่เคยเป็นรูมเมทให้ช่วยเอาไปให้แบบอ้อมๆแทนทีน่ะ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือล้มเหลวย่อยยับ พอรู้ว่าเป็นของที่ผมส่งมาปุ๊บจิเซลก็ทำการทำลายขนมแหลกกระจุยในบัดดล ดูเหมือนจะทำให้เค้าโกรธหนักมากยิ่งกว่าเดิมอีกแฮะ

แต่ไอ้ตรงที่ขนมโดนทำลายแหลกกระจุยนี่ค่อนข้างจะพูดให้ฟังลำบาก ผมจึงอธิบายให้คุณเอลิเซียฟังโดยละเว้นในจุดนั้นเอาไว้ ทว่า

 

“ งั้นหรือ…… ”

 

ถึงอย่างนั้น แต่คุณเอลิเซียก็ยังไหล่ตกอย่างผิดหวังอยู่ดี

ความรู้สึกผิดมันเอ่อล้นขึ้นมาในรวดเดียว ผมจึงรีบทำการพูดเพิ่มเติมขยายความอย่างแตกตื่นยกใหญ่

 

“ อ๊ะ แต่ว่า แต่ว่านะครับ! ดูเหมือนว่าพวกเพื่อนๆจากสถานกำพร้าที่อยู่รอบตัวจิเซลจะชอบใจกันสุดๆไปเลยครับ! เพราะจิเซลไม่ยอมรับขนมที่ให้ไป พวกเค้าที่เห็นว่าน่าเสียดายก็เลยหยิบเอามากินกันเองซะเลยแน่ะ เพื่อนๆแห่กันมาขอบคุณยกใหญ่เลยครับ! ดวงตาในการวัดตัดสินรสชาติความอร่อยของคุณเอลิเซียมันยอดเยี่ยมมากๆเลยล่ะครับ! ”

 

กริ้ก

 

“ ……..อาจจะไปไหวก็ได้ ”

“ เอ๊ะ………? ”

 

คุณเอลิเซียที่ไม่รู้ว่าตอบสนองต่อคำพูดตรงไหนของผม พลันทวงคืนเอากำลังกลับมายังดวงตาได้

 

“ ถ้าเริ่มรุกพิชิตใจจากผู้คนโดยรอบไป ท่าทางกิริยาของเด็กคนที่ดูออกเกเรๆคนนั้นก็จะค่อยๆอ่อนเบาบางลงเองนั่นแหละ อืม ของแบบนี้มันต้องวัดกันผ่านความอดทนแล้วก็ความจริงใจนี่ล่ะ ฉะนั้นหากดำเนินแผนเดิมซ้ำไปเรื่อยๆ ซักวันก็จะต้องสำเร็จแน่…….คิดว่านะ ” 

 

พอคุณเอลิเซียกระซิบอะไรบางอย่างต่อท้ายปุ๊บ ก็พลันเอ่ยขึ้นต่อ

 

“ ฉะนั้น ฉันจะไปกับเธออีกก็แล้วกันนะ เลือกขนม อาจจะในทันทีเลยไม่ได้ก็จริง แต่ถ้าหาโอกาสแอบหนี—–อะแฮ่ม ถ้าหาวันที่ดูน่าจะเข้าทีได้แล้ว จะมาบอกเธออีกครั้งแล้วกัน ”

“ เอ๊ะ……แต่แบบนั้นมัน…ต้องให้คุณเอลิเซียเดินทางไปด้วยอีกหลายต่อหลายครั้งแบบนั้น ผมจะว่ายังไงดี มันเกรงใจน่ะครับ ไม่มีหน้าพอจะขอร้องได้จริงๆ คือมันจะเป็นการรบกวนมากเกินไปรึเปล่า……. ”

“ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ ”

 

คุณเอลิเซียกล่าวให้คำขาดอย่างชัดเจน จากนั้นจึงลดสายตามองลงต่ำด้วยท่าทางเหมือนเศร้าเสียใจ ก่อนจะ

 

“ …….หรือว่าเธอ ไม่อยากจะไปเลือกขนมด้วยกันกับฉันแล้วหรือ? ”

“ ไม่ครับไม่ใช่แบบนั้นเลยซักนิดเดียวผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ! ”

 

มันจะไปมีทางปฎิเสธยังไงได้ลงคอ

และด้วยเหตุนี้เอง ผมที่พ่ายแพ้ต่อแรงกดดัน (?) ของคุณเอลิเซีย จึงจำเป็นต้องดำเนินการแอบนัดพบกับหญิงที่หลงใหลชื่นชมด้วยหัวใจต่อไปอีกซักระยะ…….ทว่า มันก็มีปัญหาอันใหญ่หลวงขวางกั้นเป็นอุปสรรคอยู่หนึ่งอย่าง

 

(แล้วเรื่องเงินนี่ จะทำยังไงดีล่ะ……..)

 

แม้จะพยายามประหยัดเต็มที่แล้ว แต่ตัวผมที่เผลอใช้เงินเก็บที่ออมมาตั้งแต่สมัยอยู่สถานกำพร้าหมดเกลี้ยงไปในการเดินเที่ยวชมเมืองเพียงครั้งเดียวนั้น…..ก็พลันได้สติแล้วอับจนหนทางไม่รู้จะทำยังไงต่อดีไปเลย 

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset